บทที่ 670 ตื่นเต้น

บัลลังก์พญาหงส์

ตอนที่ถาวจวินหลันตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ก็เป็นเวลากลางดึกแล้ว นางขยับตัว หลี่เย่ที่โอบนางอยู่ก็สะดุ้งตื่นขึ้น “ตื่นแล้วหรือ?” เพราะสะดุ้งตื่นจากความฝัน ดังนั้นเสียงของหลี่เย่จึงแฝงความแหบแห้งเอาไว้

 

 

ถาวจวินหลันส่งเสียงรับคำ ขยับตัวจะลุกขึ้นนั่ง แต่นางก็ถูกหลี่เย่ห้ามเอาไว้ในทันใด ”คิดจะทำอะไร? ให้ข้าทำก็ได้”

 

 

ถาวจวินหลันถลึงตามองหลี่เย่ด้วยความโกรธ แต่ก็ทำได้เพียงแค่เอ่ยไปว่า “ไปเรียกหงหลัวให้มาปรนนิบัติหม่อมฉันเถิดเพคะ หม่อมฉันจะเปลี่ยนเสื้อผ้า เรื่องนี้ท่านจะช่วยหม่อมฉันได้หรือ?”

 

 

หลี่เย่เงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นใบหน้าก็ร้อนระอุขึ้นมา จึงกระแอมออกมาเบาๆ และประหม่าไม่กล้ามองหน้าถาวจวินหลัน พลางยกมือลูบจมูกเอ่ยปากเรียกคนให้เข้ามาปรนนิบัติถาวจวินหลัน

 

 

แท้จริงแล้วหลี่เย่อยากจะช่วยถาวจวินหลันด้วยตัวของเขาเอง แต่พอมองถาวจวินหลันที่กำลังเขินอาย สุดท้ายเขาก็ไม่กล้าพูดออกไป ถาวจวินหลันที่อยู่ในสภาพเช่นนี้ เขาย่อมทำใจกลั่นแกล้งนางไม่ได้เป็นแน่

 

 

หลี่เย่จึงฉวยโอกาสตอนที่ถาวจวินหลันเปลี่ยนเสื้อผ้า ให้คนไปยกข้าวต้มอุ่นๆ เตรียมป้อนให้ถาวจวินหลัน

 

 

รอจนถาวจวินหลันออกมา หลี่เย่ก็ยิ้มและพูดว่า “หิวหรือไม่? ห้องเครื่องได้จัดเตรียมข้าวต้มเนื้อและอาหารอ่อนๆ มาให้แล้ว”

 

 

ก่อนหน้านี้ถาวจวินหลันกินแค่ข้าวต้มเปล่าและยาไปถ้วยหนึ่งเท่านั้น ตอนนี้ย่อมต้องรู้สึกหิวอยู่บ้าง จึงพยักหน้าเรียกให้คนประคองไปที่ข้างโต๊ะเพื่อทานข้าว แต่หลี่เย่นั้นไม่ยอม เพียงแค่ให้คนประคองถาวจวินหลันขึ้นมาบนเตียงอีกครั้ง พลางห่มผ้าห่มให้นางด้วยตนเอง แล้วถึงยกถ้วยข้าวต้มขึ้นมา “ข้าจะป้อนเจ้าเอง”

 

 

หลี่เย่เป็นเช่นนี้ถาวจวินหลันย่อมทั้งอายทั้งประหม่า เบือนหน้าไม่สนใจหลี่เย่

 

 

หลี่เย่เข้าใจขึ้นมาในฉับพลัน จึงได้สั่งนางกำนัลคนอื่น “ออกไปเถิด อีกครู่ข้าจะเรียกพวกเจ้า“

 

 

บรรดานางกำนัลพากันทยอยออกไป ถาวจวินหลันจึงได้หันมาถลึงตามองเขาอย่างแรงอีกครั้ง พร้อมกับต่อว่าเขา “ทำไมยิ่งไม่รู้จักมารยาทเล่าเพคะ? ต่อหน้านางกำนัลก็ทำเช่นนี้ แล้วจะไปพบหน้าคนอื่นได้อย่างไรเพคะ?” แต่คำต่อว่านี้ช่างดูบางเบายิ่ง และไม่ได้ทำให้รู้สึกรู้สาเท่าไรนัก

 

 

หลี่เย่ย่อมไม่ได้ใส่ใจตามคาด เพียงแต่ตั้งอกตั้งใจตักข้าวต้มขึ้นมาช้อนหนึ่งแล้วจ่อไปยังปากของถาวจวินหลัน

