ตอนที่ 162-1 อยู่ด้วยกันในความเป็นและความตาย

ลำนำสตรียอดเซียน

ซางหรูหว่านจ้องมองโม่เทียนเกออย่างเหม่อลอย นางไม่เข้าใจว่าโม่เทียนเกอหมายความว่าอะไร 

 

 

โม่เทียนเกอที่ยังจ้องมองร่างที่กำลังลอยอยู่ของเหยาจื่อซิวอย่างไม่วางตาพูดช้าๆ ว่า “ ‘วันนี้ชีวิตนิรันดร์’ ชีวิตนี้คือชั่วนิรันดร์และนิรันดรก็เป็นเพียงแค่หนึ่งวัน ในสถานที่แห่งนี้ไม่ว่าเจ้าปรารถนาอะไร ก็จะเป็นจริงได้นอกจากการออกไปจากที่นี่ เจ้าต้องการที่หลบภัยแสนสงบสุข สถานที่นี้ก็ให้ที่หลบภัยแสนสงบแก่เจ้า เขาอยากจะมีเกียรติเชิดหน้าชูตา สถานที่นี้ก็ปล่อยให้เขาได้เชิดหน้าชูตา” โม่เทียนเกอลดสายตาลงมองที่ซางหรูหว่าน ในสายตาของนางมีทั้งความสงสารและความเศร้า “เพราะฉะนั้นไม่มีอะไรเป็นของจริง สามปีที่ผ่านมาที่เจ้าเจอก็ไม่ใช่เรื่องจริง และการก่อขุมพลังของเขาก็ไม่ใช่เรื่องจริง”  

 

 

ซางหรูหว่านดูอกสั่นขวัญแขวนและยังคงมึนงงอยู่เป็นเวลานาน 

 

 

โม่เทียนเกอพูดต่อ “ม่านพลังมายานี้จะแสดงให้เห็นความปรารถนาอะไรก็ตามที่อยู่ลึกในจิตใจของเรา พี่ใหญ่ สิ่งที่ท่านต้องการมากที่สุดคือชีวิตสงบสุขสำหรับทั้งสองคนและสิ่งที่เขาต้องการมากที่สุดคือ…”  

 

 

โม่เทียนเกอไม่ได้จบประโยคในสิ่งที่นางอยากจะพูด แต่ซางหรูหว่านก็เข้าใจได้แล้วว่านางหมายถึงอะไร หลังจากจ้องอย่างเหม่อลอยอยู่นาน ในที่สุดซางหรูหว่านก็ถามว่า “ถ้าเช่นนั้น… จะเกิดอะไรขึ้นในท้ายที่สุด”  

 

 

ครั้นเห็นสีหน้าซางหรูหว่านไม่สู้ดี โม่เทียนเกอก็ไม่มีแก่ใจจะบอกคำตอบกับนางแต่นางก็ไม่มีทางเลือก “… สหายนักพรตเหยียนตายแล้ว เรารู้ว่านางเข้าสู่กับดักและถูกภาพลวงตาทำให้หน้ามืดตามัว นางตายเพราะเลือดนางเหือดแห้งจนหมดสิ้น…”  

 

 

ซางหรูหว่านตกใจ นางดูเหมือนจะสูญเสียความสามารถในการพูดไปและแค่จ้องอย่างโง่เง่าไปที่สามีของนางผู้ที่กำลังลอยอยู่กลางอากาศพร้อมกับหมอกดำหมุนวนอยู่รอบตัวเขา 

 

 

ตาย… สิ่งที่เขาต้องการที่สุด… 

 

 

… 

 

 

ความทรงจำของครั้งแรกที่นางได้พบกับศิษย์ที่พ่อนางรับเข้ามาใหม่เมื่อเก้าสิบปีก่อนแล่นเข้ามาสู่จิตใจ 

 

 

“ชื่อของเจ้าคือเหยาจื่อซิวหรือ เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าเป็นใคร”  

 

 

ถึงแม้เด็กหนุ่มตัวน้อยคนนั้นจะมีความหยิ่งยโสแรงกล้าในสายตาเขา แต่เขาก็ไม่ได้คิดว่านางเป็นแค่เด็กที่เล่นไปเรื่อย เขากลับโค้งคำนับนางอย่างระมัดระวัง “ขอคารวะศิษย์พี่”  

 

 

ตัวนางที่ยังเยาว์วัยอยู่เหมือนกันยิ้มอย่างพอใจ ส่งเสียงกระแอมปลอมๆ หลายครั้งและพยักหน้า “อื้อ เจ้ามีมารยาทดี!”  

