ร้านแป้งมันฝรั่งให้เมิ่งอี้เป็นคนดูแล ส่วนในโรงงานมีบ่าวใช้และหวงฝู่อวี้คอยดูแล ส่วนเรื่องการบุกเบิกพื้นที่ก็เป็นหน้าที่ของเหวินเปียว เมิ่งเชี่ยนโยวจึงเพียงแค่ไปเยี่ยมเฝิงจิ้งซูและพระชายาฉีอย่างสม่ำเสมอ และไปตรวจดูร้านผ้าไหมอีกสักหน่อย นอกนั้นก็ใช้ชีวิตอย่างสบายใจ
ทุกคนทำหน้าที่ของตนเองอย่างดี ไม่ได้ทำให้นางผิดหวัง โดยเฉพาะหวงฝู่อวี้ ในทุกๆ วันต้องรอเลิกงานก่อนถึงจะกลับจวนได้ และในตอนเช้าก็ต้องตื่นแต่เช้าไปทำงาน จนทำให้พระชายาฉีไม่ได้เจอเขาไปตั้งหลายวัน นางทั้งประหลาดใจและกลัวว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเขา แต่ เมื่อรู้ว่าเขาออกไปทำงาน ก็ตกใจจนพูดไม่ออก
ในพริบตาเดือนเวลาก็ล่างเลยไปหนึ่งเดือนกว่า วันนี้เป็นวันที่เมิ่งเชี่ยนโยวอยู่บ้านว่างๆ ไม่มีอะไรทำ จึงท้าประลองกับชิงหลวนและจูหลาน แล้วหวงฝู่อี้เซวียนก็เดินเข้ามาอย่างเร่งรีบด้วยสีหน้าที่เคร่งขรึม
เมื่อเมิ่งเชี่ยนโยวเห็นดังนั้น จึงตามเขากลับไปที่ห้อง ถามว่า “เกิดอะไรขึ้นหรือ”
“ที่หลินเฉิงเกิดน้ำท่วมหนัก ข้าราชการท้องถิ่นไม่ได้เตรียมแผนรับมือป้องกันไว้ เลยทำให้หมู่บ้านน้อยใหญ่จมอยู่ใต้น้ำ และมีผู้คนบาดเจ็บล้มตายจำนวนนับไม่ถ้วน”
“เพราะฉะนั้น…” เมิ่งเชี่ยนโยวถามด้วยเสียงขรึม
หวงฝู่อี้เซวียนเม้มปาก “ข้าได้ยื่นเรื่องทูลเสด็จลุงแล้ว ขอราชโองการให้ข้าไปช่วยเหลือ และปลอบขวัญประชาชน หากว่าครั้งนี้ทำได้ดี ข้าก็จะนำคุณงามความดีนี้ไปขอราชโองการสมรสของพวกเราได้”
เรื่องภัยธรรมชาติเป็นเรื่องที่จัดการได้ยากมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ยังไม่ต้องพูดถึงว่าจะต้องเสียเงินให้กับการแก้ไขปัญหาภัยพิบัติจำนวนมากเพียงใด และสุดท้ายจะยังจะเหลือให้ช่วยเหลือชาวบ้านที่เดือดร้อนอีกเท่าใด ถ้าจัดการไม่ดี ก็จะทำให้ประชาชนไม่สงบสุข ดังนั้นเรื่องนี้จึงเป็นเรื่องที่จัดการได้ยากมาก
นิ่งไปสักครู่ เมิ่งเชี่ยนโยวถามว่า “เจ้าแน่ใจหรือ”
