ตอนที่ 687 คัมภีร์แพทย์ศาสตร์

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 687 คัมภีร์แพทย์ศาสตร์

คนที่รู้ว่าฟู่เสี่ยวกวนออกไปจากเมืองหลวงในวันนี้มีน้อยมากนัก

ดังนั้นที่ด้านหน้าประตูตะวันออกของเมืองจินหลิงจึงมีผู้คนเพียงมิกี่คนที่มาส่งเขา แม้แต่ฮ่องเต้และฮองเฮาซั่งรวมถึงคนของจวนเยี่ยนและจวนต่งก็ยังมิมีผู้ใดปรากฏตัวให้เห็นเลยสักคน

มิใช่เป็นเพราะเกิดเรื่องร้ายอันใดขึ้น แต่เพราะฟู่เสี่ยวกวนมิให้พวกเขามา…เนื่องจากการเดินทางครานี้มิใช่การเดินทางเพื่อไปรบจึงมิจำเป็นต้องร่ำลาประดุจจะมิได้กลับมาพบหน้ากันใหม่อีก เป็นเพียงแค่การไปทำงาน ณ ว่อเฟิงเต้าเท่านั้นมิใช่หรือ ?

นอกจากนี้ตำแหน่งอย่างเป็นทางการของเขาก็คือหัวหน้ากรมการค้า ถึงเยี่ยงไรก็ต้องวิ่งเต้นมาที่เมืองจินหลิงบ้างอยู่แล้ว

แต่ทว่าผู้ที่รู้เรื่องนี้ก็ยังมีอีกหลายคนยกตัวอย่างเช่น ฮั่วหวยจิ่นและองค์หญิงสามหยูชิงหลาน ส่วนอีกคนหนึ่งที่เหนือความคาดหมายของฟู่เสี่ยวกวนนั่น…ก็คือ ยิงฮวา !

บัดนี้ทั้งสามคนได้ยืนรออยู่ที่ประตูตะวันออก ขบวนรถม้าของฟู่เสี่ยวกวนจึงมาจอดอยู่บริเวณนี้

เขาลงจากรถม้าแล้วมองไปที่ฮั่วหวยจิ่นจากนั้นก็หัวเราะแล้วกล่าวว่า “แบบนี้มิลำบากพวกเจ้าเกินไปหรือ ! ”

ฮั่วหวยจิ่นก็หัวเราะเช่นเดียวกัน “เจ้าจากไปแบบนี้ทำให้หลงจู๊ของหอซื่อฟางร่ำไห้เสียยกใหญ่เลยทีเดียว”

“ข้านึกว่าเจ้าจะบอกว่าสตรีแห่งหอกั๋วเซ่อเทียนเซียงจะพากันร่ำไห้เพราะคะนึงหาข้าเสียอีก…” ในจังหวะที่พวกเขาหันไปทางหยูชิงหลาน เขาก็เอ่ยต่ออีกว่า “องค์หญิงต้องจับตาดูเขาให้ดีนะพ่ะย่ะค่ะ เพราะเขาเป็นลูกค้าขาประจำของหอกั๋วเซ่อเทียนเซียง ! ”

หยูชิงหลานเมื่อได้ยินดังนั้นก็ถลึงตาใส่ฮั่วหวยจิ่นทันที เล่นเอาฮั่วหวยจิ่นถึงกับทำตัวมิถูก

“เจ้านี่นะ ! จะไปทั้งทีก็ช่วยให้ข้ามิต้องรู้สึกร้อน ๆ หนาว ๆ บ้างมิได้หรือ ? เจ้า…มิใช่สิ ชิงหลาน ข้าเคยไปสถานที่นั้นเพียงแค่คราเดียว และที่ไปก็เพื่อไปหาเขานั่นแหละ… จริงสิ ! เรื่องนี้แม่นางยิงฮวาเป็นพยานให้ข้าได้ ! ”

หยูชิงหลานที่ได้ยินดังนั้นก็ปิดปากพลางหัวเราะชอบใจ “ท่านอยากไปก็ไปสิ ขาก็เป็นของท่าน ข้าจะยุ่งเรื่องเหล่านั้นมากจนเกินไปได้เยี่ยงไร ? ”

ยิงฮวาหน้าแดงเล็กน้อย จากนั้นก็หันไปคำนับเพื่ออวยพรให้แก่ฟู่เสี่ยวกวน “ท่านออกเดินทางในครานี้ มิอาจรู้ได้ว่าจะกลับมาอีกเมื่อใด ข้าขอขอบคุณสำหรับการดูแลของท่าน ยิงฮวามิมีสิ่งใดจะตอบแทนได้นอกจากขอให้เดินทางโดยปลอดภัย ไร้อุปสรรคอันใดมากีดขวาง”