 

 

ศิษย์พี่คนที่โตสุดมองอยู่จากด้านข้างและพูดล้อเลียน “ศิษย์น้อง เจ้ายังแก่กว่าศิษย์น้องผู้หญิงคนนี้นิดหน่อยนะ เจ้าควรจะเรียกนางว่าศิษย์น้องสิ”  

 

 

“นี่…” เด็กหนุ่มมองที่นางแล้วจึงพูดอย่างจริงจัง “ข้าเข้ากลุ่มมาช้ากว่าศิษย์พี่ ดังนั้นข้าก็ควรจะเรียกนางว่าศิษย์พี่…”  

 

 

ซางหรูหว่านมีความสุขมาก นางจึงรีบเข้าไปหาศิษย์พี่คนโตสุดและตะโกนว่า “ข้าคือศิษย์พี่! ศิษย์พี่!” จากนั้นนางหันไปมองที่เด็กหนุ่มคนนั้นและตบหน้าอกของนาง “ศิษย์น้อง ข้าจะปกป้องเจ้าเองนับจากนี้ต่อไป!”  

 

 

นางจำได้ถึงตอนที่นางเพิ่งสร้างฐานแห่งพลังงานเมื่อเจ็ดสิบปีก่อน 

 

 

“เด็กนั่นมันมีอะไรดี! จงเชื่อฟังและฟังคำพ่อ แต่งงานกับพี่ใหญ่หนีซะ!”  

 

 

นางกำลังคุกเข่าไม่ไหวติงอยู่หน้าท่านพ่อของนาง นางชูคอแสดงให้เห็นว่านางไม่ยอมแพ้อย่างแน่นอน 

 

 

“ลูกทรพี!” พ่อนางระเบิดอารมณ์ ฝ่ามือเขาเหวี่ยงมาทางนาง 

 

 

พ่อของนางที่อยู่ในดินแดนการสร้างฐานแห่งพลังงานขั้นสูงสุดตบอย่างไม่ปรานี นางกระอักเลือดออกมาและเส้นลมปราณของนางก็ได้รับความเสียหายรุนแรง ถึงกระนั้นนางก็ยังคงกัดฟันไม่ยอมอ่อนข้อ 

 

 

แม่ของนางร้องไห้อยู่ข้างๆ พวกเขา “หว่านเอ๋อร์ เชื่อฟังพ่อของเจ้าเถอะ!”  

 

 

เชื่อฟัง ไม่! นางกระเสือกกระสนเพื่อคลานขึ้นไป ใช้แรงทั้งหมดที่มีเพื่อคุกเข่าต่อหน้าพ่อของนางและพูดทีละคำ “ถ้าท่านพ่อบังคับข้า ข้าจะฆ่าตัวตาย!”  

 

 

ไม่มีใครเคยกล้าขัดคำสั่งพ่อของนางเช่นนี้มาก่อนรวมถึงตัวนางเองด้วย แต่ครั้งนี้นางไม่เสียใจเลยสักนิด 

 

 

นางจำได้ถึงหกสิบปีก่อนเมื่อในที่สุดเขาก็สร้างฐานแห่งพลังงานของเขาได้ 

 

 

“ท่านพ่อ ศิษย์น้องสร้างฐานแห่งพลังงานของเขาได้แล้ว!” นางวิ่งอย่างดีใจเข้าไปในโถง 

 

 