หวงฝู่อี้เซวียนพยักหน้าเบาๆ แล้วโอบนางไว้ในอ้อมอก “ข้ารอต่อไปไม่ได้แล้ว ตราบใดที่ข้ายังไม่แต่งเจ้าเข้าเรือน จิตใจของข้าก็ว้าวุ่นไปหมด ถึงแม้ว่าเรื่องภัยพิบัติจะเป็นเรื่องที่จัดการยาก แต่เจ้าวางใจเถิด ตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมา ข้าก็ได้ประสบการณ์มากมาย จัดการเรื่องพวกนี้น่าจะมีทางออกอยู่บ้าง”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า จ้องดวงตาของเขา เพื่อที่จะให้เขามองเห็นถึงความเป็นห่วงจากดวงตาของนาง แล้วถามด้วยน้ำเสียงอบอุ่นว่า “อยากให้ข้าไปด้วยหรือไม่”
หวงฝู่อี้เซวียนจูบไปที่ริมฝีปากของนาง “ไม่ต้อง เจ้าอยู่ที่เมืองหลวงนี่แหละ รอข้ากลับมาก็พอแล้ว อย่างมากก็ไม่เกินสามเดือน ข้าก็จะกลับมา”
“ท่านอ๋องและพระชายาเห็นว่าอย่างไร”
“ข้าได้รับมอบหมายมา ก็มาบอกเจ้าก่อน ยังไม่ทันได้ไปบอกพวกเขา แต่ข้าคาดว่าเสด็จพ่อตอนนี้ก็น่าจะทราบข่าวแล้ว”
“จะเริ่มออกเดินทางเมื่อใด”
“ถ้าหากว่าไม่มีอันใดผิดพลาด พรุ่งนี้เช้าก็จะออกเดินทางโดยม้าเร็ว สองสามวันก็น่าจะถึงหลินเฉิง ส่วนเรื่องของเงินช่วยเหลือและเสบียง จะถึงช้ากว่าหน่อย”
“เร็วขนาดนี้เลยหรือ”
“น้ำท่วมตั้งแต่เมื่อสิบวันก่อน ถนนจมหายไปกับน้ำ ข่าวคราวจากเมืองหลินเฉิงส่งมาไม่ได้ จนถึงวันนี้เสด็จลุงถึงจะได้รับข่าว ข้าต้องรีบออกเดินทาง หากล่าช้าไปกว่านี้ ไม่รู้ว่าจะมีคนตายเพิ่มอีกเท่าใด ดังนั้น ข้าจึงมาบอกเจ้าก่อน อีกสักพักคงกลับจวนเพื่อเตรียมตัว เมื่อถึงพรุ่งนี้ก็จะรีบออกเดินทางทันที”
เมิ่งเชี่ยนโยวยื่นแขนทั้งสองข้างออกมา โอบไปที่คอของนาง ให้เขาก้มหน้าแล้วมองไปที่ตาของนาง แล้วเรียกเขาด้วยน้ำเสียงอบอุ่นว่า “อี้เซวียน!”
หวงฝู่อี้เซวียนตอบ “อืม” เบาๆ ด้วยความรู้สึกซาบซึ้ง
“ไม่ว่าจะเป็นเวลาใดก็ตาม ชีวิตของเจ้าย่อมสำคัญที่สุด ขอเพียงแค่เจ้าปลอดภัย ไม่ว่าจะได้แต่งงานกันหรือไม่ ข้าไม่สนใจทั้งสิ้น”
หวงฝู่อี้เซวียนรู้สึกซาบซึ้งเป็นอย่างมาก ยิ้มแล้วก้มหน้าลง พูดว่า “แต่ข้าสนใจ เจ้ารู้หรือไม่ว่า การต้องยับยั้งชั่งใจทุกวันนั้นมันทรมานเพียงใด ข้าจะต้องขอเจ้าแต่งงานในเร็ววันให้ได้ จะได้ทำสิ่งที่ข้าอยากทำได้อย่างถูกต้องตามครรลองคลองธรรม ไม่ใช่เหมือนเช่นตอนนี้ ที่จะต้องอดทนทุกครั้ง”
ความในใจนี้พูดจนทำให้เมิ่งเชี่ยนโยวหน้าแดงขึ้นมา แล้วยิ้มน้อยๆ บอกว่า “ข้าไม่สนใจ ถ้าหากว่าเจ้าเป็นกังวลจริงๆ ล่ะก็ ข้าก็จะ…”