 

 

ถาวจวินหลันกรอกตามองเขาไปพลาง แล้วก็อ้าปากกินเข้าไปอย่างไม่เกรงใจ

 

 

หลี่เย่ป้อนอีกสองสามคำ เห็นว่าถาวจวินหลันไม่ได้ต่อว่าแล้ว ถึงได้หัวเราะและพูดขึ้นว่า “จะกลัวอะไร? พวกเราเป็นสามีภรรยากัน ตอนนี้เจ้าเองก็ตั้งครรภ์อยู่ อย่าว่าแต่จะให้ป้อนเจ้ากินข้าวเลย ไม่ว่าเจ้าจะให้ข้าทำอะไร มีหรือที่ข้าจะกล้าขัดขืน? การที่ข้าจะรักใคร่เอ็นดูภรรยาของตนเอง นี่ผิดด้วยรึ?”

 

 

ถาวจวินหลันได้ฟังที่หลี่เย่พูดดังนั้นแล้ว ก็เกิดความรู้สึกอบอุ่นใจขึ้นมาก แต่ถึงกระนั้นนางก็ยังคงต่อปากต่อคำ “ท่านเป็นถึงองค์รัชทายาท แต่กลับมาทำออดอ้อนต่อข้าเช่นนี้ หากผู้ใดมาพบเห็นเข้า แล้วจะให้ความเคารพนับถือต่อท่านได้อย่างไร?”

 

 

หลี่เย่หยุดหัวเราะ พลางเอ่ยขึ้นว่า “หากการที่ข้าทำดีต่อภรรยาแล้วจะทำให้คนอื่นไม่เคารพนับถือในตัวข้า เช่นนั้นแล้วข้าจะทำอย่างไรได้อีกเล่า? อีกอย่างข้าที่อยู่ต่อหน้าเจ้าในตอนนี้ ไฉนจึงยังต้องสนใจสิ่งอื่นนอกจากเจ้าอีก?”

 

 

ทั้งหลี่เย่และถาวจวินหลันต่างกินข้าวไปพลาง พูดคุยไปพลาง จนเมื่อถาวจวินหลันรู้ตัวอีกทีก็กินข้าวต้มหมดไปแล้วหม้อหนึ่งอย่างไม่รู้ตัว

 

 

ถาวจวินหลันที่รู้สึกอิ่มแล้วก็รีบส่ายหน้า พลางบอกหลี่เย่ว่า “หม่อมฉันรู้สึกอิ่มแล้ว ไม่อยากกินต่อแล้วเพคะ”

 

 

หลี่เย่เห็นว่าข้าวต้มเหลือไม่เท่าไร จึงกินส่วนที่เหลือไปอย่างไม่นึกรังเกียจ แล้วจึงให้คนเอาถ้วยชามและตะเกียบออกไปเก็บ พลางบ้วนปาก แล้วถึงได้กลับมาขึ้นเตียงกอดถาวจวินหลันเตรียมนอนอีกครั้ง

 

 

ถาวจวินหลันอยู่ในอ้อมกอดของหลี่เย่ รู้สึกเหมือนจะดีขึ้นเล็กน้อย จึงเขยิบเข้าไปใกล้ยิ่งขึ้น

 

 

หลี่เย่รีบหยุดนางเอาไว้ “อย่าได้ถูโดนแผลตรงหน้าผาก”

 

 

ถาวจวินหลันจึงได้หยุดลง จากนั้นก็พูดเรื่องงานไหว้พระจันทร์ขึ้นมา “ม้วนคำพิธีไม่มีตัวหนังสือแม้แต่ตัวเดียวเพคะ”

 

 

“อืม” หลี่เย่เดาเรื่องนี้ได้ตั้งนานแล้ว จึงตอบถาวจวินหลันไปโดยไม่รู้สึกแปลกใจแต่อย่างใด

 

 

“หม่อมฉันคิดว่า แผ่นไม้เองก็อาจถูกคนไปทำอะไรไว้แล้วก่อนเพคะ” ถาวจวินหลันพูดในสิ่งที่นางได้ครดเดาเอาไว้ออกมาด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ “หม่อมฉันสงสัยว่านี่เป็นเพราะมีคนจงใจตั้งตนเป็นปฏิปักษ์กับหม่อมฉัน ต้องรู้ว่าเรื่องนี้เดิมทีควรเป็นหน้าที่ของฮองเฮา แต่ฮองเฮากลับเอ่ยถอนตัว…”

 

 

