“ข้าตีอะไร?ข้าตีท่านหรือ?”
ซือหยูถามอย่างไร้เดียงสา
บุรุษเมฆาม่วงกับคนอื่นๆ ส่ายหน้าเงียบ ๆ ถึงแม้ว่าม่อเทียนฉวนจะยังไม่เป็นบ้าเต็มตัว ส่วนหนึ่งของนางก็ยังควบคุมไม่ได้
ม่อเทียนฉวนพูดไม่ออกและไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไรต่อนางอัปยศอดสูถึงที่สุดแล้วแต่ก็ไม่มีใครเชื่อนาง พวกเขากลับคิดว่านางบ้า นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่นางคับข้องใจถึงเพียงนี้
ม่อเทียนฉวนเงียบไปนานขณะที่จ้องมองซือหยูจากระยะไกลจิตสังหารของนางค่อย ๆ เลือนหาย นางกลับมาใจเย็นดังเดิม
ม่อเทียนฉวนมองคนรอบๆ เสียงของนางอ่อนลงและแหบขึ้น
“ข้าเสียสติไปครู่หนึ่งขออภัยที่ทำเหมือนเล่นตลกกับพวกเจ้าทุกคน”
บุรุษเมฆาม่วงถอนหายใจด้วยความโล่ง
อกหลายคนเหงื่อไหลด้วยความกลัว จากสถานการณ์ ม่อเทียนฉวนนั้นฟื้นคืนจากการเสียสติแล้ว
“ทุกคนข้าใจเย็นลงแล้ว ตอนนี้ข้าจะขอคุยเรื่องส่วนตัวกับศิษย์สำนักข้า จะให้ความเป็นส่วนตัวข้าได้หรือไม่?”
ม่อเทียนฉวนร้องขอนางปั้นหน้าสุขุมเยือกเย็นขึ้นมา
ทุกคนลังเล
ซือหยูไม่คิดจะอยู่ตามลำพังกับนาง
“บุรุษเมฆาม่วงเจ้าตำหนักม่อต้องการการพักฟื้น เพื่อตัวนางเองและศิษย์สำนักเรา…”
เขาพูด
บุรุษเมฆาม่วงคิดแบบเดียวกันก่อนที่จะแน่ใจว่าม่อเทียนฉวนหายแล้วจริงคงไม่ฉลาดนักที่จะปล่อยให้นางอยู่นอกสายตา
“เจ้าตำหนักม่อยอดเขาที่เก้าของสำนักข้าถูกเรียกว่ายอดเขาแห่งความสงบ มันทำให้สงบจิตใจได้อย่างไม่น่าเชื่อ ตอนที่ข้าต้องสู้กับอสูรภายใน ข้าได้ไปสู่ยอดเขาแห่งความสงบนั้น”
เขาพูด
“ถ้าท่านไม่ถือพวกเราจะพาท่านไปที่ยอดเขาแห่งความสงบ เพื่อที่ท่านจะได้พักฟิ้น ท่านคิดว่าอย่างไร?”
บุรุษเมฆาม่วงถาม
ม่อเทียนฉวนโกรธแค้นในใจพวกเขาอยากจะใช้โอกาสนี้จับตาดูนาง! ม่อเทียนฉวนกัดฟันจ้องมองซือหยูอย่างเยือกเย็น แต่จากนั้นบุรุษเมฆาม่วงก็เข้ามาขวาง
เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย
“เจ้าตำหนักม่อท่านต้องพักจริง ๆ”
ผู้คนทั้งหลายตกใจเมื่อเห็นดูเหมือนว่าม่อเทียนฉวนยังคงอยู่ในความบ้าคลั่งอยู่
ม่อเทียนฉวนเกลียดชังซือหยูเป็นอย่างมากเขาทำให้นางปวดหัวครั้งแล้วครั้งเล่า และตอนนี้นางกำลังถูกบังคับให้ไปพักฟื้นอีก นางกำหมัดฝืนความคิดที่จะฉีกซือหยูเป็นชิ้น ๆ ไปนางพูดเบา ๆ
“ขอบคุณสำหรับน้ำใจเจ้าบุรุษเมฆาม่วง ข้ายินดีรับข้อเสนอ”
จิตสังหารในน้ำเสียงนางนั้นแจ่มชัด
บุรุษเมฆาม่วงแววตาหมองหม่น
“โปรดไปกันเถอะ!”
ด้วยการนำของบุรุษเมฆาม่วงและผู้นำสำนักอื่นม่อเทียนฉวนมุ่งหน้าไปยังยอดเขาที่เก้าด้วยความไม่พอใจอย่างยิ่ง ก่อนที่จะออกจากยอดเขาที่สอง นางหันไปมองซือหยู จากนั้นจึงใช้พลังอสูรเนรมิตรส่งข้อความอันเยือกเย็นราวน้ำแข็งตรงไปยังจิตใจของเขา
“ซือหยูเซี่ยน!มันยังไม่จบหรอก!”
