เล่มที่ 19 ตอนที่ 14

Memorize

ตอนที่ 14 โดย ProjectZyphon

นัยน์ตาอันแสนเย็นชาของราชินีแห่งดาบกำลังแผ่ความกระหายเลือดออกมาราวกับจะปะทุ ภายในจิตใจของหล่อนในตอนนี้ แม้จะได้ยินเสียงต่างๆ ดังเข้ามาแทนที่ แต่ถึงอย่างนั้นทั้งพละกำลังและความห้าวหาญที่อยากจะฉีกเนื้อให้แหลกเป็นชิ้นๆ ก็ยังคงโหมกระหน่ำอยู่ในใจอย่างรุนแรงเช่นเดิม

อีคังซานตัดสินใจว่าจะหยุดพูดจาคุกคามอีกฝ่ายไว้เพียงเท่านี้ เขาจึงยื่นดาบเล่มใหญ่ไปด้านหน้า พลางมีสีหน้าสุขุมมากขึ้น เขาคือผู้ที่มีความสามารถเก่งกล้ามากๆ คนหนึ่ง ซึ่งนั่นก็ชัดเจนอยู่แล้ว ทว่าพอนำมาเทียบกับราชินีแห่งดาบผู้นี้ จะพบได้ว่าความสามารถอยู่ในระดับที่สูสีพอดีกัน ถึงอย่างนั้นสิ่งเดียวที่เขาเชื่อถืออยู่ในขณะนี้คือ เขาได้สั่งสอนบทเรียนให้แก่หล่อนแล้ว และตอนนี้หล่อนอยู่ในสภาพที่สูญสิ้น ไร้ซึ่งพละกำลังใด และหากมองเป็นตัวเลข ก็จะพบได้ว่าเขาอยู่เหนือกว่า

ก่อนที่การต่อสู้ครั้งใหม่จะเริ่มต้นขึ้น อีคังซานไม่พิจารณาดูถึงสิ่งใด แล้วจึงได้ส่ายหัวไปมา

“สี่คนที่อยู่ตรงขวามือนั่น พวกแกเห็นเจ้าพวกลูกเจี๊ยบที่อยู่ข้างหลังไหม จัดการพวกมันซะ ส่วนราชินีแห่งดาบที่เหลืออยู่ก็ปล่อยผ่านไปซะ ไม่ต้องฆ่า แต่จับตัวมันมาก็พอ ครึ่งหนึ่งของพวกมันคงเตรียมตัวที่จะได้ตายอยู่รอมร่อแล้วล่ะ ส่วนเรื่องบาดแผลที่ได้มาน่ะ จะยกโทษให้แล้วกัน”

“เฮอะ จะจับตัวฉันเหรอ”

ราชินีแห่งดาบหัวเราะร่วน แต่พวกเร่ร่อนก็ยังคงปฏิบัติตามที่อีคังซานบัญชาการได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง พวกมันจึงค่อยๆ ย่องเข้าไปหาทั้งสี่คนที่ยืนอยู่ด้านขวา ราวกับตัวเองเป็นปิศาจ

“แกตายซะเถอะ!”

ในเวลาเดียวกันนั้นเอง ข้าศึกก็ได้ดาหน้าเข้ามาหล่อน ราชินีแห่งดาบเห็นเช่นนั้นจึงสติขาดผึง แล้วพุ่งตัวเข้าไปปะทะกับคนจำนวนสิบหกคนด้วยความเร็วแสง

และในขณะที่ซอลอากำลังปลดปล่อยพลังทั้งสิบลำแสงออกมาจากปลายดาบอันแหลมคมนั้นเอง

“งั้นพวกเราจัดการกับฝั่งนี้ก่อนเป็นไง”

พวกเร่ร่อนที่หลุดออกมาก่อนหน้านั้นได้สาวเท้าเข้ามาอยู่ตรงหน้าคนอีกกลุ่มหนึ่งที่เหลืออยู่ มีผู้ชายสามคนและผู้หญิงอีกหนึ่งคน

“เฮ้อ ดูสิ พวกมันตัวสั่นใหญ่เลยว่ะ พวกลูกเจี๊ยบนี่มันอ่อนจริงเว้ยเฮ้ย”

“ยังไม่ยอมร่ายเวทเสียด้วยนะ จัดการคนเดียวก็ได้แล้วมั้งเนี่ย นี่ ยัยคนผมสีแดงสวยๆ ตรงนั้นน่ะของข้านะโว้ย สเป็กเลย”

