หลังจากองค์ราชินีผู้ผูกพยาบาทโดยง่ายได้ล้างแค้น กงอิ้นจึงลากจิ่งเหิงปัวถลาออกมาจากรอยแยกของกระโจมที่พังทลาย จิ่งเหิงปัวกำลังจะตะโกนว่าจับมือสังหารพลันพบว่าข้างนอกมีเสียงผู้คนโกลาหล คบเพลิงเริงระบำ ผู้คนนับมิถ้วนตะโกนว่า “มือสังหาร! จับมือสังหาร!” พลางวิ่งวุ่นไปมาในที่ตั้งค่าย เหตุการณ์เละเทะอินุงตุงนัง

 

 

“โอ้โห เจ้าพวกนี้โต้ตอบฉับไวเสียจริง พบว่ามีมือสังหารกันหมดแล้ว…” พอจิ่งเหิงปัวกล่าวได้ครึ่งหนึ่งจึงรู้สึกตัวว่าผิดปกติ นางหันกลับมามองดูกงอิ้น สีหน้าของเขาเย็นยะเยือกดุจน้ำแข็งแลหิมะ

 

 

จิ่งเหิงปัวครุ่นคิดชั่วครู่จึงเข้าใจ สูดลมหายใจเข้าจมูกแล้วถอนหายใจกล่าวว่า “คนเยอะเสียเรื่องสินะ…”

 

 

เห็นได้ชัดเจนอย่างยิ่งว่าในกองทัพองครักษ์แห่งหกแคว้นแปดชนเผ่ามีไส้ศึกของเหยียลี่ว์ฉี ฉะนั้นพอทางเขาโผล่ร่องรอยออกมา ไส้ศึกพวกนั้นจะเริ่มแสร้งจับกุมมือสังหารเพื่อกวนน้ำให้ขุ่น พอคนเยอะลานตา เหยียลี่ว์ฉีจะหลบหนีออกไปจากที่ตั้งค่ายได้ง่ายยิ่งนัก

 

 

หากมีเพียงเหยียลี่ว์ฉีผู้เดียว ต่อให้ถูกหน่วงเหนี่ยวไว้เพียงชั่วครู่ องครักษ์ที่กงอิ้นจัดวางไว้พร้อมสรรพแล้วยังคงขัดขวางเขาเอาไว้ได้ ตอนนี้เละเทะปานนี้คงทำอะไรไม่ได้แล้ว

 

 

กงอิ้นมองนางปราดเดียว…รู้ว่านางเฉลียวฉลาดมาแต่ไหนแต่ไร เพียงแต่การถอนหายใจด้วยความเฉลียวฉลาดยามนี้ฟังดูคล้ายเจือด้วยกลิ่นอายแห่งความตื่นเต้นดีใจอย่างไรไม่รู้

 

 

“ยินดีนักหรือ?” เขาเอ่ยอย่างเฉื่อยเนือย

 

 

“ฮะ?” จิ่งเหิงปัวฟังแล้วไม่เข้าใจ

 

 

กงอิ้นไม่เอ่ยวาจาแล้ว แขนเสื้อสะบัดเพียงครั้งผลักนางให้จิ้งอวิ๋นและชุ่ยเจี่ยที่ตามมา เอ่ยอย่างเย็นชาว่า “จับตานางไว้ให้ดี!”

 

 

จิ่งเหิงปัวถูกผลักจนล้มเข้าไปในอ้อมแขนของชุ่ยเจี่ยในครั้งเดียว พอเงยหน้ามองเห็นหัวหน้าองครักษ์ของกงอิ้นที่เดินเข้ามารักษาการณ์

 

 