ซือหยูทำให้นางต้องอับอายขายหน้ากล่าวหาว่านางกำลังจะคลั่ง สุดท้ายนางต้องถูกพาไปพักฟื้น ม่อเทียนฉวนขมขื่นในใจ ปอดนางแทบจะระเบิด นางไม่มีทางกำจัดความขมขื่นนี้ได้หากไม่ได้ล้างแค้น
“เดินทางปลอดภัยล่ะเจ้าตำหนักม่อ” ซือหยูพูดกับนางด้วยสีหน้าจริงจังและถอนหายใจ
หากมีบุรุษเมฆาม่วงและเจ้าสำนักอื่นอยู่ด้วยก็แทบจะเป็นไปไม่ได้ที่ม่อเทียนฉวนจะแอบกลับมาทำร้ายเขาเขาคงจะปลอดภัยจนกว่าคนอื่นจะคิดว่าม่อเทียนฉวนหายดี ส่วนเรื่องอนาคต มันก็แค่อีกก้าวเดียวส
บุรุษเมฆาม่วงนำม่อเทียนฉวนไปเองและสั่งผู้เฒ่าคนหนึ่งก่อนจะกลับออกมาผู้เฒ่าคนนั้นเดินไปที่ข้างซือหยูด้วยรอยยิ้ม
“อาจารย์ซือวิชาเทพถูกเตรียมพร้อมแล้ว โปรดมากับข้า”
วิชาเทพคือรางวัลที่ซือหยูได้จากงานชุมนุมเฟิงหยุน
“ท่านผู้เฒ่าวิชาเทพแท้จริงแล้วคือสิ่งใดหรือ?”
ในที่สุดซือหยูก็ถามสิ่งที่เขาสงสัยมานาน
ผู้เฒ่ายิ้มอย่างอ่อนโยนน้ำเสียงของเขามีความภาคภูมิใจขณะอธิบาย “วิชาเทพคือสมบัติที่ปกป้องตำหนักเมฆาม่วงมันคือสถานที่ที่สืบทอดมาจากเทพที่เสียชีวิต ที่นั่นมีจิตวิญญาณของเทพแฝงอยู่ ถ้าเจ้าเรียนรู้อะไรได้บ้าง มันจะช่วยบ่มเพาะฎีกาสวรรค์ของเจ้าได้อย่างไม่คาดคิด”
เขาตอบ
เรื่องที่ซือหยูครอบครองฎีกาสวรรค์พิสุทธิ์นั้นมิได้เป็นความลับต่อตำหนักเมฆาม่วง
“กู้ไทซูสะสมพลังได้มากและมีฎีกาสวรรค์พิสุทธิ์ระดับนั้นได้ก็เพราะว่าอยู่ในที่แห่งนั้นตลอดปีเจ้าจะได้มากแค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับเจ้า”
ผู้เฒ่าตอบ
ไม่นานต่อมาซือหยูถูกพาไปยังเนินเขาร้าง ที่นี่ไร้ซึ่งต้นไม้ใ มีเพียงต้นหญ้าเล็ก ๆ เท่านั้น ด้วยพลังที่หนาแน่นในตำหนักเมฆาม่วง การที่เนินเขานี้ไร้ซึ่งต้นหญ้าวิญญาณนับว่าเป็นเรื่องแปลก แต่ซือหยูสัมผัสถึงคลื่นพลังลับด้านในเนินเขาแห่งนี้มันมีสัมผัสของพลังอันเก่าแก่
ซือหยูเบิกตากว้างเมื่อจ้องมองหินก้อนที่ดูธรรมดาบนเนินเขา
“ช่างเก่าแก่นัก”
เขาคิดกับตัวเองจากที่มองดูคร่าว ๆ หินก้อนนี้มีอายุยาวนานกว่าหลายพันปี แต่มันก็ไม่มีร่องรอยที่ผิวมันเลย
ผู้เฒ่าตกใจมาก
“เจ้าบอกอายุศิลาก้อนนี้ได้รึ?เยี่ยมมาก!”