“อาจไม่ใช่ฮองเฮา” หลี่เย่รู้ว่าถาวจวินหลันอยากพูดอะไร จึงได้ชิงพูดออกมาก่อน “แต่ตอนนี้เรื่องนี้ก็ยังเป็นแค่เพียงการคาดเดาของพวกเราทั้งนั้น ส่วนรายละเอียดหลังจากสืบเรื่องดูแล้วก็คงจะเข้าใจเอง เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องคิดมาก ยังมีข้าอยู่”

 

 

“เพคะ” ถาวจวินหลันลูบท้องตนเอง รู้ดีแก่ใจว่าตนเองตอนนี้ไม่อาจคิดมากจนเกินไป มิเช่นนั้นจะส่งผลต่อเด็กในท้องได้ แม้ตอนนี้ยังไม่แน่ใจว่าท้องจริงหรือไม่ แต่หากท้องจริงเล่า?

 

 

นางเอาลูกมาเสี่ยงอันตรายไม่ได้

 

 

ผ้าห่มขนาดไม่ใหญ่ พอถาวจวินหลันขยับตัว หลี่เย่ก็รู้สึกได้ทันที

 

 

ถาวจวินหลันรู้สึกถึงมืออุ่นที่เอื้อมมากุมมือของนางเอาไว้อย่างนุ่มนวล จากนั้นก็ได้ยินหลี่เย่พูดเสียงเบา “มีเด็กจริงๆ หรือ?” ด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา เหมือนกลัวนางตกใจอย่างนั้น

 

 

ถาวจวินหลันส่ายหน้า “ไม่แน่เพคะ แต่ก็เป็นไปได้มาก” ก่อนหน้านี้ประจำเดือนของนางมาตรงเวลาอยู่ตลอด อีกทั้งก่อนหน้านี้พวกนางก็ร่วมเตียงกันบ่อยครั้ง นางจึงคิดว่าไม่น่าพลาด

 

 

เมื่อหลี่เย่ได้ยินเช่นนี้ ก็ตื่นเต้นขึ้นมาเล็กน้อย “จะต้องมีแน่”

 

 

ถาวจวินหลันถูกหยอกล้อจนหัวเราะออกมาในทันใด “ไม่ได้เป็นพ่อคนครั้งแรกเสียหน่อยเพคะ ทำไมถึงได้ตื่นเต้นเช่นนี้อีก? ถ้าซวนเอ๋อร์กับหมิงจูรู้เข้า ต่อจากนี้พวกเขารู้เรื่องจะต้องอิจฉาเป็นแน่เพคะ”

 

 

หลี่เย่พูดอย่างอึดอัด “ก่อนหน้านี้ตอนเจ้าท้อง ข้าก็ไม่เคยอยู่ข้างกายเจ้าสักครั้ง ครั้งนี้ย่อมไม่เหมือนกัน พออยู่ต่อหน้าซวนเอ๋อร์กับหมิงจูข้าย่อมไม่แสดงออกมาให้เห็นเป็นแน่”

 

 

หลี่เย่พูดอย่างรู้สึกผิด แต่ถาวจวินหลันกลับไม่รู้สึกลำบากใจ พลางตีมือของเขาเบาๆ ยิ้มและพูดว่า “ครั้งนี้ไม่ว่าอย่างไรท่านก็ไม่พลาดแน่เพคะ”

 

 

หลี่เย่รับคำ พลางใช้มือลูบหน้าท้องของถาวจวินหลันผ่านเสื้ออย่างรักใคร่เอ็นดู เหมือนสัมผัสได้ถึงลูกอย่างไรอย่างนั้น

 

 

ถาวจวินหลันปล่อยให้หลี่เย่ลูบท้องอยู่ครู่หนึ่ง แล้วถึงได้หัวเราะออกมา “นอนเถิดเพคะ หม่อมฉันจั๊กจี้”

 

 

หลี่เย่ประหม่าขึ้นมาในทันใด แต่ก็ตั้งใจกระแอมออกมาอย่างวางท่า “ได้ นอนเถิด” แต่เดิมคิดจะเอามือออกมา แต่ลังเลอยู่ครู่หนึ่งสุดท้ายก็ตัดใจไม่ลง

 

 

ถาวจวินหลันไม่ค่อยมีเรี่ยวแรงนัก ย่อมผล็อยหลับไปอย่างรวดเร็ว กลับเป็นหลี่เย่ที่วันนี้ตื่นเต้นมากจนเกินไป รอจนถาวจวินหลันหายใจเข้าออกเป็นจังหวะ นอนหลับสนิทแล้วเขาก็ยังคงไม่มีความง่วงเลยแม้แต่น้อย