“ข้ารู้ว่าเจ้าจากไปได้ทุกชั่วยาม ผู้ใดก็เหนี่ยวรั้งเจ้าไว้ไม่ได้ ข้ารู้ว่าหัวใจของเจ้ามิได้อยู่… ณ ที่แห่งนี้ ผู้ใดก็รักษาเจ้าไว้ไม่ได้” เขาเดินไปหลายก้าวแล้วหันกลับมาโดยพลัน ดวงตาประสานแววตาของนาง เอ่ยสืบต่อว่า “ข้าจะไม่เพิ่มโซ่ตรวนกับเจ้าหรือจำกัดอิสระของเจ้า เจ้าอยากอยู่ก็อยู่ อยากไปก็ไป อยากไปกับผู้ใดก็ไปกับผู้นั้น เพียงแต่วันนี้หากเจ้าก้าวเท้าออกจากที่นี่แม้แต่ก้าวเดียว ภายภาคหน้าเจ้ากับข้าคือศัตรู”

 

 

จิ่งเหิงปัวเงยหน้ามองเข้าไปในนัยน์ตาของเขา เบื้องลึกของดวงตาเขามืดมนกว่าคนปกติ คือความเย็นเยือกปานผลึกน้ำแข็งพันปีและสีฟ้าทะมึนคมกริบผืนหนึ่ง

 

 

นางคิดด้วยเพิ่งเข้าใจว่า เขากำลังโกรธเหรอ?

 

 

คบเพลิงเริงระบำในค่ำคืนมืดมิด ไอร้อนผ่าวลอยกำจายในทิวทัศน์ เงาด้านหลังของเขายังคงโดดเดี่ยวเหน็บหนาว ความโดดเดี่ยวเหน็บหนาวที่เขาเดียวดายแม้มีผู้คนนับพันนับหมื่น ความโดดเดี่ยวเหน็บหนาวที่มองเห็นเพียงเขาแม้มีผู้คนนับพันนับหมื่น

 

 

จิ่งเหิงปัวงงงันเล็กน้อย แต่ไหนแต่ไรมานางรู้สึกว่าเขาเย่อหยิ่ง ปากร้าย สูงส่งเย็นชา น่าอึดอัด ซ้ำยังเป็นคนเก็บความรู้สึกลึกล้ำ เพียงแต่ตอนนี้รู้สึกทันทีว่าที่จริงแล้วอุปนิสัยแท้จริงของเขาคืออ้างว้าง

 

 

ด้วยเพราะความอ้างว้างเนิ่นนานจึงหลงลืมเสียงโหวกเหวกแห่งสรรพชีวิต มิได้ปรับตัวเข้ากับแสงสีทางโลกอีกจึงยากจะผสานตนสู่โลกมนุษย์ตามปรารถนา ประสบการณ์เหนือธรรมดาพาเขาห่างเหินจากโลกใบนี้ ปกป้องตนเองจนกลายเป็นสัญชาตญาณ เจตนาร้ายและการปฏิเสธยังมิทันได้กล้ำกราย เขายื่นมือออกมาปิดประตูดวงหทัยเสียก่อนแล้ว

 

 

ในใจเหน็บหนาวเสียยิ่งกว่าคล้ายมีน้ำแข็งก้อนหนึ่งซึมแทรกเข้ามาโดยพลัน นางเป่าสองมือครุ่นคิดว่าประสบการณ์เช่นไรหล่อหลอมให้เขามีนิสัยเช่นนี้ คิดไปคิดมาก็ว้าวุ่นใจขึ้นมาทันที

 

 

เกี่ยวอะไรกับนางเหรอ?

 

 

นางตั้งมั่นในความคิดจะยิ้มเย้ยต่างโลก อิสรเสรีชั่วชีวิต!

 

 

ความงดงามและการปล่อยตนคือต้นทุนของนาง ทำไมจะอยู่ต่างโลกอย่างสง่างามไม่ได้ ทำไมต้องฝืนจะแบกภาระกับไอ้น่าอึดอัดคนหนึ่ง?