เขาไม่รู้ว่าซือหยูใช้พลังย้อนเวลามาหลายครั้งสัมผัสเวลาของเขาย่อมดีกว่าคนทั่วไป
“ทั้งเนินเขานี้ถูกเคลื่อนย้ายมาจากซากเก่าแก่ของเทพว่ากันว่าเนินเขานี้มีถ้ำที่เทพใช้บ่มเพาะพลัง ภาพเขียนที่หลงเหลือที่นี่คือภาพที่เทพวาดเอาไว้”
ผู้เฒ่ากล่าว “แต่ถึงอย่างนั้นบุรุษเมฆาม่วงก็มิอาจคัดลอกภาพเขียนเหล่านั้นได้แต่ถ้าพวกเราขุดกำแพงถ้ำต่อไป เนื้อหาในภาพก็จะถูกทำลายไปด้วย ดังนั้นเราจึงต้องเคลื่อนย้ายทั้งเนินเขากลับมา! ภาพเขียนจากที่นี่จึงไม่เสื่อมสภาพไปตามกาลเวลา มันยังดูเหมือนเดิมอย่างที่เคยเป็น”
ผู้เฒ่าชี้ตีนเขาที่มีถ้ำขนาดสูงเท่ามนุษย์หนึ่งคน
“เข้าไปข้างในซะเจ้ามีเวลาวันเดียวเท่านั้น จะดูดซับมันได้เท่าใดก็ขึ้นอยู่กับเจ้า”
ซือหยูพยักหน้าด้วยตาเป็นประกายซากที่เทพทิ้งเอาไว้รึ? ฎีกาสวรรค์พิสุทธิ์ของกู้ไทซูนั้นเพิ่มระดับขึ้นจากอดีตมาทั้งระดับ ทั้งหมดเป็นเพราะภาพเขียนนี่น่ะหรือ?
“ท่านผู้เฒ่ากู้ไทซูใช้เวลากี่วันในถ้ำหรือ?”
ซือหยูถามหาข้อมูล ไอลีนโนเวล
ผู้เฒ่ายิ้มราวกับรู้อยู่แล้ว “เจ้าอยากจะเทียบตัวเองกับกู้ไทซูรึ?หึหึ”
เขาส่ายหน้า
“โอ้?มันคือข้อมูลลับรึท่าน?”
ซือหยูถาม
ผู้เฒ่าหัวเราะ
“ไม่หรอกข้าก็แค่คิดว่าเจ้าไม่ต้องไปเทียบตัวเองกับกู้ไทซู เขาคือยอดฝีมือไร้เทียมทานแห่งดินแดนพรสวรรค์ ผู้ที่เจิดจรัสที่สุดในยุคสมัยนี้ ไม่ว่าเจ้าจะพยายามเท่าใดก็ยากที่เจ้าจะตามฎีกาสวรรค์ของเขาทัน ถ้าเจ้ายังยืนกราน มันอาจจะทำให้เจ้าเสียใจไปได้”
ซือหยูยิ้มและมองผู้เฒ่าเงียบๆ
ผู้เฒ่างงงวยเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าแววตาของซือหยูลึกล้ำอย่างประหลาดมันคือดวงตาที่มาจากความมั่นใจอันลึกอยู่ในดวงวิญญาณ
เงียบไปไม่นานผู้เฒ่ายอมพูด
“งานเฟิงหยุนจัดทุกๆ สามเดือน หนึ่งปีย่อมจัดได้สี่หน กู้ไทซูบ่มเพาะในตำหนักเมฆาม่วงมายี่สิบปีและเป็นผู้ชนะในงานเฟิงหยุนอยู่เสมอ เจ้าคงจะรู้แล้วว่าเขาใช้มาที่นี่กี่วัน”
ผู้เฒ่ากล่าว
เขาไม่บอกข้อมูลมากไปกว่านี้เขาจ้องซือหยูและพูดต่อ
“ข้าจะไปรอเจ้าที่ตีนเขา”
ซือหยูคำนวนเงียบๆ งานชุมนุมเฟิงหยุนยี่สิบปี
“กู้ไทซูบ่มเพาะที่นี่มาแปดสิบวันเต็มสินะ?”