“ข้าสนใจ เจ้าเป็นชายาของซื่อจื่อ เป็นผู้หญิงคนเดียวที่ข้ารัก ข้าจะไม่ยอมให้มีคนนินทาลับหลังเจ้า และจะไม่ทำให้เจ้าเสียใจเลยแม้แต่น้อย ข้าจะต้องแต่งเจ้าเข้ามาอย่างถูกต้อง ให้ทุกคนได้รู้ว่า เจ้าสำคัญกับข้าขนาดไหน”
แม้ว่าคำพูดเช่นนี้ หวงฝู่อี้เซวียนจะพูดไปตั้งหลายรอบแล้ว แต่ว่าเมิ่งเชี่ยนโยวก็ยังรู้สึกซาบซึ้งในทุกครั้งที่เขาพูด จึงโอบที่คอของเขา เขย่งขาขึ้น แล้วเป็นฝ่ายที่ใช้ริมฝีปากอันนุ่มละมุนประกบเข้ากับเขาก่อน
หวงฝู่อี้เซวียนก็เปลี่ยนจากผู้ถูกกระทำเป็นผู้กระทำอย่างรวดเร็ว ท่าทางก็ยิ่งร้อนแรงขึ้น
จนกระทั่งฟ้ามืด หวงฝู่อี้เซวียนถึงเดินออกมาจากห้องของนางแล้วจากไป
แต่เมิ่งเชี่ยนโยวกลับไม่ได้ออกมาส่ง
ในจวนของอ๋องฉี อ๋องฉีและพระชายาฉีที่ได้รับข่าวแล้วก็มีทีท่าร้อนรนอยู่ในจวน ขนาดอ๋องฉีเป็นผู้สุขุมนิ่ง ยังต้องเดินไปเดินมาไม่หยุด ส่วนพระชายาฉีก็นั่งหน้าซีดอยู่บนเก้าอี้ คอยบอกให้หลิงหลงออกไปดูข้างนอกว่าหวงฝู่อี้เซวียนกลับมาหรือยัง
หวงฝู่อี้เซวียนเดินเข้าประตูมา เมื่อหลิงหลงเห็นเขาก็รีบทำความเคารพ พร้อมรายงานว่า “ซื่อจื่อ ท่านอ๋องและพระชายาเรียกท่านเข้าพบเจ้าค่ะ”
เท่านี้ก็รู้ได้เลยว่าพวกท่านรับรู้ข่าวเรื่องภัยพิบัติแล้ว หวงฝู่อี้เซวียนเดินมาที่เรือนของพระชายา
เมื่อเขาเดินเข้าประตูมา ท่านอ๋องก็ทำหน้าเคร่งขรึมแล้วพูดว่า “เรื่องใหญ่ขนาดนี้ เหตุใดเจ้าถึงไม่กลับจวนมาปรึกษากับพวกข้าก่อน แต่กลับไปขอราชโองการด้วยตนเองเล่า”
“เสด็จพ่อ เสด็จแม่” หวงฝู่อี้เซวียนยิ้มเรียก นั่งลงที่เก้าอี้อีกด้านหนึ่ง แล้วตอบอย่างไม่สนใจว่า “ลูกโตแล้ว ควรจะต้องออกไปหาประสบการณ์บ้างแล้ว”
“ไร้สาระ เจ้ารู้หรือไม่ว่าเรื่องภัยพิบัติทางธรรมชาติมันอันตรายขนาดไหน” น้อยครั้งมากที่อ๋องฉีจะโมโหใส่เขา “เรื่องแบบนี้มีแต่คนหลีกหนีไม่ยอมทำ แล้วดูเจ้าสิ รับอาสาขอราชโองการเอง ถ้าเจ้าเป็นอะไรขึ้นมา แล้วจะให้ข้ากับแม่ของเจ้าทำอย่างไร”