 

 

นางสะบัดมืออย่างรุนแรงคล้ายดั่งเช่นนี้จะสะบัดอารมณ์แปลกประหลาดเหล่านั้นออกไปได้

 

 

“ไปเถิดเพคะ” นางรับใช้แปลกหน้าสองนางเดินเข้ามารับนางไปจากมือของชุ่ยเจี่ย ลากนางไปถึงหน้ากระโจมของตนเองอย่างกึ่งประคองกึ่งบังคับแล้วผลักนางเข้าไป

 

 

จิ่งเหิงปัวไม่ได้ขัดขืน ก่อนหน้านี้สู้รบกับเหยียลี่ว์ฉีในกระโจมไปครั้งหนึ่ง แม้ว่าเป็นเพียงการโต้ตอบไปมาสั้นๆ ไม่กี่ครั้งแต่ใช้พลังกายและพลังใจจนหมดสิ้น ตอนนี้ทั่วร่างผ่อนคลายลงมา รู้สึกเพียงว่าเซลล์ทุกเซลล์กำลังร้องตะโกนจะเอนกายนอนหลับ นางรีบเร่งคลานขึ้นไปเอนกายบนเบาะรอง ตบใบหน้าของตนเอง ปากบ่นอุบอิบว่า “นอนหลับ”

 

 

นางนอนหลับตัวตรงดิ่งด้วยท่วงท่านอนหงายของนางตลอดมา นางคิดว่าการนอนตะแคงจะก่อเกิดริ้วรอยบนใบหน้า นับเป็นโทษทัณฑ์ที่ไม่อาจให้อภัย

 

 

ความมืดมิดมัวสลัว เสียงโหวกเหวกภายนอกคล้ายจะห่างไกลออกไป แต่เสียงหึ่งๆๆ ปานแมลงวันผุบๆ โผล่ๆ ในสมองนางอย่างต่อเนื่อง

 

 

“กุมอำนาจทั่วหล้าและโอบโฉมสะคราญแนบอกจึงเป็นอนาคตที่ราชครูสมควรจะได้รับ เหตุใดจึงต้องอดกลั้นให้สตรีต่างถิ่นนางหนึ่งขี่คอเจ้าวางอำนาจบาตรใหญ่เล่า?”

 

 

“…ราชครู เจ้าลำบากเดินทางยาวไกลหมื่นลี้มารับนางด้วยตนเองด้วยเพราะกังวลความปลอดภัยของราชินีจริงหรือ?”

 

 

นางพลิกกายครั้งหนึ่งอย่างวุ่นวายใจ แขนกระทบพื้นอย่างรุนแรง

 

 

“นอนหลับ!” นางตะคอกสั่งการตนเอง พลิกกายให้ราบเรียบ เผชิญหน้าเพดานกระโจมราวซากศพนอนหงาย

 

 

เสียงหึ่งๆๆ มาอีกแล้ว

 

 

“เจ้าหวังหลอกใช้ราชินีก้าวผ่านเหตุการณ์ไปอย่างสงบสุขใช่หรือไม่?”

 

 

“หลังจากราชินีเสด็จนิวัตพระนคร ตำหนักอวี้จ้าวของเจ้าคงจะตระเตรียมวิธีรับมือราชินีไว้เนิ่นนานแล้วเป็นแน่…”

 

 

นางลุกขึ้นนั่งฉับพลัน เผชิญหน้ากับความมืดมิด กัดฟันกัดปาก

 

 

“วิธี…รับมือ…” นางแค่นเสียงหลายเสียง คว้าเส้นผมเอาไว้ ถีบผ้าห่มออกไป เอนกายนอนถ่างแข้งถ่างขา

 

 

“พอราชินีผ่านการทดสอบมิได้ถูกเนรเทศ ผู้รับเสด็จย่อมชื่อเสียงเสียหายได้รับผลกระทบไปด้วย…”

 

 

“ข้าว่าเจ้าคงไม่ต้องการให้ช่วย”

 

 

“ยินดีนักหรือ?”

 

 

เสียงสองเสียงวิวาทกันในสมองนาง นางคลานขึ้นมาร้องโอ๊ยเสียงหนึ่ง คว้าผ้านวมไว้เตะต่อยชกตีพลางกล่าวว่า “อารมณ์แปรปรวน! ชีวิตแบบนี้อยู่ไม่ได้แล้ว!”