 

 

เพราะถาวจวินหลันหลับแล้ว หลี่เย่ถึงกล้าเอื้อมมือไปแตะท้องของถาวจวินหลันเบาๆ ถึงบอกว่าแตะ ที่จริงแล้วพูดว่าจิ้มก็ไม่มากเกินไป แรงนุ่มนวลเช่นนั้น เกรงว่ามีเสื้อผ้ากั้นถาวจวินหลันก็ยังไม่อาจสัมผัสได้ถึงความเคลื่อนไหวใดๆ

 

 

เพราะหลี่เย่ตื่นเต้นผิดปกติอยู่นาน แล้วยังลูบไปมาด้วยความตัดใจไม่ลงอยู่พักใหญ่ ตราบจนฟ้าสว่างถึงได้นอนหลับไป

 

 

วันรุ่งขึ้นทั้งสองคนถูกปลุกขึ้นมาเพราะหมิงจูและซวนเอ๋อร์ที่เสียงดัง

 

 

หมิงจูไม่รู้ว่าเป็นอะไร ร้องไห้จะหาถาวจวินหลันแต่เช้า ซวนเอ๋อร์คิดจะไปดูน้องสาว แต่กลับคิดถึงถาวจวินหลันเพราะหมิงจู ดังนั้นทั้งสองคนจึงพากันจูงมือเดินเข้ามาหา

 

 

หลี่เย่ตื่นขึ้นมาก่อน มองดูบุตรสาวที่น้ำตาคลอเบ้า ใจก็อ่อนยวบ อ้าปากพูดว่า “ใครรังแกหมิงจูอย่างนั้นหรือ? บอกพ่อ พ่อจะไปแก้แค้นให้หมิงจูเอง!” พูดไปพลางอุ้มหมิงจูขึ้นมา

 

 

แต่ซวนเอ๋อร์ไม่ได้อิจฉา ก้าวเหยาะๆ วิ่งมาถึงข้างเตียง มองถาวจวินหลันและพูดว่า “ท่านแม่เป็นอะไรหรือ? ทำไมถึงไม่ลุกจากเตียงเล่า?”

 

 

หมิงจูก็น้ำตาคลอเบ้าฟ้องหลี่เย่ “หมัวหมัวนิสัยไม่ดี ไม่ยอมให้มาหาท่านแม่”

 

 

หมิงจูมองหลี่เย่ตาละห้อย หวังว่าหลี่เย่จะลงโทษหมัวหมัวของตนเอง

 

 

แต่หลี่เย่กลับหัวเราะแห้งๆ จากนั้นก็หยิบของว่างชิ้นหนึ่งให้นาง “หมัวหมัวหวังดีกับเจ้า” คล้ายลืมคำพูดก่อนนี้ไปหมดแล้ว

 

 

ถาวจวินหลันหลุดหัวเราะออกมา จากนั้นหมิงจูก็เบะปากน้ำตาจะไหลลงมาอีกครั้ง ดิ้นไม่ยอมให้หลี่เย่อุ้ม ทั้งยังร้องไห้อย่างน่าสงสาร “พ่อนิสัยไม่ดี! ไม่ชอบแล้ว!”

 

 

หลี่เย่กอดหมิงจูไว้ ทำได้แค่ปล่อยนางลงไป พอลงพื้นหมิงจูก็รีบวิ่งไปข้างกายถาวจวินหลันทันที ตาละห้อยพูดฟ้อง “พ่อนิสัยไม่ดี หมัวหมัวนิสัยไม่ดี”

 

 

ถาวจวินหลันปั้นหน้า “พอแล้ว โตแล้วยังมาร้องไห้อีกหรือ?! เจ้าดูพี่ชายของเจ้าสิ แล้วดูพี่สาวของเจ้า พวกเขาไม่มีใครร้องเลย น่าอายจริง”

 

 

หมิงจูไม่ได้รับผลประโยชน์อะไร ดังนั้นจึงยิ่งน้อยใจมากกว่าเดิม แต่เดิมน้ำตาเม็ดโตที่เหมือนจะไหลแหล่มิไหลแหล่ คราวนี้ก็ไหลลงมาเหมือนไม่มีค่าอย่างไรอย่างนั้น

 

 

