ตอนที่ 2639 ความเป็นไปได้ของราชันมังกรดำ

เมื่อซือเฟิงชัก Abyssal Blade ออกจากฝักและเปิดใช้งานวิญญาณมังกรดำ Abyssal Blade ก็แปรเปลี่ยนเป็นเมฆสีดำและเข้าห่อหุ้มซือเฟิงไว้ทันที ก่อนที่มันจะขยายออกไปปกคลุมรัศมีหกสิบหลารอบตัวเขา

ก่อนที่ใครจะทันได้ตอบสนองต่อพัฒนาการอันแปลกประหลาดนี้ได้ เสียงคำรามของมังกรก็ดังออกมาจากเมฆสีดำ ในช่วงเวลาต่อมา มังกรดำที่มีความสูงสามสิบเมตรก็กระโดดออกมาจากเมฆสีดำ และแผ่ออร่าแห่งการทำลายล้างออกมาปกคลุมทุกคน

“มังกร ?”

คริมสันสตาร์และไวน์ไฟเตอร์อดไม่ได้ที่จะสงสัยว่าสายตาของพวกเขามองอะไรผิดพลาดไปรึปล่าวเมื่อพวกเขาได้เห็นมังกรดำปรากฎขึ้นตรงหน้าพวกเขา

เผ่ามังกรนั้นเป็นหนึ่งในเผ่าชั้นสูงที่สุดใน God domain แถมมังกรก็ยังเป็นสัญลักษณ์ของความแข็งแกร่งและการทำลายล้าง ซึ่งเมื่อใดก็ตามที่มันปรากฎตัวขึ้นในทวีปหลักของ God domain มันก็จะก่อให้เกิดความวุ่นวายอย่างมากตามมา

อย่างไรก็ตามตอนนี้ซือเฟิงกับกลายร่างเป็นมังกรแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นทั้งในแง่ของรูปลักษณ์และชนชั้นสิ่งมีชีวิต เขาก็ดูเหมือนกับมังกรอย่างแท้จริงเลย

โชคร้ายเพียงอย่างเดียวก็คือมังกรที่ซือเฟิงกลายร่างมาเป็นนั้น เป็นเพียงมังกรขั้นสาม แต่ถึงกระนั้นมันก็ยังคงมีความสามารถที่น่าประหลาดใจ เพราะท้ายที่สุดแล้วค่าสถานะของมังกรนั้นมันจัดว่าเหนือกว่าพวกที่อยู่ในขั้นและเลเวลเดียวกันมาก

อย่างไรก็ตามในขณะที่สมาชิกของไวโอเล็ทซอร์ด และหอการค้าอาซูต่างก็ตกตะลึงกับเรื่องนี้ พวกเขาก็หายจากอาการตกตะลึงทันที เมื่อได้รับคำสั่งจากอควาโรสให้พุ่งเข้าไปที่แท่นบูชาพร้อมกับสมาชิกสภาสิบแปดปีก

ซึ่งทันทีที่ทุกคนเข้าสู่ระยะของหอคอยมานา มอนสเตอร์ของการทดสอบก็ตรวจพบพวกเขาอย่างรวดเร็ว ก่อนที่พวกเขาจะเข้าไปใกล้แท่นบูชาได้ในระยะสามร้อยหลาด้วยซ้ำ โดยมอนสเตอร์หลายพันตัวก็ได้เคลื่อนที่เข้าประจำตำแหน่งของตัวเอง ในขณะที่อีกห้าร้อยตัวนั้นนั้นก็ได้ไปยืนคุ้มกันอยู่บริเวณด้านล่างของบันไดลแท่นบูชาอย่างหนาแน่น ขณะที่มอนสเตอร์ที่เหลือก็จัดรูปแบบเป็นกองทัพ และได้เตรียมธนูสำหรับโจมตีระยะไกลไว้เล็งยิงผู้บุกรุกแล้ว ซึ่งตราบใดที่ผู้บุกรุกเข้ามาในระยะโจมตีของธนู พวกมันก็จะเริ่มโจมตีทันทีแน่นอน