 

 

“เจ้าอยากอยู่ก็อยู่ อยากไปก็ไป อยากไปกับผู้ใดก็ไปกับผู้นั้น เพียงแต่วันนี้หากเจ้าก้าวเท้าออกจากที่นี่แม้แต่ก้าวเดียว ภายภาคหน้าเจ้ากับข้าคือศัตรู”

 

 

หวนคิดถึงเสียงเหน็บหนาวเสียงนั้นของกงอิ้นขึ้นมาแล้วน่ารำคาญอย่างยิ่ง จิ่งเหิงปัวมองดูกระโจมกว้างโล่งเงียบสงัด เสียงโหวกเหวกข้างนอกค่อยๆ กลับกลายเป็นความสงบเงียบแล้ว กระโจมของกงอิ้นคล้ายจุดแสงตะเกียงขึ้นมา เขาเสร็จสิ้นกิจธุระแล้ว ทว่ามิได้เดินมาหานางและไม่มีใครบอกกล่าวนางว่าเรื่องราวเป็นอย่างไรบ้างแล้ว นางเหมือนจะถูกโยนเอาไว้ที่นี่ ถูกลืมเลือนไปแล้ว

 

 

จิ่งเหิงปัวรู้ว่าตนเป็นคนประมาทเลินเล่อ นอกจากห่วงใยความงามแล้วเรื่องอื่นไม่มีอะไรดี แต่ทว่าวันนี้ทรมานไปค่อนคืนแล้ว ความประหลาดใจ ความหดหู่และการต่อสู้เพื่อความเป็นความตายโถมเข้ามา ทดสอบความตั้งใจของนางดุจระลอกคลื่น ส่วนวาจาน่าเกลียดชังของกงอิ้นผู้น่ารำคาญกลายเป็นฟางเส้นสุดท้ายซึ่งทำให้หลังอูฐหัก

 

 

จิ่งเหิงปัวยืนอยู่บนผ้าห่ม สองมือเท้าเอว ชะเง้อมองกระโจมสงบเงียบของกงอิ้น เพลิงโทสะในนัยน์ตาลุกโชน

 

 

นี่นับประสาอะไร?

 

 

กลั่นแกล้งตนเองแล้ว ยังใช้วาจาประโยคเดียวขังตนเองไว้แน่นหนา?

 

 

ต้าปัวเธอไร้ปณิธานขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไร?

 

 

หรือว่าถูกประโยคนั้นทำให้หวาดกลัวจริงๆ …

 

 

ความคิดสุดท้ายความคิดหนึ่งแฉลบผ่าน จิ่งเหิงปัวส่ายศีรษะอย่างบ้าคลั่งทันที สะบัดความคิดนั้นปลิวว่อนออกไป

 

 

“ไม่! ใช่! แน่! นอน!” นางถีบม้านั่งตัวหนึ่งจนล้มตะแคงในเท้าเดียว กล่าวว่า “ตอนนี้พี่จะพิสูจน์ให้เธอดู!”

 

 

 

 

กระโจมของกงอิ้นสงบเงียบเชียบโดยตลอด หลังจากมีมือสังหารมารบกวน เหล่าองครักษ์รักษาการณ์กระโจมของเขาอย่างเข้มงวดอีกครั้ง

 

 

หาตัวเหยียลี่ว์ฉีไม่เจอ กงอิ้นก็ไม่ประหลาดใจ คำสั่งหลายข้อถ่ายทอดลงมาปานธารหลาก

 

 

“กลุ่มจย่าสามสืบเสาะเหยียลี่ว์ฉีและพวกพ้องต่อไป”

 

 

“สืบสวนองครักษ์ของหกแคว้นแปดชนเผ่าที่เข้ายามรักษาการณ์คืนนี้ทั้งหมดอย่างเข้มงวด ต้องสืบให้ชัดเจนว่ามีพฤติกรรมเปลี่ยนเวรยามหรือแทนเวรยามหรือไม่”

 

 

“เริ่มตั้งแต่คืนพรุ่งนี้ ยามหยุดพักตั้งค่าย จงดำเนินการจัดสรรที่พักตั้งค่ายของหกแคว้นแปดชนเผ่าองครักษ์เสียใหม่ นี่คือแผนภูมิการจัดสรร”

 