ไม่มีแม้แต่ความสุขใจเพียงนิดอยู่บนใบหน้าของพ่อนาง เขาพูดอย่างเย็นชา “ถ้าเจ้าไม่แอบเอายาสร้างฐานแห่งพลังที่เจ้าเก็บซ่อนไว้ไปให้เขา แล้วเขาจะมีปัญญาสร้างฐานแห่งพลังงานได้อย่างไร”  

 

 

นางตกตะลึง สับสนว่าทำไมพ่อของนางคนที่เห็นด้วยกับเรื่องนี้ถึงได้เฉยเมยนัก 

 

 

“ท่านพ่อ ศิษย์น้องไม่ได้เป็นศิษย์ที่ท่านรับเข้ามาด้วยตัวเองหรือไง ทำไมท่านถึง…”  

 

 

“ฮึ่ม! หากมิใช่เพราะในตระกูลเขามีผู้ฝึกตนระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลังและข้าคิดว่าตระกูลเขามีทรัพย์สมบัติอะไรบางอย่าง ทำไมข้าจะต้องรับเขาเข้ามาเป็นศิษย์ของข้าด้วย ดูจากต้นทุนของเขาเช่นนั้นหรือ” นางไม่เคยคาดคิดเลยว่าพ่อของนางจะพูดเช่นนั้นออกมา 

 

 

“ท่านพ่อ!” นางตะโกนออกมาอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง “ท่าน… ท่านหลอกใช้ศิษย์น้อง!”  

 

 

“เจ้าหมายความอย่างไรที่ว่าหลอกใช้!” พ่อนางดูเมินเฉย “หากข้าไม่รับเขาเข้ามาเป็นศิษย์ แล้วเขาจะมีช่วงชีวิตดีๆ หลายสิบปีที่เขาได้เพลิดเพลินอย่างตอนนี้ได้อย่างไรกัน เขาจะสร้างฐานแห่งพลังงานของเขาได้อย่างไรกัน หว่านเอ๋อร์ พี่ใหญ่หนีของเจ้ายังคงรักเจ้าอยู่เต็มหัวใจและเขาสร้างฐานแห่งพลังงานได้ตั้งนานแล้ว ด้วยต้นทุนของเขา คงไม่ยากสำหรับเขาที่จะก้าวเข้าสู่ขั้นกลางภายในอีกราวๆ สิบปี เจ้าควรจะเปลี่ยนใจซะ!”  

 

 

“ท่านพ่อ ท่าน… ไหนท่านสัญญากับข้าไม่ใช่หรือว่าท่านจะไม่บังคับข้าแต่งงานกับพี่ใหญ่หนี”  

 

 

“วันนี้ไม่ใช่เมื่อวาน ตอนนี้ไม่มีที่สำหรับความดื้อดึงของเจ้าอีกแล้ว!” สีหน้าของพ่อนางเต็มไปด้วยความพอใจและเจือด้วยความไม่แยแส “ค่าสินสอดที่ลุงหนีของเจ้าเสนอให้คือยาไร้ธุลี ซึ่งเป็นสิ่งที่พ่อตามหามานานหลายปี! ด้วยยาไร้ธุลีนั้น พ่ออาจเข้าถึงดินแดนการก่อเกิดแก่นขุมพลังได้ในครั้งเดียว! หว่านเอ๋อร์ เส้นทางไปสู่ดินแดนการก่อเกิดแก่นขุมพลังของพ่ออยู่ในมือเจ้า!”  

 

 

นางจำคืนนั้นได้ 

 

 

“ศิษย์น้อง ไปเถอะ! ไปเร็ว!” นางพูดทั้งน้ำตาขณะที่คว้ามือของเขา 

 

 

เด็กหนุ่มตัวน้อยในตอนนั้นได้กลายมาเป็นชายหนุ่มที่อ่อนโยนและจริงจัง เขาจับมือนางด้วยความประหลาดใจ “ศิษย์พี่ เกิดอะไรขึ้น”  

 

 

นางพูดพลางร้องไห้ “จะสายเกินไปหากเราไม่ไปตอนนี้! ท่านพ่อยังคงอยากให้ข้าแต่งงานกับพี่ใหญ่หนี และตระกูลหนีก็ได้ประกาศแล้วว่าต่อให้ข้าตาย พวกเขาก็จะพาข้าเข้าครอบครัวพวกเขาให้ได้!”  