ขณะเดียวกันหอคอยมานาทั้งสี่แห่งก็เริ่มปล่อยลำแสงเข้าใส่ทั้งทีม

ตู้ม … ตู้ม … ตู้ม …

ซึ่งลำแสงพวกนี้นั้นก็ทำให้สิ่งที่โดนพวกโจมตีเข้าไปนั้นระเหยกลายเป็นไอทั้งหมด

โชคดีที่สมาชิกทุกคนในทีมนั้นกระจายตัวกันออกไปทั้งหมด นอกจากนี้ปืนใหญ่ของหอคอยมานาก็ยังไม่ได้เป็นการโจมตีแบบ AOE ที่มีขนาดใหญ่มาก ด้วยเหตุนี้นอกเหนือจากผู้เล่นที่โชคร้ายบางคนที่ในตำแหน่งที่ไม่ดี คนอื่นๆก็สามารถจะเอาตัวรอดจากการโจมตีของลำแสงนี้ได้ทั้งหมด แต่ถึงกระนั้นทีมก็ยังคงสูญเสียผู้เล่นไปมากกว่าหนึ่งโหลจากการโจมตีระลอกแรก

เมื่อเห็นสิ่งนี้สมาชิกในทีมหลายคนก็อดไม่ได้ที่จะกลืนน้ำลายอึกใหญ่ และเต็มไปด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

พวกเขายังไม่ได้เริ่มการต่อสู้ด้วยซ้ำ แต่พวกเขาก็สูญเสียผู้เล่นไปมากกว่าสิบคนแล้ว ในอัตรานี้พวกเขามีโอกาสสูงมากที่จะถูกทำลายล้างลงอย่างรวดเร็วก่อนจะฆ่ามอน
สเตอร์ในการทดสอบทั้งหมดได้

อย่างไรก็ตามในขณะที่ตอนนี้บรรยากาศในทีมกำลังเต็มไปด้วยความหนักอึ้งและอึดอัด ทันใดนั้นมันก็มีร่างสีดำบินพุ่งผ่านศรีษะของพวกเขาไป และเข้าไปใกล้ระยะหนึ่งร้อยหลาของหอคอยมานาแห่งหนึ่งอย่างรวดเร็ว

เมื่อเห็นร่างนี้ทุกคนก็ผ่อนคลานลงเล็กน้อย และถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกในระดับหนึ่ง

เมื่อซือเฟิงมาถึงในระยะหนึ่งร้อยหลาห่างจากหอคอยมานาแห่งแรก ลิชโบราณที่นั่งอยู่ด้านบนสุดของแท่นบูชาก็ลืมตาขึ้น และทันใดนั้นดวงตากลวงสีแดงเลือดของมันก็ล๊อคเป้ามาที่ซือเฟิงทันที จากนั้นลิชก็ยื่นมือของมันชี้ไปที่มังกรดำ และเริ่มร่ายเวทย์

ไม่ถึงหนึ่งวินาทีต่อมา วงเวทย์ขนาดใหญ่สองวงก็ปรากฎขึ้นใต้เท้าของลิช

“การร่ายเวทย์อย่างรวดเร็ว ?” ใบหน้าของคริมสันสตาร์มืดมนลง เมื่อเธอได้เห็นการร่ายเวทย์ของโซล๊อค

เดิมทีโซล๊อคก็จัดว่ามี HP ที่สูงอย่างไม่น่าเชื่อแล้วสำหรับลิชโบราณ แต่ตอนนี้มันยังมีความสามารถในการร่ายเวทย์อย่างรวดเร็วด้วย ยิ่งไปกว่านั้นต้องบอกเลยว่าความเร็วในการร่ายของมันก็จัดว่ารวดเร็วและน่ากลัวมากๆ ซึ่งเวทย์ขั้นสี่นั้นโดยปกติจะต้องใช้เวลาในการร่ายราวสี่ถึงห้าวินาที แต่นี่ลิชตัวนี้กับทำได้ในเวลาไม่ถึงหนึ่งวินาที ความเร็วในการร่ายของมันน่ากลัวมากจริงๆ