 

“ให้กองเทียนเฉียนแอบสืบเฟยหลัว และสืบให้แน่ว่าชนชั้นสูงแห่งแคว้นเซียงได้ติดต่อกับเหยียลี่ว์ฉีเป็นการส่วนตัวหรือไม่”

 

 

“ออกคำสั่งราชองครักษ์คั่งหลง ส่งทหารกล้าสามพันนาย รับขบวนเสด็จหน้าด่านชิงหัน”

 

 

“ออกคำสั่งตำหนักอวี้จ้าว เฟ้นหาผู้เชี่ยวชาญศาสตร์ศิลป์อัศจรรย์จากหน่วยปาอี้แห่งวังหลวง ส่งตัวมาที่นี่”

 

 

 

 

กงอิ้นหยุดชะงักชั่วครู่โดยพลัน เหมิงหู่ที่ก้มหน้าตั้งใจฟังโดยละเอียดเงยหน้าขึ้นอย่างประหลาดใจ จึงมองเห็นนายท่านขมวดคิ้วเรียวเล็กน้อย นิ้วมือลากเส้นบนแผ่นสาร ลากเส้นหนาขีดหนึ่ง แล้วลากเส้นหนาอีกขีดหนึ่งโดยจิตสำนึก

 

 

นี่คือนิสัยเคยชินน้อยๆ ยามราชครูมีเรื่องให้ครุ่นคิดวางแผนในใจ เพียงแต่หลายปีมานี้ เรื่องที่สามารถทำให้ราชครูลังเลลำบากใจไปชั่วครู่น้อยลงยิ่งนักแล้ว

 

 

เขามีความอยากรู้อยากเห็นอยู่บ้าง อดจะอยากคาดเดามิได้ว่าผู้ใดทำให้นายท่านเผยสีหน้าเช่นนี้ออกมา คงจะมิใช่…กระมัง?

 

 

“จัดกลุ่มจย่าหนึ่ง รักษาการณ์กระโจมและรถม้าของราชินีทั้งทิวาราตรี” กงอิ้นเอ่ยในที่สุด

 

 

เป็นเรื่องเกี่ยวกับนางดังคาดการณ์ เหมิงหู่ขมวดหัวคิ้วชนกันน้อยๆ กลุ่มจย่าหนึ่งคือหนึ่งในทหารซึ่งเกรียงไกรที่สุดหน่วยหนึ่งในค่ายชุยเหวยที่เขาบัญชาการ หน่วยนี้คือกำลังที่ไม่ได้ปรากฏตัวตลอดมา ใช้ปกป้องอย่างลับๆ โดยเฉพาะ ราชครูจะใช้สอยกลุ่มจย่าหนึ่งเขาไม่ประหลาดใจ เพียงแต่…

 

 

“ท่านหวังจะคุมตัวราชินีไว้หรือขอรับ?” เขาเอ่ยว่า “ทว่าขอเพียงกลุ่มจย่าหนึ่งมิอาจเข้าไปในกระโจมหรือรถม้า ราชินีจะรอดพ้นจากการควบคุมได้ตลอดเวลา…”

 

 

วาจาของเขาหยุดลง ด้วยเพราะกงอิ้นเงยหน้ามองเขาปราดเดียว

 

 

ก่อน้ำแข็งแทรกหิมะ คล้ายภายนอกภายในภูเขาหิมะสิบล้านลี้สะเทือนเลือนลั่นโดยพลัน

 

 

เหงื่อเย็นเยียบซึมออกมาท่วมร่างเขา เข้าใจจิตใจที่แท้จริงของนายท่านในพริบตาเดียว แอบสำนึกว่าตนเองปากมาก รีบเร่งเงียบเสียงถอยออกไป หางตากล้าเพียงมองดูมือของกงอิ้น ปลายแขนเสื้อไหมทอลายสีขาวราวหิมะที่ปักดิ้นทองซ่อนด้ายลายขุย[1]ไม่ขยับเขยื้อน ผุดเผยเล็บหลายนิ้วเกลี้ยงเกลาดั่งเปลืองหอย ขาวบริสุทธิ์ดุจหยก