ฟู่เสี่ยวกวนเพ่งพินิจพวงแก้มที่แดงเรื่อของยิงฮวา เขาอยากเอ่ยถามนางเสียเหลือเกินว่านางเปลี่ยนความสนใจได้เยี่ยงไร แต่ทว่าสุดท้ายเขาก็มิใช่ผู้ที่ชอบติฉินนินทาจึงเอ่ยถามเรื่องอื่นแทน “มีเส้นทางจากแคว้นหลิวมายังราชวงศ์หยูแล้วเยี่ยงนั้นหรือ ? ”

ยิงฮวาส่ายหน้าปฏิเสธ “สินค้าของทั้งสองแคว้นยังต้องนำขึ้นเรือที่ราชวงศ์อู๋ดังเดิม แต่ทว่าสำนักกิจการทางทะเลในแคว้นของข้ากำลังสำรวจเส้นทางทะเลจีนตะวันออกในปีนี้ คาดว่าอีกไม่นานคงหาเส้นทางที่ปลอดภัยได้ เมื่อถึงยามนั้น…ข้าขอเชิญติ้งอันป๋อไปเยี่ยมเยียนแคว้นหลิว”

“อืม…เจ้าจงนำเรื่องนี้ไปทูลจักรพรรดิของแคว้นหลิวว่าจิ่วเย่เป็นของข้าเอง”

ยิงฮวาชะงักไปเล็กน้อยเมื่อได้ยินดังนั้น นางรู้จักจิ่วเย่และตามแผนปฏิบัติงานของสำนักกิจการทางทะเล ที่นั่นกำลังจะกลายเป็นท่าเรือขนส่งซึ่งอยู่ในตำแหน่งสำคัญมากยิ่งนัก

ราชวงศ์หยูมิมีแม้แต่เรือขนส่ง แต่เขากลับต้องการสถานที่แห่งนั้น หรือกำลังเริ่มสร้างเรือกัน ?

ยิงฮวาเงียบไปพักใหญ่ “ข้าจะเขียนจดหมายกราบทูลฝ่าบาทเอง”

สำหรับเรื่องนี้ฟู่เสี่ยวกวนมิได้สนใจแต่อย่างใด หากแคว้นหลิวกล้ายึดครองจิ่วเย่ เขาก็กล้ากวาดล้างแคว้นหลิวเช่นเดียวกัน !

ดังนั้นเขาจึงพยักหน้ารับแล้วหันไปสนทนากับฮั่วหวยจิ่น “ท่านป้ามาถึงเมืองจินหลิงแล้ว พวกเจ้ามีกำหนดการจัดพิธีอภิเษกเมื่อใดหรือ ? ”

“วันที่หนึ่ง เดือนเก้า ยามนั้นเจ้าคงมิมีเวลาว่างกลับมา เช่นนั้นส่งของขวัญมาร่วมอวยพรก็เพียงพอแล้ว”

ฟู่เสี่ยวกวนได้ยินก็หัวเราะชอบใจเสียยกใหญ่ เขาชกกำปั้นไปที่ฮั่วหวยจิ่นแล้วกล่าวว่า “นั่นมันแน่นอนอยู่แล้ว เอาล่ะ ! อย่าลืมว่าเจ้าติดหนี้เลี้ยงอาหารข้าที่หอซื่อฟางหนึ่งมื้อ เมื่อข้ากลับมาแล้วพวกเราค่อยไปทานอาหารกันที่นั่น”

“ดูแลตนเองด้วย ! ”

“แล้วพบกันใหม่ ! ”

……

ขบวนรถม้าออกเดินทางต่อ เมืองจินหลิงที่ตั้งตระหง่านอยู่เบื้องหลังค่อย ๆ มีขนาดเล็กลงเรื่อย ๆ จวบจนกระทั่งขบวนรถม้าเคลื่อนออกไปไกลจนมองมิเห็นตัวเมือง

ฟู่เสี่ยวกวนสลัดความเศร้าโศกจากการอำลาทิ้งไป แล้วหันไปกล่าวกับหนานกงตงเซวี๋ยว่า

“ตงเซวี๋ย”

“เจ้าคะ ? ”

“ข้ามีความคิดบางอย่าง เจ้าลองฟังดูเถิด แต่ทว่ามันมิใช่การบังคับและยิ่งมิใช่การออกคำสั่ง สิ่งที่ข้าจะกล่าวต่อไปนี้ล้วนขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของเจ้าทั้งสิ้น”