ซวนเอ๋อร์เป็นพี่ชายที่ดี รีบไปดึงหมิงจูออกมา “พอแล้วๆ น้องไม่ร้องแล้ว พี่จะให้เจ้ากินลูกกวาด” พูดจบก็ควักกระเป๋าใบเล็กของตนอยู่ครู่ใหญ่ ก่อนหยิบลูกกวาดเม็ดบัวออกมาเม็ดหนึ่ง

 

 

หมิงจูได้ลูกกวาดเม็ดบัวก็หยุดร้องไห้ทันที อมไว้ในปากมองถาวจวินหลันตาละห้อย ไม่งอแงอีก “ท่านแม่อุ้มข้าที”

 

 

หลี่เย่รีบก้าวเข้าไปปลอบบุตรสาว “ท่านแม่ป่วย ไม่มีแรงอุ้มเจ้าหรอก ให้พ่ออุ้มเจ้าเถิด”

 

 

เมื่อคำพูดนี้ดังออกมา เด็กทั้งสองคนก็มองไปทางถาวจวินหลันอย่างสงสัย สุดท้ายแล้วซวนเอ๋อร์ก็รีบวิ่งมาข้างกายลูบหน้าผากของถาวจวินหลันดังที่นางเคยลูบเขามาก่อนตอนที่เขาป่วย ดังนั้นเขาถึงจำได้

 

 

ผ่านไปครู่ใหญ่ ซวนเอ๋อร์ก็พูดออกมาอย่างจริงจัง “อืม ตัวร้อนเล็กน้อย ต้องกินยา”

 

 

ทันใดนั้นถาวจวินหลันก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้ หลี่เย่เองก็ไม่ต่างกันมากนัก

 

 

ถาวจวินหลันชะเง้อคอมาหอมแก้มซวนเอ๋อร์ทีหนึ่ง ดวงตาเปี่ยมไปด้วยความอบอุ่น “ซวนเอ๋อร์น่ารักเสียจริง แม่จะต้องกินยาให้ดี พยายามดีขึ้นโดยไว”

 

 

ซวนเอ๋อร์พยักหน้าอย่างจริงจัง “เอ้า พุทราหวานให้ท่านแม่กิน ไม่ต้องกลัวขม”

 

 

หมิงจูก็เข้ามาร่วมวงด้วย “ให้แม่กิน”

 

 

ทั้งครอบครัวพูดคุยหยอกล้อกันอยู่ครู่หนึ่ง หลี่เย่ถึงได้พาเด็กทั้งสองคนไปทานข้าวเช้าก่อน หลังจากทานข้าวเสร็จแล้วก็พาเด็กทั้งสองคนไปหาจิ้งหลิงเพื่อเล่นกับกั่วเจี่ยเอ๋อร์ ตอนนี้ทั้งห้องจึงเงียบสงัด

 

 

หลี่เย่กลับมาอยู่เป็นเพื่อนถาวจวินหลันอย่างอารมณ์ดี พูดยิ้มๆ ว่า “อีกไม่นานซวนเอ๋อร์กับหมิงจูก็น่าจะมีน้องชายหรือน้องสาวเพิ่มขึ้นแล้ว ข้าว่าซวนเอ๋อร์น่าจะเป็นพี่ชายที่ดี แต่หมิงจูใจแคบไปเสียหน่อย ไม่รู้ว่าจะเป็นพี่สาวที่ดีได้หรือไม่”

 

 

ยังไม่ได้มั่นใจว่าท้องจริงๆ หรือไม่ แต่ทางด้านหลี่เย่นั้นกลับเป็นกังวลขึ้นมาอย่างเอาจริงเอาจัง ทันใดนั้นถาวจวินหลันก็ถูกหลี่เย้าหยอกจนต้องกลอกตามองเขา ไม่คิดจะพูดอะไรกับเขาอีก เพียงแค่ถามว่า “วันนี้ไม่ออกไปข้างนอกหรือเพคะ?”

 

 

หลี่เย่ย่อมไม่บอกความจริงกับถาวจวินหลัน เพียงแค่ตอบว่า “ไปช้าหน่อยได้ก็ได้” พูดจบก็ไปหาชุดออกมาเปลี่ยนใหม่ แล้วถึงได้ออกจากวังตวนเปิ่นไป

 

 

ครั้งนี้เขากลับไปรายงานกับฮ่องเต้ เมื่อคืนวานนี้ที่จริงเขาก็ถามอะไรออกมาไม่ได้ ดังนั้นจึงตัดสินใจขังคนเอาไว้ก่อน ไปตอนนี้ย่อมต้องรายงานเรื่องนี้ อีกทั้งเขายังคิดจะรายงานฮ่องเต้ตามความเป็นจริง