บทที่ 549 เมื่อสักครู่นี้เกิดอะไรขึ้นกันแน

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

หลินเป่ยเฉินเดินฮัมเพลงอย่างอารมณ์ดีไปหยุดยืนอยู่ริมทะเลสาบซึ่งเป็นที่ทำการของจวนผู้ว่า

ถึงจวนผู้ว่าจะตั้งอยู่บนเกาะกลางทะเลสาบ แต่รายรอบทะเลสาบนั้นก็เต็มไปด้วยอาคารบ้านเรือนที่เป็นเหมือนกับเมืองขนาดเล็ก

ปืนไรเฟิล 98k มีระยะหวังผลอยู่ที่ 5,000 เมตร

ระยะห่างจากริมฝั่งไปจนถึงเกาะกลางทะเลอยู่ที่ประมาณ 1,000 เมตร

หากสามารถเลือกตำแหน่งได้ดี หลินเป่ยเฉินก็สามารถสังหารเป้าหมายได้จากตรงนี้ โดยไม่ต้องขึ้นไปอยู่บนเกาะกลางทะเลสาบด้วยซ้ำ

เพียงนัดเดียวก็สามารถดับชีวิตเป้าหมายได้แล้ว

แต่แน่นอนว่าสถานที่ซึ่งเป็นเป้าหมายการโจมตีในวันนี้ของหลินเป่ยเฉินไม่ได้อยู่ที่จวนผู้ว่า

หลินเป่ยเฉินได้รับทราบข่าวมาก่อนหน้านี้

เห็นว่าที่ปรึกษาเต่าทะเลซึ่งเป็นกุนซือคนสำคัญของแม่ทัพฉลามอู๋หยา ได้จัดเลี้ยงรับรองสายลับผู้รอดชีวิตทั้งสองคนนั้นในโรงเตี๊ยมสิงโตทะเล

และตำแหน่งที่ตั้งของโรงเตี๊ยมสิงโตทะเลนั้น…

ให้ตายสิ

อยู่ในระยะหวังผลของปืน 98k พอดี

“นี่สินะที่เรียกว่าคนเราเมื่อถึงที่ตาย อย่างไรก็ต้องตายอยู่ดี เหอเหอเหอ…”

หลินเป่ยเฉินไม่สามารถหาตำแหน่งที่เหมาะสมได้จากบริเวณริมฝั่ง ดังนั้น เขาจึงเช่าเรือลำเล็กลำหนึ่งและสวมใส่ชุดเครื่องแบบคนหาปลา พายเรือไปในทะเลสาบ

ชาวทะเลไม่ได้ห้ามมนุษย์ตกปลา

ดังนั้น ในทะเลสาบประจำเมืองหยุนเมิ่งจึงมีคนหาปลาพายเรือมาตกปลาเป็นเรื่องปกติ

แต่ต้องมีการจ่ายภาษี

และเป็นการจ่ายภาษีที่หนักหน่วง

หลินเป่ยเฉินพายเรือหาตำแหน่งอยู่เพียงไม่นาน ในที่สุด เขาก็พบจุดซุ่มยิงที่เหมาะสม

เด็กหนุ่มจัดการปรับตำแหน่งปืน 98k เล็กน้อย

อาวุธสังหารที่ซื้อมาจากแอป Taobao เหล่านี้ มีเพียงเขาคนเดียวเท่านั้นที่สามารถมองเห็นได้ หลินเป่ยเฉินจึงไม่ต้องกังวลว่าชาวทะเลที่ออกลาดตระเวนผ่านไปผ่านมาในทะเลสาบนั้นจะพบเข้ากับความผิดปกติ

ตำแหน่งที่เด็กหนุ่มจอดเรือลอยลำอยู่ห่างจากชายฝั่งทะเลสาบประมาณ 100 เมตร นี่คือระยะที่เหมาะสมที่สุด เมื่อก้มหน้าแนบดวงตาเข้ากับกล้องขยายบนตัวปืน หลินเป่ยเฉินก็สามารถมองเห็นความเคลื่อนไหวในโรงเตี๊ยมสิงโตทะเลผ่านทางหน้าต่างได้อย่างชัดเจน และเขาก็ค้นพบพวกของเจิ้งเจินเจี้ยนอย่างรวดเร็ว…

“คิดจะเป็นสายลับ ก็ต้องชดใช้ด้วยชีวิตละนะ”

หลินเป่ยเฉินเล็งเป้าหมายผ่านทางกล้องขยาย

แต่ในจังหวะที่เขากำลังจะเหนี่ยวไกยิงนั้นเอง…

ปู๊น! ปู๊น! ปู๊น!