 

 

ผ้าม่านปิดลง กงอิ้นจึงค่อยๆ หลุบขนตาลงต่ำ ปลายนิ้วดีดเพียงครั้ง ของเหลวสีเหลืองอ่อนเม็ดหนึ่งในซอกเล็บถูกดีดออกมา

 

 

เขาถอนหายใจเฮือกหนึ่ง…ในที่สุดสารพิษถูกขับออกมาจนสิ้นแล้ว

 

 

ผลไม้สีแดงที่เฟยเฟยโยนลงมามิได้รักษาได้ตรงจุดทั้งหมด เฉกเช่นเฟยหลัวยามนี้นอนพลิกไปมาอยู่ในกระโจมของตนเอง แม้ว่ามิได้ก่อเรื่องวุ่นวายอีกต่อไป ยังคงสำแดงกิริยาน่าเกลียดร้อยพัน จนทำให้เขาจำเป็นต้องออกคำสั่งให้เฝ้ากระโจมของเฟยหลัวอย่างเข้มงวดมิให้ผู้ใดเข้าไป

 

 

เขาขับสารพิษออกมา ยืนขึ้นเลิกผ้าม่านออก สิ่งเผชิญหน้าคือกระโจมมืดสนิทของจิ่งเหิงปัว

 

 

เขามองกระโจมนั้นอย่างเงียบงันชั่วครู่ แววตาซับซ้อน

 

 

นาง…คงจะนอนแล้วกระมัง

 

 

ยามนิทรานางคงจะโกรธยิ่งนักเป็นแน่

 

 

กงอิ้นเองยังไม่รู้ว่า ชั่วขณะนี้เขาผุดเผยรอยยิ้มเจือจางอีกครา จากนั้นถูกแทนที่ด้วยความเคร่งขรึมผืนหนึ่ง

 

 

ยิ่งใกล้ต้าฮวง สายฝนสายลมยิ่งรุนแรง วันเวลายามสายลมดุจคมมีดน้ำค้างดุจคมกระบี่เช่นนี้เขาเคยชินแล้ว ส่วนสตรีอิสระตามใจตนนางนั้น นางจะใช้ใบหน้าเช่นไรไปเผชิญหน้า?

 

 

เขาเม้มริมฝีปากแผ่วเบา ฝีเท้าขยับไปเบื้องหน้าก้าวหนึ่งอย่างแผ่วเบาเงียบเชียบ จากนั้นหยุดชะงัก

 

 

มีเพียงฟ้ารู้ว่าเมื่อครู่โดนลูกไม้ใดเข้าไป จนบัดนี้ยังสติเลอะเลือนใจเต้นดุเดือดเพียงน้อย ยามคิดว่าต้องพบนาง ก็จะนึกถึงยามโอบกอดกันในตาข่ายคืนฝนโปรยกลางหุบเขาครั้งหนึ่งนั้นอย่างแปลกประหลาด ผิวกายชุ่มชื่นและลมหายใจหอมหวานของนาง นัยน์ตาที่ทอประกายระยิบระยับในความมืดมิด รวมทั้งริมฝีปากแดงฉ่ำงามล้ำโดยกำเนิดนั้น หรือ ณ วังกษัตริย์เทียนหนานยามนางโถมกายมา ผิวกายเจือความเย็นเพียงน้อยโถมทับเขาอย่างรุนแรงโดยพลัน…

 

 

ลมหายใจถี่กระชั้นขึ้นมาอย่างแปลกประหลาด

 

 

เขารีบเร่งสืบเท้ากลับมา มิกล้าย่ำไปเบื้องหน้าอีกก้าว ความคิดล่องลอยปานนี้ จะพบนางได้อย่างไร?