หนานกงตงเซวี๋ยเกิดความประหม่าเล็กน้อย นางมิรู้ว่าฟู่เสี่ยวกวนเกิดความคิดใดขึ้นมาอีก จึงเอ่ยออกไปว่า “ท่านกล่าวมาได้เลยเจ้าค่ะ”

“ข้าตั้งใจว่าจะก่อตั้งสำนักศึกษาการแพทย์ขึ้น…เพื่อมุ่งศึกษาวิธีการรักษาและความรู้ทางการแพทย์ เมื่อก่อนข้ายังมิมีตัวเลือกว่าจะให้ผู้ใดมาช่วยจวบจนเจ้าช่วยผ่าคลอดให้กับเวิ่นหวิน”

เขาชะงักไปชั่วครู่แล้วเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจังต่อว่า “ข้าอยากให้เจ้ารับตำแหน่งอาจารย์สำนักศึกษาการแพทย์ แล้วรับสมัครลูกศิษย์ที่มีพื้นฐานทางด้านการแพทย์และมีความสนใจในการผ่าตัด”

หนานกงตงเซวี๋ยเผยรอยยิ้มสดใสออกมา ความตึงเครียดบนใบหน้าพลันหายไป “ข้าก็นึกว่ามีเรื่องใหญ่อันใดที่แท้ก็เป็นเรื่องเล็กน้อยนี่เอง แต่ถึงกระนั้นก็ยังมีปัญหาอยู่เพราะยังมีอีกหลายคนที่มิยอมรับเรื่องนี้”

“มิเป็นไร ! มุมมองของมนุษย์ย่อมเปลี่ยนแปลงได้เสมอ เพราะในความเป็นจริงการผ่านี้มิได้ช่วยแค่การคลอดบุตรยากเท่านั้น”

หนานกงตงเซวี๋ยผงะไปอีกครา “ยังสามารถทำอันใดได้อีกหรือ ? ”

“ยังช่วยรักษาได้อีกหลายโรค ยกตัวอย่างเช่นการตัดเนื้อร้ายในช่องท้องหรือการผ่าตัดหัวใจ และตรงนี้…” ฟู่เสี่ยวกวนชี้ไปที่ศีรษะของตน “เปิดกะโหลก”

เมื่อประโยคนี้ถูกเอ่ยออกมา ไม่เพียงแต่หนานกงตงเซวี๋ยเท่านั้นที่ตื่นตกใจเพราะสตรีอีกสามนางก็ตกตะลึงมิแพ้กัน… ผ่าตัดหัวใจ ? เปิดกะโหลก…มันจะเป็นไปได้เยี่ยงไร ?

ฟู่เสี่ยวกวนเอ่ยต่อว่า “เรื่องนี้จำเป็นต้องแบ่งส่วนเพื่อเรียนรู้ไปทีละขั้นตอน อันดับแรกให้เริ่มจากการทำความคุ้นเคยต่อโครงสร้างของร่างกายมนุษย์เสียก่อน อีกประการหนึ่งคือการศึกษาอาการป่วยและยารักษา ส่วนหมาฝู่ส่านนั้นมิค่อยน่าเชื่อถือเท่าใดนัก ทางที่ดีพวกเราต้องหายาชาที่ได้ประสิทธิภาพยิ่งกว่านี้แล้วใช้วิธีการฉีดแทน อ่า…มันคือการใช้เข็มแทงเข้าไปทางผิวหนังของคนเรานั่นแหละ ด้วยวิธีนี้จะสามารถควบคุมปริมาณของยาชาได้ และยังสามารถใช้ยาชาเฉพาะที่ตามความเหมาะสมของการผ่าตัดได้…”

ดวงตาของหนานกงตงเซวี๋ยเป็นประกายทันทีที่ได้ยิน ส่วนพวกสวี่ซินเหยียนนั่งฟังราวกับกำลังฟังตำราจากสวรรค์ที่ยิ่งฟังก็ยิ่งมิเข้าใจ เมื่อพวกนางได้ยินเรื่องนี้แล้วก็เหมือนกับได้เปิดโลกทัศน์ใหม่เลยทีเดียว !