“งั้นไอ้นักบวชที่อยู่หลังสุดก็ของข้า ทั้งสวย ทั้งน่ารักเลยว่ะ เอ๊ะ มันยังบริสุทธิ์อยู่หรือเปล่าวะ ดูไม่รู้เลย ฮ่าๆ”

“ไอ้พวกกระจอก ฉันจะจัดชุดใหญ่ให้พวกแกพ้นๆ โลกนี้ไปซะ เตรียมตัวโดนฆ่าตายแล้วหรือยังล่ะ”

พวกเร่ร่อนหญิงยังคงกร่นด่าออกมาอย่างต่อเนื่อง แต่ทว่าพวกเร่ร่อนชายทั้งสามคนกลับพูดคุยหัวร่อต่อกระซิก พลางมีสีหน้าสบายๆ คงคิดว่าเป็นลูกเจี๊ยบอย่างที่เคยพูดไว้จริงๆ

สิ่งที่พวกมันทำไม่ใช่การพูดคุกคามจาบจ้วงอีกฝ่ายแต่อย่างใด แต่พวกมันคงคิดว่าอีกฝ่ายคงต่อสู้ไม่ได้จริงๆ เสียมากกว่า เลยแสดงพฤติกรรมเช่นนั้น

จำนวนสี่ต่อหก

หากแยกเป็นรายบุคคลไป จะพบว่าเหล่าผู้เล่นเหนือชั้นกว่าแน่นอนอยู่แล้ว แต่เหล่าผู้เล่นทุกคน รวมถึงตัวอันฮยอนเองก็ไม่ได้ก้าวออกมาประจันหน้าอย่างไม่ยั้งคิดแต่อย่างใด ไม่สิ ความจริงคือ พวกเขาเอาแต่ลอบกลืนน้ำลายอยู่ตลอดเวลา ตั้งแต่พวกเร่ร่อนมาปรากฏโฉมอยู่ตรงหน้าแล้ว ไม่ใช่เพราะรู้สึกว่าตัวเองไม่มีกำลังมากพอที่จะโต้ตอบ แต่พวกเราเกร็งไปทั่วทั้งตัวต่างหาก

แม้จำนวนของพวกมันจะมีน้อย แต่อันฮยอนกลับรู้สึกได้ด้วยตัวเองว่า พวกเร่ร่อนที่ยืนอยู่ตรงหน้านี้แตกต่างไปจากศัตรูคนอื่นๆ ที่เคยต่อสู้มา

หนีไปไหนไม่ได้เลยด้วย

อันฮยอนกอบกุมหอกในมือเอาไว้แน่น แล้วจึงจัดท่าทางของตัวเอง

เชร้ง! เคร้ง!

อียูจองและผู้เล่นอีกสองคนที่ราชินีแห่งดาบพามาต่างควักอาวุธของตัวเองออกมาตามๆ กัน แม้จะรู้อยู่แล้วว่าเป็นไปไม่ได้ แต่ถึงอย่างนั้นพวกเขาก็ยังคงแสดงความมุ่งมั่น ตั้งใจ ไม่ยอมตายง่ายๆ ในศึกครานี้

ท่ามกลางสถานการณ์นั้นทั้งสี่คนจึงได้หันหน้าไปและใจจดใจจ่ออยู่กับการต่อสู้อันแสนดุเดือดตรงเบื้องหน้า

“ฝั่งนู้นดูท่าจะตายเรียบ”

“ว้าว คนระดับสูงกับคนระดับกลางๆ สิบหกคนนั่นน่ะเหรอจะถูกจัดการ? แค่คนๆ เดียวเนี่ยนะ”

“ถึงจะไม่ได้ยิ่งใหญ่อะไรขนาดนั้นแต่…ก็นิดหน่อยมั้ง? เป็นถึงราชินีแห่งดาบนี่นะ คลาสลับเชียวนะ ยังไงก็เถอะ รีบจัดการให้ไว แล้วจับตาดูสถานการณ์ตอนนี้เถอะ ถ้ามันเสียเปรียบ ยังไงก็ต้องเข้าร่วมอยู่ดี”

“เฮ้อ ก็สั่งพวกมันแต่ละคนจนเข้าใจไปหมดแล้วนี่ เอ๊ะ หรือจะให้ฉันจัดการทั้งหมดเลยดีไหม”

ในที่สุดทั้งสี่คนที่เหลืออยู่จึงได้ถืออาวุธขึ้นมาบ้าง มีทั้งหอก ขวาน มีด และดาบ ไม่มีพวกนักสู้ระยะไกลอยู่ในพวกมันด้วย แบบนี้เรียกว่าความโชคดีในความโชคร้ายได้ไหมนะ