 

 

มือคลายออกปล่อยผ้าม่านลง เขาหันกายจะนั่งสมาธิ ในใจสะท้านโดยพลัน แขนเสื้อสะบัดเพียงครั้ง กายทะลุผ่านม่านออกไปเสียแล้ว

 

 

ผ้าม่านกระโจมของกงอิ้นเพิ่งสยายลงมา พริบตาต่อมาเขาเลิกผ้าม่านกระโจมของจิ่งเหิงปัวออกแล้ว

 

 

จากนั้นเรือนร่างของเขาแข็งทื่อ

 

 

กระโจมว่างเปล่า เครื่องนอนกองระเกะระกะเกลื่อนพื้น มีคนเสียที่ไหน

 

 

ผ้าม่านสั่นไหวเล็กน้อยขึ้นมา กงอิ้นคว้าม่านไว้แน่นจนรอยยับย่นผสานกัน

 

 

เสียงของกงอิ้นลอดออกมาจากไรฟันทีละคำละคำ ฟังแล้วมีความเร่งร้อนของการมาถึงแห่งสายฝนในภูผา

 

 

“หนีไปอีกแล้ว…ดังคาด!”

 

 

 

 

จิ่งเหิงปัวเดินลอยล่องบนทุ่งนามืดมิด

 

 

พอหายตัวออกมาด้วยเพราะความโกรธ นางวิงเวียนตาพร่ายังไม่รู้ว่าหายตัวไปถึงที่ไหน รู้เพียงว่าห่างจากที่พักตั้งค่ายไปไม่ไกล ด้วยเพราะหันกายก็มองเห็นแสงไฟเป็นจุดๆ ปานดวงดาวข้างหลังได้แล้ว

 

 

การหายตัวของนาง ภายใต้สถานการณ์ต่างกันผลลัพธ์ต่างกัน ตอนสมาธิรวมศูนย์สามารถหายตัวไปยังที่ซึ่งตนเองอยากไป ตอนจิตใจจดจ่อสามารถหายตัวได้ไกลสุดถึงหลายลี้ ตอนความคิดเละเทะอาจจะหายตัวจากตำแหน่งนั่งยองทางซ้ายของห้องน้ำไปถึงตำแหน่งนั่งยองทางขวาของห้องน้ำ

 

 

ตอนนี้ก็ไม่ได้หายตัวมาไกลเท่าไร แต่นางไม่ได้คิดจะหนีให้ไกล มองเบื้องหน้ามีแม่น้ำสายหนึ่ง เดินเข้าไปอย่างหมดอาลัยตายอยาก คว้ากิ่งไม้กิ่งหนึ่งซึ่งหล่นอยู่ริมน้ำขึ้นมาตีน้ำเล่น

 

 

ริมน้ำมีวัชพืชเกิดเป็นพุ่ม ดูท่าไม่ค่อยมีใครมาจึงกำเนิดกิ่งก้านอ่อนเขียวขจีมากมาย จิ่งเหิงปัวเด็ดมามองดูกำหนึ่ง ร้อง “เอ๋” เสียงหนึ่ง กระซิบกระซาบว่า “นี่เหมือนจะเป็นโหลวเฮา[2]? ของดีนะเนี่ย ต้าฮวงมีของสิ่งนี้ด้วย…”

 

 

นางเด็ดโหลวเฮามาหลายก้าน ดมกลิ่นนั้น แววตาคล้ายครุ่นคิดบางสิ่ง

 

 

เสียงน้ำซ่าซ่าแว่วไปห่างไกลในค่ำคืนเงียบสงัด นางคล้ายไม่ได้สนใจ หันกลับมามองดูที่พักตั้งค่ายตลอดเวลา

 

 

มองอยู่เนิ่นนานที่พักตั้งค่ายยังไร้การเคลื่อนไหว นางร้อนรนขึ้นมา เปลี่ยนสถานที่เสียเลย นั่งยองหันหลังให้ที่พักตั้งค่าย ส่องใบหน้าของตนเองกับน้ำในแม่น้ำทั้งเสียอย่างนั้น

 

 

“พี่สวยขนาดนี้ ดีขนาดนี้” นางบ่นอุบอิบด้วยครุ่นคิดไม่ตกว่า “ตามกฎการทะลุมิติ น่าจะทองคำเกลื่อนกลิ้งหนุ่มหล่อเกลื่อนกลาดดอกท้อเต็มถนนใครเห็นใครรักดอกไม้เห็นดอกไม้ผลิบานแมลงวันเห็นแล้วล้มขาชี้ฟ้าตลอดทางถึงจะถูก ทำไมพอถึงตาฉันถึงคุณยายไม่ชอบหน้าน้าชายไม่รักใคร่สตรีโรคจิตบุรุษผิดเพศ?”