เสียงเป่าแตรยาว 3 ครั้งดังก้องกังวานไปทั่วทะเลสาบ คลื่นเสียงทำให้ผิวน้ำไหวเป็นระลอกคลื่น ละอองน้ำสาดกระจายไปทุกทิศทุกทาง

หลินเป่ยเฉินหัวใจกระตุกวูบ ต้องยกมือขึ้นปิดหูทันที

โชคดีที่เมื่อสักครู่นี้ เขายังไม่ทันได้เหนี่ยวไก

มิฉะนั้นแล้ว ความพยายามที่จะลอบสังหารก็คงสูญเปล่า

“ว่าแต่ใครมาเป่าแตรในทะเลสาบกลางวันแสกๆ แบบนี้วะ?”

เด็กหนุ่มหันหน้ามองไปทางที่มาของเสียงเป่าแตรด้วยความหวาดระแวง

เมื่อพบว่ามันดังมาจากอะไร หลินเป่ยเฉินก็ถึงกับตกตะลึง

เพราะว่าห่างออกไปประมาณครึ่งลี้ ได้ปรากฏกองเรือรบประมาณสิบลำค่อยๆ ลอยขึ้นมาจากใต้ผิวน้ำอย่างน่าพิศวง

ผืนธงประจำเรือโบกสะบัดใต้แสงอาทิตย์ สะท้อนประกายเหล็กกล้าแวววาว

บนเรือรบลำใหญ่ที่สุดซึ่งเคลื่อนที่อยู่ตรงกลางขบวน ประดับไว้ด้วยธงสีแดงผืนใหญ่

บนผืนธงเป็นสัญลักษณ์ของนักล่า

ลวดลายบนธงสีแดงเป็นรูปลูกธนูสามดอกเรียงชิดติดกันเป็นขีดสามขีด เมื่อผืนธงโบกสะบัดไปตามแรงลม มันก็ได้ปลดปล่อยรัศมีความน่ากลัวที่ทรงพลังออกมาอย่างน่ามหัศจรรย์ยิ่ง

“หืม?”

หลินเป่ยเฉินขมวดคิ้วด้วยความประหลาดใจ

เพราะนี่คือกองเรือรบของจักรวรรดิจี้กวง

กองเรือรบจากดินแดนที่เป็นศัตรูหมายเลขหนึ่งของจักรวรรดิเป่ยไห่มาทำอะไรที่นี่?

หลินเป่ยเฉินจับตามองด้วยความระมัดระวัง

และเขาก็รับรู้อย่างรวดเร็วว่ากองเรือรบเหล่านี้ไม่ได้มาเพื่อเปิดฉากสงคราม

แต่เหมือนมาทำภารกิจอะไรบางอย่าง?

เพราะว่าด้านข้างกองเรือรบเหล่านี้มีเรือของชาวทะเลและนายทหารชาวทะเลจำนวนหนึ่งคอยคุ้มกันอยู่ไม่ห่าง

เสียงเป่าแตรที่ดังขึ้นสามครั้งเมื่อสักครู่ เป็นสัญญาณเปิดทางของชาวทะเล หมายความว่าใครก็ตามที่กำลังแล่นเรืออยู่ในทะเลสาบให้รีบหลบทางโดยเร็วไว ต่อให้เป็นเรือของขุนนางผู้ยิ่งใหญ่ แต่ถ้าไม่ยอมชิดเรือเข้าขอบทาง ก็จะต้องถูกจับโยนลงไปเป็นอาหารปลาใต้ทะเลสาบแน่นอน

หลินเป่ยเฉินจึงจำเป็นต้องรีบพายเรือกลับไปอยู่ริมฝั่งเช่นกัน

แต่เด็กหนุ่มลืมคิดไปว่าก่อนหน้านี้เขาไม่ได้พายเรืออย่างจริงจัง เพราะอาศัยคลื่นน้ำจากเรือลำอื่นๆ คอยผลักดันไปข้างหน้า เมื่อต้องลงมือพายเรือด้วยตัวเองอย่างเร่งรีบเช่นนี้ ความเร็วของเรือเขาจึงเคลื่อนที่ไปข้างหน้าเชื่องช้าเป็นอย่างยิ่ง ก่อให้เกิดเป็นภาพที่น่าอนาถใจยิ่งนัก…