“การศึกษาที่สำคัญอย่างยิ่งอีกหนึ่งประการคือวิธีการรักษาอาการติดเชื้อ อย่างเช่นกรณีที่เจ้าเล่าให้ฟังมาก่อนหน้านี้ล้วนเป็นการเสียชีวิตจากการติดเชื้อทั้งสิ้น”

“มีตำรับยาวิเศษที่สามารถรักษาเจ้าสิ่งนี้ได้ ตำรับยาที่ว่าก็คือ ยาเพนิซิลลิน…ระหว่างทางข้าจะเขียนวิธีสกัดเอายาเพนิซิลลินออกมา เมื่อถึงตอนนั้นข้าจะมอบให้เจ้าทำการทดลอง”

ฟู่เสี่ยวกวนเอ่ยถึงแนวคิดที่ไกลกว่าระดับการแพทย์ของยุคสมัยนี้ เช่นโรคหวัด โรคระบาด แบคทีเรีย กล้องจุลทรรศน์ หลักการผลิต และการรักษาไวรัส เป็นต้น

หนานกงตงเซวี๋ยหยิบบันทึกประจำตัวออกมาตั้งแต่แรกแล้ว นางได้จดสิ่งที่ฟู่เสี่ยวกวนเอ่ยออกมาทุกคำมิขาดมิเกิน

จางเพ่ยเอ๋อร์จ้องมองฟู่เสี่ยวกวนด้วยอารามตกตะลึง นายน้อยเจ้าสำราญแห่งหลินเจียงผู้นี้… หรือตลอดระยะเวลา 16 ปีที่ผ่านมา เขาเสแสร้งแกล้งทำมาโดยตลอด ?

เหตุใดข้ามิเคยรู้มาก่อนเลยว่าเขาเรียนศาสตร์ด้านการแพทย์มาด้วย !

สมัยที่อยู่ในหลินเจียงข้ายังมิเคยได้ยินว่าเขาสามารถท่องตำราได้มากมายอีกทั้งยังประพันธ์บทกวีได้ !

เมื่อคิดเช่นนี้นางจึงคิดว่าตนน่าจะรู้ความหมายที่ซ่อนอยู่ในเรื่องนี้แล้ว เพราะแท้ที่จริงนายน้อยเจ้าสำราญผู้นี้ซ่อนคมเล็บมาโดยตลอดนั่นเอง !

มิรู้ว่าในความเป็นจริงเขาได้แอบท่องตำราไปตั้งกี่เล่มแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นยังท่องตำราได้อย่างหลากหลายอีกด้วย

ในยามนี้หนานกงตงเซวี๋ยมิได้คิดอันใดมากนัก นางรู้ว่าอย่างน้อยความคิดเหล่านี้น่าจะไปไกลเกินกว่าอาจารย์… ผู้มีฉายาว่าหัตถ์เทวะแห่งราชวงศ์อู๋ สุ่ยหยุนเจียน !

ฟู่เสี่ยวกวนอธิบายให้นางฟังตลอดทั้งช่วงเช้า เล่าสิ่งที่เคยเรียนรู้มาระหว่างการฝึกอบรมและสิ่งที่เคยเรียนรู้ด้วยตนเองโดยมิปิดบัง ส่วนหนานกงตงเซวี๋ยได้บันทึกไปกว่า 30 หน้ากระดาษแล้ว

นี่มิใช่กระดาษธรรมดาอีกต่อไป !

เพราะในสายตาของหนานกงตงเซวี๋ยสิ่งนี้ได้กลายเป็นเหมือนคัมภีร์แพทย์ศาสตร์ไปแล้ว !

“ท่าน…เรียนมาจากผู้ใดเยี่ยงนั้นหรือ ? ”

ฟู่เสี่ยวกวนหัวเราะแบบมีเลศนัย “หากข้าบอกว่าเรียนรู้ด้วยตนเอง เจ้าจะเชื่อหรือไม่ ? ”

นางมองฟู่เสี่ยวกวนด้วยความตกตะลึงอยู่เนิ่นนาน “เชื่อ ! ”

ฟู่เสี่ยวกวนหันหน้ามองออกไปนอกหน้าต่างพลางครุ่นคิดว่าความเลื่อมใสศรัทธาแบบมิลืมหูลืมตาช่างน่ากลัวเสียเหลือเกิน แม้แต่ตัวข้ายังมิกล้าเชื่อตนเองมากถึงเพียงนี้เลย !

เป็นเพราะเขายังมิอาจแก้ปัญหาเรื่องหมู่เลือดของผู้คนในใต้หล้านี้ได้

หากทำการผ่าตัดใหญ่โดยมิยอมถ่ายเลือด…เกรงว่าชื่อเสียงของหนานกงตงเซวี๋ยจะย่อยยับในบัดดล

ดังนั้นการเร่งผลักดันให้มีการผลิตยาเพนิซิลลินจึงสำคัญที่สุด