น้ำเสียงของพระชายาก็ไม่ได้อ่อนโยนอีกต่อไป แล้วพูดด้วยน้ำเสียงตำหนิและอาวรณ์ว่า “เซวียนเอ๋อร์ แม่รู้ว่าเจ้ารีบร้อนสร้างผลงาน เพื่อที่จะไปขอให้เสด็จลุงของเจ้ามอบรางวัลให้ไปสู่ขอโยวเอ๋อร์ แต่ว่าเรื่องในครั้งนี้มันอันตรายเกินไป ยังไม่ต้องพูดถึงว่าเจ้าจะได้มีหน้าตาในราชสำนักหรือไม่ หรือว่า พวกข้าราชการท้องถิ่นเหล่านั้นจะเชื่อฟังคำสั่งเจ้าหรือเปล่า เงินช่วยเหลือและเสบียงอาหารจะถึงมือเจ้าหรือไม่ก็ยังไม่รู้ เมื่อถึงเวลานั้นเจ้าจะจัดการภัยพิบัติได้อย่างไร”
“ลูกได้ไตร่ตรองตรงนี้แล้วขอรับ จึงได้ทูลขอเสด็จลุงให้พวกองครักษ์หลวงติดตามไปด้วย ถ้ามีเรื่องอันใดเกิดขึ้นก็จะมีพวกเขาคอยรายงานตลอดเวลา เสด็จพ่อและเสด็จแม่โปรดวางใจเถิดขอรับ”
“เมืองหลินเฉิงกับเมืองหลวงอยู่ห่างกันเป็นร้อยลี้ ต่อให้องครักษ์ฝีมือดีขนาดไหน ถ้าหากว่ามีเรื่องอันใดมารายงานก็อาจจะล่าช้าได้อยู่ดี ฟังพ่อเถิด พ่อจะพาเจ้าเข้าวัง แล้วบอกว่าสุขภาพของเจ้าไม่แข็งแรง ให้เสด็จลุงของเจ้าส่งคนอื่นไป”
หวงฝู่อี้เซวียนทำสีหน้าจริงจังแล้วพูดว่า “เสด็จพ่อ ตอนที่ท่านนำทหารเข้าเมืองไปช่วยเสด็จลุงในปีนั้น ท่านก็อายุประมาณนี้ ลูกไม้ย่อมหล่นไม่ไกลต้นอยู่แล้ว หรือว่าท่านอยากให้คนล้อว่าลูกของท่านเป็นคนไม่เอาถ่านอย่างนั้นหรือขอรับ”
ท่านอ๋องฉีหยุดชะงักไป
พระชายาฉีรีบร้อนบอกว่า “ตอนนั้นที่เสด็จพ่อของเจ้านำทหารเข้าวังเพราะสถานการณ์บังคับ ถ้าหากว่าไม่ทำเช่นนั้น เสด็จลุงของเจ้า เสด็จย่าของเจ้า และเสด็จทวดของเจ้าก็อาจจะไม่รอด แต่ว่าเจ้าในวันนี้ เจ้ามีทางเลือกว่าจะไปหรือไม่ไปก็ได้”
หวงฝู่อี้เซวียนพยักหน้า เผชิญหน้ากับพระชายาฉีแล้วพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “ผิดแล้วขอรับเสด็จแม่ ตอนนี้ลูกไม่ได้มีทางเลือก ปีนี้โยวเอ๋อร์ก็อายุสิบเก้าแล้ว แต่เสด็จลุงกลับไม่ให้ราชโองการสมรสมาเสียที ถ้าปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไป ข้ากลัวว่าโยวเอ๋อร์จะไปจากข้าเสียก่อน และไม่หวนกลับมาอีก ดังนั้นไม่ว่าอย่างไรเหตุการณ์ที่หลินเฉิงนี้ ข้าจะต้องไปขอรับ”
พระชายาฉีก็ไม่ยอมแพ้ พูดต่อไปว่า “แม่เป็นผู้ใหญ่อาบน้ำร้อนมาก่อน มองออกว่าโยวเอ๋อร์มีใจให้กับเจ้า ดูจากนิสัยของนางแล้ว ขอแค่เจ้าไม่เปลี่ยนใจ นางก็จะไม่ทอดทิ้งเจ้าอย่างแน่นอน แล้วนางจะหายไปได้อย่างไรกันเล่า”