ทันใดนั้นวงเวทย์ขนาดใหญ่สองวงนี้ก็กลายเป็นดาบน้ำแข็งหลายร้อยเล่มก่อตัวขึ้นรอบๆโซล๊อค โดยดาบน้ำแข็งนี้ก็ทำให้เกิดรอยแยกมิติ และรอยฉีกขาดเชิงพื้นที่ได้เลย ขณะที่มันพุ่งเข้าใส่ซือเฟิง

เวทย์ขั้นสี่ Frost Dance!

ดาบน้ำแข็งนี่ไม่เพียงแต่จะมีพลังในการโจมตีเหนือกว่ามอนสเตอร์ระดับเทพนิยาย ขั้นสี่ทั่วไปมาก แต่พวกมันยังทำให้พื้นที่โดยรอบของพวกมันแข็งด้วยในทุกที่ที่เคลื่อนผ่าน ซึ่งในขณะที่ดาบพวกนี้พุ่งเข้าโจมตีซือเฟิง มันก็ได้เลี่ยนสภาพแวดล้อมโดยรอบให้กลายเป็นโลกแห่งน้ำแข็งเลย

เมื่อเห็นฉากนี้ ทุกคนก็อดไม่ได้ที่จะกังวล

การหลบหลีกการโจมตีนี้ของโซล๊อคนั้นมันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย และหากซือเฟิงไม่สามารถรับมือกับการโจมตีนี้ของลิชโบราณได้ เขาก็จะหมดโอกาสในการเข้าใกล้หอคอยมานาด้วย

ในระหว่างที่ดาบน้ำแข็งหลายร้อยเล่มกำลังจะกลืนกินซือเฟิง เขาก็ยื่นกรงเล็บออกไปกวาดรอบพื้นที่ว่างตรงหน้าของเขา และทันใดนั้นกรงเล็บขนาดมหึมาก็ปรากฎขึ้นกลางอากาศทันที

เทคนิคมานาการทำลายล้างศักสิทธิ์ ไลท์ชาโด้ว !!!

ในช่วงเวลาต่อมากรงเล็บขนาดมหึมานี้ก็ฉีกผ่านดาบน้ำแข็งทั้งหมด และเปลี่ยนพื้นที่ตรงหน้าของซือเฟิงให้กลายเป็นสีดำสนิททันที โดยการโจมตีนี้ของซือเฟิงมันทำให้ดาบน้ำแข็งหลายร้อยเล่มหายไปในทันที ราวกับว่าไม่เคยมีอยู่มาก่อน
“เขาป้องกันมันได้ …”

“นี่คือความแข็งแกร่งที่แท้จริงของหัวหน้ากิลแบล๊คเฟรมงั้นหรอ ?!…”

ทุกคนในตอนนี้นั้นเต็มไปด้วยความตกตะลึง เมื่อพวกเขาได้เห็นฉากที่เกิดขึ้นตรงหน้าของพวกเขา

นั่นคือดาบน้ำแข็งหลายร้อยเล่มที่พวกเขากำลังพูดถึง !!!

ซึ่งดาบน้ำแข็งทุกเล่มก็ล้วนมีพลังมากกว่ามอนสเตอร์ระดับเทพนิยาย ขั้นสี่โดยทั่วไป โดยการต่อสู้กับลิชโบราณนี้มันก็เหมือนกับการต่อสู้กับมอนสเตอร์ระดับเทพนิยาย หลายร้อยตัว แต่ซือเฟิงกับทำให้ดาบน้ำแข็งทั้งหมดหายไปด้วยการโจมตีเดียว

อย่างไรก็ตามก่อนที่ทุกคนจะทันได้หายตกตะลึงและงุนงง ซือเฟิงก็บินเข้ามาถึงหอคอยมานาที่ใกล้ที่สุดแล้ว จากนั้นเขาก็ใช้กรงเล็บเข้าโจมตีหอคอยสูงหกสิบเมตรทันที

ตู้ม !