 

 

เขาหยุดนิ่งตัวแข็ง สีหน้าของเขาซีดเผือดไปด้วยความหวาดกลัว 

 

 

“ศิษย์น้อง มันจะสายเกินไปถ้าเราไม่ไปตอนนี้! ท่านแม่ของข้าเป็นคนใจอ่อน นางจึงปล่อยให้ข้าออกมา เรามีเวลาแค่คืนเดียวเท่านั้น พรุ่งนี้… พรุ่งนี้ข้า…”  

 

 

“นี่…” เขาดูสองจิตสองใจ แต่หลังจากผ่านไปนานในที่สุดเขาก็กัดฟัน “ตกลง! ศิษย์พี่ ไปกัน! เราจะไปที่ไกลๆ เพื่อพวกเขาจะได้ไม่เจอตัวพวกเราอีกเลย!”  

 

 

นางจำได้ถึงวันที่พวกเขาแต่งงานกัน 

 

 

ไม่มีแขกเหรื่อ ไม่มีชุดแต่งงาน มีเพียงแสงจันทร์เยือกเย็นและเงาสองเงาที่แสนโดดเดี่ยว 

 

 

“สวรรค์และโลกเป็นพยาน พระจันทร์สุกสว่างเป็นสื่อ ข้า ซางหรูหว่าน ยินดีจะแต่งงานกับเหยาจื่อซิวและเป็นภรรยาของเขา ในชั่วชีวิตนี้ ข้าจะไม่ทอดทิ้งหรือไปจากเขา”  

 

 

เขาก็พูดคำสาบานของเขาเช่นกัน “สวรรค์และโลกเป็นพยาน พระจันทร์สุกสว่างเป็นสื่อ ข้า เหยาจื่อซิว ยินดีรับซางหรูหว่านเป็นภรรยาข้า ในชั่วชีวิตนี้ ข้าจะอยู่กับนางทั้งในความเป็นและความตาย”  

 

 

ลมเย็นเยือกยามค่ำคืนพัดผ่าน และไม่ไกลจากพวกเขาฝูงหมาป่าส่งเสียงเห่าหอน อย่างไรก็ตาม ในหัวใจนางรู้สึกถึงแค่ความสุขเท่านั้น 

 

 

“ศิษย์พี่…”  

 

 

“เจ้ายังอยากจะเรียกข้าว่าศิษย์พี่อีกหรือตอนนี้”  

 

 

เขาตกใจแต่ไม่ช้ารอยยิ้มก็ปรากฏขึ้นบนหน้า “… เดิมทีเจ้าก็เด็กกว่าข้า เช่นนั้นข้าจะเรียกเจ้าว่าน้องหว่านตั้งแต่นี้ไป ดีไหม”  

 

 

นางยิ้มเช่นกันและพูดอย่างแผ่วเบา “พี่ซิว”  

 

 

… 

 

 

ผ่านมาหกสิบปีแล้ว ถึงแม้พวกเขาจะไม่มีที่พักอาศัยถาวรและไม่ก้าวหน้ามากนักในการฝึกตน แต่นางก็รู้สึกพึงพอใจเสมอ ความหวังของนางนั้นยากจะทำให้สมหวังได้ นอกจากเขาก็ไม่มีใครที่สามารถทำให้นางมีความสุขได้อีก ในขณะเดียวกัน ความหวังของนางก็ง่ายจะทำให้สมหวังได้เช่นกัน ตราบใดที่นางอยู่กับเขานางก็รู้สึกมีความสุข 

 

 

น้ำตาของนางไหลริน นี่เป็นครั้งแรกที่นางตระหนักว่าความสุขนั้นช่างห่างไกล ไกลออกไปเหลือเกิน 

 

 

“ระวังด้วย!” โม่เทียนเกอคว้าตัวซางหรูหว่านและรีบดึงนางกลับ 

 