และภาพของเด็กหนุ่มคนหาปลาผู้หนึ่งซึ่งกำลังพายเรือวนอยู่กับที่ ก็สะดุดสายตาผู้ยิ่งใหญ่ที่อยู่บนเรือรบจากต่างแดนเข้าให้แล้ว

องค์หญิงเค่อเอ๋อร์เป็นบุตรสาวคนเล็กของเจ้าชายอวี้ชินหวังแห่งจักรวรรดิจี้กวง

นางมีอายุได้ 14 ปีแล้ว

ผมยาวสลวยสีทอง ผิวขาวนวลเนียนบริสุทธิ์ เรือนร่างอรชรสมบูรณ์แบบราวกับถูกแกะสลักด้วยช่างฝีมือดีที่สุดในจักรวรรดิจี้กวง แม้อายุสมควรเป็นเด็กสาวเยาว์วัยผู้หนึ่ง แต่เห็นได้ชัดว่ารูปร่างและหน้าอกหน้าใจของนางนั้นเติบโตเกินอายุไม่น้อยเลยทีเดียว

เด็กสาวเหมือนกับมีรัศมีสว่างไสวแผ่ออกมาจากร่างกายตลอดเวลา

แต่ความสามารถของนางนั้นมีดียิ่งกว่าหน้าตา

เริ่มจากพลังปราณธาตุประจำตัว

องค์หญิงเค่อเอ๋อร์เป็นผู้มีพลังปราณธาตุดินและพลังปราณธาตุไม้ สติปัญญาเฉลียวฉลาด รอบรู้เรื่องประวัติศาสตร์ เก่งกาจเรื่องการวางกลยุทธ์…

ด้วยองค์ประกอบเหล่านี้เองจึงทำให้เด็กสาวได้รับความเคารพนับถือไปทั่วเมืองหลวงของจักรวรรดิจี้กวง

นอกจากนางจะเป็นบุตรสาวสุดที่รักของบิดาแล้ว องค์หญิงเค่อเอ๋อร์ยังได้รับความเอ็นดูจากองค์จักรพรรดิผู้ปกครองจักรวรรดิจี้กวงคนปัจจุบันเป็นอย่างมาก

ครั้งนี้ จักรวรรดิจี้กวงกำลังจะทำการสานสัมพันธไมตรีกับชาวทะเล

เค่อเอ๋อร์จึงติดตามมาด้วย

เมื่อมองจากฉากหน้า ทุกคนจึงเข้าใจว่าเจ้าชายอวี้ชินหวังเป็นผู้ดำเนินการทุกอย่าง

แต่ความจริงนั้น ภารกิจแทบทุกอย่างได้รับการจัดการและควบคุมโดยเด็กสาวอายุ 14 ปีผู้นี้ทั้งสิ้น

องค์หญิงเค่อเอ๋อร์นั่งอยู่บนหัวเรือรบลำใหญ่ สวมใส่ชุดเครื่องแบบนายทหารเรือสีน้ำเงินเข้ม ยิ่งขับเน้นผิวพรรณขาวผ่องของนางให้โดดเด่นสะดุดตา

ระหว่างทางมาที่นี่ การจ้องมองชาวทะเลตามรายทางทำให้เด็กสาวรู้สึกเบื่อหน่าย

แต่เมื่อเข้ามาถึงเขตแดนเมืองหยุนเมิ่ง ในที่สุด เด็กสาวก็ได้พบเห็นทะเลสาบและภูเขาจำนวนมาก นั่นทำให้อารมณ์ของนางดีขึ้นเล็กน้อย

แล้วในทันใดนั้น องค์หญิงเค่อเอ๋อร์ก็ทอดสายตามองไปยังเบื้องหน้าทะเลสาบที่อยู่ไม่ไกล

คนหาปลาผู้หนึ่งกำลังพายเรืออย่างเก้ๆ กังๆ ดูน่าอนาถใจเป็นอย่างยิ่ง สีหน้าของเขากำลังแสดงออกถึงความตื่นตกใจไม่น้อย…

“น่าสมเพชเสียเหลือเกิน”

องค์หญิงเค่อเอ๋อร์อดพูดออกมาไม่ได้

“เอ๋?”