อันฮยอนกลืนน้ำลายดังเอื๊อก แล้วจึงเหลือบตามองไปยังสถานที่ที่ราชินีแห่งดาบกำลังเปิดฉากต่อสู้

การยืนหยัดอยู่จนกว่าจะมีใครสักคนเข้ามาช่วยนั้น ถือเป็นหนทางที่ดีที่สุดก็จริง แต่ทว่าคงไม่ได้เป็นแบบนั้น จากที่ดูๆ แล้ว เขารู้สึกว่าพวกเร่ร่อนที่ดาหน้าเข้ามา แต่ละคนล้วนเป็นผู้มีความสามารถโดดเด่นกว่าตัวเอง พวกเร่ร่อนที่ถือหอกอยู่ในมือ ค่อยๆ เดินออกมาข้างหน้าช้าๆ

พออันฮยอนหันกลับมามองที่เดิมอีกครั้ง เขาจึงพบว่าปลายหอกของพวกเร่ร่อนกำลังเล็งเป้าไหวๆ  เข้ามายังกลุ่มของเขา

ทว่าอันฮยอนก็ไม่ได้ประมาทแต่อย่างใด

ทำอะไรไม่ได้นอกจากเล็งไปที่มัน

ในวินาทีที่พวกเร่ร่อนเริ่มบุกเข้ามาโจมตี อันฮยอนจึงได้กัดฟัน ตัดสินใจว่าจะเข้าไปทะลุทะลวงพวกมันเสียบ้าง ไม่ว่าจะตัวเองต้องบาดเจ็บมากเพียงใด แต่เขาคิดว่าอย่างไรก็จะต้องส่งพวกมันสักคนหนึ่งให้จากโลกนี้ไปเสีย

‘เวลาเราจะรับมือต่อการโจมตีของอีกฝ่ายหนึ่ง ให้มองเท้า มองท่วงทำนองการเดินของมัน’

อันฮยอนทำตามที่คิมซูฮยอนเคยสอนไว้ ด้วยการจ้องมองท่วงทำนองการก้าวย่างของผู้ชายที่เดินออกมาหน้าสุด

ซ้าย ขวา ซ้าย ขวา ซ้าย ขวา ซ้าย!

เมื่อไม่มีท่วงทำนองการเดินเกิดขึ้นอีกต่อไป อันฮยอนจึงได้ยินเสียงราวกับสายลมขาดแยกออกจากกันดังแว่วเข้ามาในหู อันฮยอนใช้พละกำลังที่มีอยู่ทั้งหมดแทงหอกเข้าไปในทันที ซึ่งในเวลาเดียวกันนั้นเอง จึงบังเกิดแสงจางๆ ลักษณะเป็นวงกลมบางอย่างขึ้นมาปรากฏอยู่บนร่างกายของเขา

เฟี้ยว!

หอกของแต่ละคนต่างตัดผ่านกันอย่างน่าเสียวไส้ อีกทั้งยังเกือบแทงเข้าไปได้แทบจะพร้อมๆ กันอีกด้วย

แต่หากว่าด้วยเรื่องของความเร็วแล้วนั้น หอกของพวกเร่ร่อนเร็วกว่ามาก เป้าหมายของพวกมันคือ ศีรษะของอันฮยอน…

ฟิ้ว!

แค่เฉียดผ่านเลยไปก็เท่านั้น

แสงจางๆ ที่เคยปกป้องคุ้มกันทั่วร่างได้แตกสลายไปแล้วก็จริง แต่ทว่าศีรษะของเขายังคงปลอดภัยดี ความมุ่งมั่นอันแรงกล้าในการปกป้องร่างกายจากอันตรายภายนอก ซึ่งเป็นความสามารถลับของอันฮยอนนั้น ได้ช่วยสกัดกั้นเส้นทางที่หอกพุ่งเข้ามาได้ ด้วยเหตุนี้อันฮยอนจึงไม่รอช้า เล็งหอกในมือตัวเองไปที่หน้าอกของพวกเร่ร่อนทันที

ทว่าวินาทีนั้นเอง บังเกิดมีสายลมเย็นพัดผ่านหน้าอกของพวกเร่ร่อนไปเสียได้ เขาเอาแต่คิดว่าพวกมันก็แค่ลูกเจี๊ยบตัวน้อย ตัวหนึ่งเท่านั้น แต่พอได้มาประจันหน้า ต่อสู้กันอย่างไม่คาดคิดมาก่อนในครั้งนี้ ทำเอาเหงื่อไหลเต็มหน้าผากเลย

ในตอนนั้นเอง

พลั่ก!