 

 

ข้างกายนางมีเฟยเฟยอยู่ซ้ายเจ้าหมาโง่อยู่ขวา เมื่อครู่ตอนนางออกมา ฉวยนำเจ้าสองตัวนี้มาแก้กลุ้ม

 

 

แต่ว่านี่เหมือนจะไม่ใช่ความคิดที่ดี การแก้กลุ้มยิ่งอาจจะกลายเป็นยิ่งกลุ้ม…เจ้าหมาโง่แอบถีบเฟยเฟยอย่างต่อเนื่อง ถูกหางใหญ่ของเฟยเฟยตบจนขนนกปลิวว่อน ปัญหาสำคัญอยู่ตรงที่ไม่ว่ามันจะถูกตบไปมากสักกี่ครั้งก็ยังไม่รู้จะเปลี่ยนทิศทางการถีบ พิสูจน์ได้เต็มเปี่ยมว่าสัตว์ประหลาดน้อยดูถูกสติปัญญาของนกอัปลักษณ์

 

 

“เจ้าหมาโง่ อย่าก่อเรื่อง” จิ่งเหิงปัวคว้าเจ้าหมาโง่ขึ้นมา กล่าวอย่างโศกเศร้ากับจะงอยปากนกตรงจมูกของมันว่า “เจ้าดูพี่สิ งามหรือไม่? มีเสน่ห์หรือไม่?”

 

 

“งามหรือไม่ มองดูปากนั้นของเฟิ่งเจี่ย[3] มีเสน่ห์หรือไม่ ฟูหรงเอส[4]ล้ำค่าที่สุด” เจ้าหมาโง่ตอบ

 

 

“ไปตายซะ” จิ่งเหิงปัวโยนมันไปไกลโพ้นนอกสายตา

 

 

“เฟยเฟย” จิ่งเหิงปัวโอบสัตว์ประหลาดน้อยแสร้งน่ารักซ่อนอันตรายไว้บนเข่า จ้องดวงตากลมโตสีม่วงเข้มที่กะพริบเชื่องช้าของมัน กล่าวว่า “เจ้าดูพี่สิ งามหรือไม่…”

 

 

มือของนางสั่นสะท้านโดยพลัน จ้องมองนัยย์ตากลมโตของเฟยเฟย ขนทั่วร่างค่อยๆ ลุกชันขึ้นมา

 

 

นับน์ตากลมโตทอประกายเข้มนั้นสะท้อนภาพข้างหลังกายนางอย่างแจ่มชัด เจ้าหมาโง่กลางอากาศ ไม่ใช่ ยังมีมือข้างนั้นที่คว้าเจ้าหมาโง่ไว้

 

 

แขนเสื้อสีเงินเหลือบดำล่องลอยในค่ำคืนมืดมิด นิ้วมือเรียวยาวยิ่งนักอุดปากของเจ้าหมาโง่เอาไว้…

 

 

 

 

 

 

 

[1] ขุย สัตว์ประหลาดชนิดหนึ่ง มีลักษณะตัวเป็นวัว มีเขา มีขาเพียงข้างเดียว

 

 

[2] โหลวเฮา หญ้าชนิดหนึ่ง ชื่อวิทยาศาสตร์ Artemisia selengensis Turcz. ex Bess มีสรรพคุณในการห้ามเลือด บรรเทาอาการอักเสบ

 

 

[3] เฟิ่งเจี่ย หรือหลัวอวี้เฟิ่ง ชื่อเล่น เฟิ่งเจี่ย คือเน็ตไอดอลคนหนึ่งของจีนแผ่นดินใหญ่

 

 

[4] ฟูหรงเอส ท่าทางบิดเอวบิดร่างกายเป็นรูปตัวอักษร s