เจ้าชายอวี้ชินหวังมองตามสายตาของบุตรสาวไป จึงได้พบเห็นเด็กหนุ่มผู้หนึ่งกำลังพายเรือวนอยู่กับที่ เห็นดังนั้นผู้เป็นเจ้าชายก็อดพูดออกมาด้วยความรู้สึกเห็นใจไม่ได้ว่า “นับเป็นคนหาปลาที่หน้าตาดียิ่ง…”

รูปร่างหน้าตาของเด็กหนุ่มผู้นี้ หากไปอยู่ในจักรวรรดิจี้กวง คงกลายเป็นจุดสนใจของบรรดาขุนนางในวังหลวงเป็นแน่แท้

เด็กหนุ่มผู้นี้ยังดูเยาว์วัยและฉลาดเฉลียว ผิวพรรณขาวเนียนปราศจากราคี โดยเฉพาะใบหน้าซึ่งหล่อเหลาหาที่ติไม่ได้ ถ้าจับตัวกลับไปที่จักรวรรดิจี้กวง บรรดาขุนนางซึ่งมีรสนิยมชื่นชอบเด็กหนุ่ม ก็คงเตรียมพร้อมเปิดสงครามห้ำหั่นกันเพื่อแย่งชิงตัวเจ้าหนูคนหาปลาผู้นี้แน่นอน

“เด็กหาปลาผู้นี้กับเจ้าท่าทางมีอายุไล่เลี่ยกันเลยนะ หากให้ตากแดดตากลมหาปลาต่อไปอีกสักปี สภาพของเขาคงไม่ได้ดูดีเช่นนี้อีกแล้ว น่าเห็นใจที่บ้านเรือนพังพินาศ ที่อยู่อาศัยถูกสายพันธุ์ต่างถิ่นเข้ารุกราน สุดท้ายก็ต้องกลายมาเป็นคนหาปลาผู้ต่ำต้อย สำหรับชีวิตของคนเรา จะมีอะไรน่าสงสารไปมากกว่านี้อีก…”

เมื่อเจ้าชายอวี้ชินหวังพูดมาถึงตรงนี้ เขาก็ต้องถอนหายใจออกมาด้วยความเศร้า “ยิ่งคิดก็ยิ่งน่าสงสารเหลือเกิน”

ใบหน้าที่สวยงามขององค์หญิงเค่อเอ๋อร์ปรากฏรอยยิ้มเหยียดหยามเล็กน้อย

ผมสีทองบนศีรษะของนางสะท้อนประกายระยิบระยับกับแสงแดด

เด็กสาวหัวเราะในลำคอพร้อมกับพูดว่า “น่าสงสารอันใดเพคะ? เพียงมองดูก็รู้แล้วว่าบุคคลผู้นี้ใช้การไม่ได้ ตอนที่ชาวทะเลบุกโจมตีเมืองของตนเอง เขาไม่ได้หยิบอาวุธต่อสู้หรือปกป้องบ้านเมืองจนตัวตาย แต่เขากลับหลบหนีการทำสงครามและบัดนี้ก็ต้องมีชีวิตรอดอยู่ภายใต้การปกครองของพวกสัตว์ประหลาดเหล่านั้น… สำหรับกับคนขี้ขลาดเช่นนี้ ไม่มีค่าคู่ควรที่จะมีชีวิตอยู่ในโลกนี้อีกต่อไปหรอกเพคะ”

เจ้าชายอวี้ชินหวังเพียงยิ้มและไม่พูดอะไร

เขาทราบดีว่าบุตรสาวของตนเองเป็นคนที่มีหัวใจแข็งแกร่งยิ่งกว่าหินผา

นางมักแสดงออกถึงความเป็นตัวของตัวเองเมื่ออยู่ในสนามรบ

ครั้งหนึ่ง องค์หญิงเค่อเอ๋อร์ถึงกับนำกองทัพออกไปต่อสู้กับข้าศึกด้วยตัวเองมาแล้ว

เด็กสาวจึงดูหมิ่นบุคคลผู้ไม่ยอมหยิบจับอาวุธออกมาต่อสู้เป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะกับเด็กหนุ่มรุ่นราวคราวเดียวกัน นางเกลียดชังคนขี้ขลาดยิ่งกว่าอะไรดี