ซือหยูมองถ้ำมุมปากยิ้มอย่างลึกลับ
เขาก้าวเข้าไปด้านในกำแพงในถ้ำนั้นดูปกติมาก ไม่มีสิ่งใดยื่นออกมา เมื่อเดินเข้าไปลึกขึ้น เขาเพียงแค่พบภาพเขียนเดียวที่วาดเอาไว้บนกำแะง มันเป็นภาพสีเทาของวิหคตัวเล็กที่บินขึ้นสู่สวรรค์กว้างใหญ่
ซือหยูจ้องมองภาพแต่ไม่พบสิ่งที่แปลกหรือไม่พบสิ่งที่เรียกว่าเนื้อหาจากมัน ถ้าหากผู้เฒ่าไม่บอกว่ามันคือภาพเขียนของเทพ ซือหยูก็คงจะไม่สนใจมันนัก
แต่ซือหยูเป็นบุรุษผู้มีความมุมานะแม้ว่าจะดูธรรมดา เขาก็จ้องมองภาพเขียนไม่วางตา
ผ่านไปครู่หนึ่งแล้วแต่ทุกอย่างเป็นอย่างเดิม เขารอไปอีก แต่ทุกอย่างก็ยังคงเดิม ครึ่งชั่วโมงผ่านไป จนถึงครึ่งชั่วยาม
ซือหยูเริ่มรู้สึกปวดตาเล็กน้อยเขาเริ่มสงสัยว่าตัวเองพลาดสิ่งใดไป พอเริ่มจะถอดใจ จู่ ๆ เขาก็เห็นบางอย่างในภาพเขียนขยับที่หางตา
มันเป็นแสงวาบเสี้ยวเล็กแต่มิอาจรอดพ้นสายตาซือหยูเขาเหลือบมองจุดเส้นแสงทันที เขาพบว่ามันมีจุดดำบางที่คล้ายกับฝุ่นในเมฆขาว มันไม่ขยับเมื่อเขาจ้องมองมัน ดังนั้นการมองก็ควรจะเป็นการมองไปที่วิหคสีเทา
เมื่อมองวิหคต่อไปจุดสีดำเล็ก ๆ เริ่มเปลี่ยนแปลง แต่การเคลื่อนไหวของมันนั้นมิอาจเห็นได้ด้วยตาเปล่า ซือหยูใช้พลังดวงตาทันทีจุดดำเริ่มขยายใหญ่ มันขยายขนาดจนน่าตกตะลึง ซือหยูเห็นว่าจุดดำนี้คือร่างเงามนุษย์ เขานี้กำลังกรีดร้องอยู่ในภาพเขียนอย่างบ้าคลั่ง ซือหยูสัมผัสได้ถึงความโกรธแค้นในเงานี้ เงากำลังเผชิญหน้ากับวิหคสีเทาราวกับว่าวิหคตัวนี้แย่งบางสิ่งบางอย่างจากเขาไป
ซือหยูนั่งสมาธิหน้ากำแพงและใช้พลังเวลาเขาปรับเวลารอบข้างให้ช้าลงห้าร้อยเท่า เขาผสานใจกับวิญญาณทั้งหมดที่เงามนุษย์บนภาพ
เขาสังเกตภาพไปหลายชั่วโมงเงาในภาพร้องคำรามไปครู่หนึ่งก่อนจะยกมือขึ้นและโบกสะบัดไปในทิศของวิหคสีเทา โซ่ที่สัมผัสไม่ได้ปรากฏออกมาจากความว่างเปล่า พวกมันรัดวิหคสีเทา
วิหคกรีดร้องความแก่ตัวเริ่มเกิดขึ้นบนร่างกายของมัน สีที่ขนของมันอ่อนลงไป พลังของมันอ่อนลง ความเร็วในการบินลดลงตามไป โซ่ขาดเมื่อมันกรีดร้องแสบแก้วหูอีกครั้งวิหคกลับสู่สภาวะปกติ มันสยายปีกบินไปยังท้องนภาห่างไกล โซ่ขาดกระจายไปยังทุกทิศทาง เส้นหนึ่งซัดมาทางซือหยู
มันเกิดจากภาพเขียนแต่โซ่ก็ดูเหมือนว่าจะกระแทกใส่ซือหยูจริง ๆ
ตู้ม!
ในดวงวิญญาณของซือหยูพบกับแรกปะทะอย่างรุนแรงมันเจ็บปวดจนวิญญาณของเขาจะขาดสะบั้น
อ๊ากกกก!
ซือหยูกรีดร้องด้วยความทุกข์ทรมานเสียงกรีดร้องดังไปทั้งถ้ำ
ซ่า…ซ่า….
หม้อเก้ามังกรที่เขาไม่เห็นมานานปรากฏขึ้นมันหยดของเหลวสีแดงเปล่งประกายไหลซึมไปยังทั้งร่างกายและกระดูกของเขา ความเจ็บปวดและความทุกข์ทรมานของเขาหายไปมาก
ซือหยูลืมตาโลหิตพุ่งออกจากปากฟุ้งกระจาย ร่างของเขากระแทกกับกำแพงอีกด้าน ไม่เพียงแต่โลหิตจะไหลออกมาจากปากเท่านั้น โลหิตสด ๆ ยังทะลักออกมาจากดวงตา จมูก และหูทั้งสองข้าง
เขาได้ปะทะกับโซ่ในภาพเขียนจากหมื่นปีก่อนและตอนนี้วิญญาณเขากำลังจะขาดสะบั้นเพราะแรงกระแทก ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยโลหิต ในใจเต็มไปด้วยความตกตะลึงขนานใหญ่ เกิดอะไรขึ้นกัน? แค่เศษเสี้ยวโซ่เล็ก ๆ ยังทำให้เขาบาดเจ็บได้ถึงเพียงนี้แม้ว่าเวลาช้าลง!