 

กลุ่มก้อนหมอกดำลอยอยู่ในอากาศจู่ๆ ก็ระเบิดออก เหยาจื่อซิวลืมตาขึ้น แรงเคลื่อนไหวของเขาหนักอึ้งมากขึ้น 

 

 

ดินแดนการก่อเกิดแก่นขุมพลัง! ไม่ว่าสาเหตุจะเป็นอะไร แต่เหยาจื่อซิวคนปัจจุบันอยู่ในดินแดนการก่อเกิดแก่นขุมพลังอย่างไม่ต้องสงสัย! ภายในม่านพลังมายานี้ ภาพลวงตาจะหายไปถ้าความคิดของคนคนนั้นเปลี่ยน มิเช่นนั้นภาพลวงตาก็จะไม่ต่างอะไรกับความจริง!  

 

 

โม่เทียนเกอหันไปมองคนอื่นๆ ฟางเจิ้ง ลู่เซี่ยงซิน และหวังเซี่ยงจื้อ ทุกคนล้วนมีสีหน้าประหลาดใจ เมื่อเขาได้สตินึกคิดอีกครั้ง ฟางเจิ้งส่งสายตาให้พวกเขาแล้วจึงประกาศด้วยเสียงกระซิบว่า “ไปเถอะ!”  

 

 

ทั้งห้าคนรวมถึงซางหรูหว่านผู้ที่ถูกโม่เทียนเกอดึงออกมา เหาะไปยังที่ไกลออกไป 

 

 

อย่างไรก็ตาม ในวินาทีถัดมา แรงเคลื่อนไหวมหึมาด้านหลังพวกเขาอยู่ๆ ก็ทะยานสูงขึ้น 

 

 

“อ๊าก–” เสียงกรีดร้องน่าสยดสยองสองเสียงลอดผ่านมา ลู่และหวังผู้ที่ตามอยู่ด้านหลังถูกแรงระเบิด คนหนึ่งกระแทกเข้ากับลำต้นของต้นไม้ขณะที่อีกคนหนึ่งตกลงบนแท่นแห่งธาตุทั้งห้า ทั้งคู่กระอักเลือด ไม่แน่ชัดว่าพวกเขายังมีชีวิตอยู่หรือไม่ 

 

 

“หยุด!” เหยาจื่อซิวคำราม 

 

 

โม่เทียนเกอหันไปดูทันที ด้านหลังที่ไม่ไกลจากนางนัก นักพรตฟางเจิ้งก็หยุดและหันไปเช่นกัน 

 

 

บัดนี้ดวงตาของเหยาจื่อซิวเป็นสีแดงราวกับมันกำลังลุกไหม้ไปด้วยเปลวเพลิงแห่งความเดือดดาล ชุดคลุมบนร่างเขาพลิ้วไหวทั้งๆ ที่ไม่มีลมพัดอยู่แถวนี้ แรงเคลื่อนไหวของผู้ฝึกตนการก่อเกิดแก่นขุมพลังพรั่งพรูออกมาจากตัวเขา 

 

 

เหยาจื่อซิวกวาดสายตาเย่อหยิ่งไร้ความปรานีของเขาทั่วตัวทุกคน มันรู้สึกเหมือนกับเขากำลังมองดูมดหลายๆ ตัว 

 

 

จนเมื่อในที่สุดสายตาเขามาจับที่ร่างของซางหรูหว่านถึงได้มีความเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยในตัวตนที่น่ากลัวของเขา 

 

 

เขาพูด “น้องหว่าน เรากลับไปได้ ข้าพาเจ้ากลับไปได้! ฮ่าๆๆๆ …” ท้ายที่สุดเขาก็ระเบิดหัวเราะออกมา เสียงหัวเราะของเขาฟังดูโอหังและบ้าคลั่งอย่างมาก 

 

 

ซางหรูหว่านค่อยๆ สะบัดโม่เทียนเกอออกช้าๆ แล้วจึงเดินไปข้างหน้าทีละก้าว