องค์หญิงเค่อเอ๋อร์ทอดสายตามองเด็กหนุ่มคนหาปลา ในที่สุด เด็กหนุ่มผู้นั้นก็สามารถพายเรือเข้าไปชิดริมฝั่งได้สําเร็จ หลังจากนั้น เด็กหนุ่มก็นั่งคุกเข่าอยู่บริเวณหัวเรือ ก้มตัวลงและทำมือท่วงท่าแปลกประหลาดเหมือนกำลังสวดภาวนาหรือทำอะไรสักอย่าง ยิ่งเห็นดังนั้น ดวงตาขององค์หญิงเค่อเอ๋อร์ก็ยิ่งแสดงออกถึงความเหยียดหยามมากกว่าเดิม…

“ตราบใดที่เกิดมาเป็นลูกผู้ชาย เขาก็สมควรตายในการสู้รบเพื่อปกป้องบ้านเมืองของตนเอง ไม่ใช่ยอมรับการปกครองโดยพวกสายพันธุ์ต่างถิ่นเหล่านี้ มิหนำซ้ำ ยังมาหาเศษอาหารในทะเลสาบราวกับเป็นสุนัขข้างถนนเสียอีก…”

องค์หญิงเค่อเอ๋อร์ว่า

แต่เสียงพูดของนางยังไม่ทันจางหาย…

เปรี้ยง!

อยู่ดีๆ ก็มีเสียงระเบิดปานฟ้าคำรามดังขึ้น

ไม่มีใครทราบว่าเกิดอะไรขึ้น แต่หลังจากนั้น เรือหาปลาลำน้อยของเด็กหนุ่มก็ระเบิดกระจุยเป็นฝุ่นผง

ส่วนตัวของเด็กหนุ่มเองก็ลอยกระเด็นไปด้านหลังและกระแทกเข้ากับพื้นดินบริเวณริมฝั่ง ก่อนที่ตัวคนจะไถลไปอีกหลายร้อยวา สุดท้ายก็ต้องหยุดลงนอนแน่นิ่งอยู่ในแอ่งโคลนแอ่งหนึ่งด้วยสภาพเนื้อตัวมอมแมมตั้งแต่หัวจรดเท้า!

เพียงพริบตาต่อมา เกิดความเคลื่อนไหวจากจวนผู้ว่าที่อยู่บนเกาะกลางทะเลสาบ

“เกิดเหตุลอบสังหาร พวกเรารีบออกไปจับตัวมือสังหารให้ได้”

“เซียงต้าหลงตายแล้ว…”

“เสียงดังมาจากริมฝั่งทะเลสาบ…”

นี่คือเสียงตะโกนโวยวายที่ดังขึ้นทั่วเกาะกลางทะเลสาบ

แม่ทัพฉลามอู๋หยาลอยตัวขึ้นไปบนท้องฟ้า พลังลมปราณสีดำทมิฬแผ่ออกมาจากรอบร่างกายด้วยความเดือดดาล ฉลามหนุ่มยืนอยู่กลางอากาศ ดวงตาสีเขียวปัดยิงลำแสงออกมาสแกนพื้นที่โดยรอบ และในที่สุด ลำแสงนั้นก็สาดกระทบมาถึงแอ่งโคลนที่เด็กหนุ่มนอนแน่นิ่งอยู่ในนั้น…

แล้วพลังลมปราณจากร่างกายของแม่ทัพฉลามอู๋หยาก็ถูกปลดปล่อยออกมารุนแรงมากกว่าเดิม

เจ้าชายอวี้ชินหวังตกตะลึง

เขาหันกลับมามองหน้าองค์หญิงเค่อเอ๋อร์โดยไม่รู้ตัว

จึงได้เห็นว่าในขณะนี้ เด็กสาวผู้หยิ่งทะนงในความเก่งกาจของตนเองเสมอมา ก็กำลังแสดงสีหน้าตกตะลึงแล้วเช่นกัน

เมื่อสักครู่นี้เกิดอะไรขึ้นกันแน่?