จังหวะที่ปลายหอกกำลังจะเสียบทะลุเข้าไปในหน้าอกนั้น กลับมีอะไรบางอย่างส่องแสงวูบวาบอยู่ตรงหน้าอันฮยอน ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ร่างของเขาเสียท่า เอนไปฝั่งซ้ายมืออย่างเสียมิได้ และในพริบตาเดียวเท่านั้น หอกที่เฉียดผ่านไปจึงได้กระทบเข้ามาที่ศีรษะอย่างจัง

ในครั้งนี้เขาเลือกที่จะไม่ใช้ฝีมือเงอะๆ เงิ่นๆ ของตัวเองในการต่อสู้กับอีกฝ่าย ผู้ซึ่งมีความสามารถล้นเหลือ ซึ่งเป็นการเลือกที่พอใช้ได้ในระดับหนึ่ง ถึงแม้อันฮยอนจะเป็นถึงระดับคลาสหายาก อย่างไรก็ตาม เขาก็ยังคงเป็นผู้เล่นปีที่ศูนย์ ซึ่งยังสามารถพัฒนาฝีมือตัวเองให้ก้าวไกลไปได้อีกมาก

และด้วยความที่อีกฝ่ายคือ พวกเร่ร่อน พวกเร่ร่อนที่มีความชำนาญมากจนถึงขนาดได้รับการยอมรับว่าอยู่ในผู้บริหารระดับกลาง มิหนำซ้ำยังผ่านร้อยเอ็ดเจ็ดย่านน้ำมานับครั้งไม่ถ้วน เพียงพริบตาเดียวเท่านั้นที่เขาแอบรู้สึกว่าตัวเองกำลังเผชิญหน้าอยู่กับสภาวะวิกฤติ แต่แล้วก็ได้ตอบโต้กับพวกมันไปอย่างสุขุมเยือกเย็นมากที่สุดแล้ว วินาทีที่หอกเข้ามาปะทะกับร่าง ชัยชนะจึงได้ถูกกำหนดให้เป็นของพวกเร่ร่อนไปเสียแล้ว

“อั้ก…”

ด้วยแรงกระทบกระเทือนที่แล่นเข้ามาจึงทำให้อันฮยอนถึงกับปริปากส่งเสียง คงเป็นเพราะแรงกระเทือนที่หัวนั้นทวีความรุนแรงมากขึ้น จึงทำให้เขาเสียศูนย์ แล้วล้มตัวลงไปในที่สุด ทั้งมึนหัวและได้ยินเสียงอื้ออึงดังอยู่ในหูไปมาไม่ขาดสาย แต่อันฮยอนก็ยังจับหอกไว้แน่น แล้วเล็งเป้าไปตรงทิศทางหนึ่งอีกครั้ง

“เทพเจ้าแห่งหอก…ยิง!”

พวกเร่ร่อนมองภาพที่อันฮยอนล้มตึงลงไป พลางถอนหายใจโล่งอก แต่แล้วมันก็กลับมากลั้นลมหายใจอย่างรวดเร็วอีกครั้งหนึ่ง

พลั่ก พลั่ก!

“แค่ก!”

หอกสี่สายแล่นฉิวโจมตีเข้าที่อกอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว ไม่เพียงเท่านั้น

“เฮือก!”

ยังไม่ทันเก็บหอกเสร็จสิ้นดี อียูจองที่อยู่ด้านหลังอันฮยอนจึงได้วิ่งดาหน้าเข้ามาทันทีทันใด

พวกเร่ร่อนชายเอี้ยวตัวหลบไปอย่างรวดเร็วก็จริง ทว่าอียูจองกลับเอี้ยวตัวได้อย่างคล่องแคล่วมากยิ่งกว่า หล่อนกวัดแกว่งมีดสั้นในมือทั้งสองข้างอย่างชำนาญ แล้วจึงวิ่งไล่ตามติดชายผู้นั้น ราวกับว่าชะตาของมันกำลังจะหมดสิ้นแล้วเร็ววันนี้

“อ…เอ๋?”

และจังหวะที่กำลังจะใช้มีดสั้นกรีดเป็นรูปตัวเอ็กซ์บนหน้าอกของมันนั่นเอง

“ไอ้บ้าเอ๊ย”

พลั่ก!

พวกเร่ร่อนหญิงเข้ามาทางด้านข้างพร้อมเอื้อนเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงแสนเย็นยะเยือก จากนั้นเตะเข้าไปที่สีข้างของอียูจองอย่างเต็มแรง หล่อนถึงกับเลือดพุ่งกระฉูดราวกับน้ำพุ ส่งเสียงโอดครวญออกมา แล้วไถลไปกับผืนดิน

“เฮือก”