พร้อมกับที่มีเสียงระบเิดเกิดขึ้นดังสนั่น หอคอยมานานั้นก็เริ่มสั่นสะเทือนทันที และค่าความทนทานของหอคอยที่แต่เดิมมีห้าพันแต้ม ก็ลดลงไปมากกว่าสองร้อยแต้มทันที

คริมสันสตาร์และคนอื่นๆที่ต่างทำหน้าที่ของตัวเองและกำลังพุ่งเข้าหาแท่นบูชานั้น ดวงตาแทบจะถลนออกจากเบ้า เมื่อได้เห็นสิ่งนี้

ความสามารถในการป้องกันของหอคอยมานานั้นอยู่ในมาตราฐานของขั้นสี่ กล่าวอีกนัยหนึ่งคือการโจมตีที่ไม่ได้มีพลังเท่ากับขั้นสี่จะไม่สามารถทำอะไรต่อหอคอยมานาได้เลย และแม้ว่าการโจมตีขั้นสามอาจจะสร้างความเสียหายได้บ้าง แต่มันก็จะลดค่าความทนทานของหอคอยมานาลงไปแค่ราวยี่สิบแต้มเท่านั้น

อย่างไรก็ตามตอนนี้ซือเฟิงกับลดค่าความทนทานของหอคอยมานาลงไปได้มากกว่าสองร้อยแต้มในการโจมตีเดียว พลังที่เขาแสดงออกมานั้นมันจัดว่าน่าประหลาดใจมากจริงๆ

ในขณะนี้นับประสาอะไรกับคริมสันสตาร์และคนอื่นๆ แม้แต่ตัวซือเฟิงก็ยังประหลาดใจกับสถานการณ์นี้

นี่การกลายเป็นราชันมังกรดำช่วยเพิ่มความแข็งแกร่งให้ฉันได้ขนาดนี้เลยงั้นหรอ ?

เมื่อซือเฟิงเห็นว่าค่าความทนทานของหอคอยมานานั้นลดลงไป และไม่ฟื้นกลับมาอย่างรวดเร็ว เขาก็แน่ใจเลยว่าการโจมตีเมื่อครู่ของเขานั้นอยู่ในมาตราฐานของขั้นสี่จริงๆ

ก่อนที่เขาจะกลายร่างเป็นราชันมังกรดำ ค่าสถานะพื้นฐานของเขานั้นมันทำให้เขาแสดงพลังได้แค่ในขั้นพื้นฐานของขั้นสี่เท่านั้น อย่างไรก็ตามการจะยกระดับพลังให้เพิ่มขึ้นได้หลังจากพลังมาถึงขั้นสี่แล้วมันก็ยากมาก และมันก็มีเพียงแต่การต้องแสดงพลังออกมาให้มากเท่ากับมอนสเตอร์ระดับผู้อาวุโสเทพนิยายเท่านั้น จึงจะเรียกว่าพลังของตัวเองอยู่ในขั้นสูงของขั้นสี่

กล่าวอีกนัยหนึ่งคือในตอนนี้ แม้ว่าซือเฟิงจะไม่ได้ใช้เทคนิคใดๆ แต่การโจมตีของเขาก็สามารถจะเทียบกับมอนสเตอร์ระดับผู้อาวุโสเทพนิยายที่อ่อนแอได้แล้ว

อย่างไรก็ตามแม้จะได้รู้เรื่องอันน่าอัศจรรย์นี้ แต่ซือเฟิงก็รีบฟื้นคืนสติจากอาการตกตะลึงอย่างรวดเร็ว และหันกลับมาเร่งโจมตีหอคอยมานาตรงหน้าของเขาอีกครั้ง

-224!

-219!

-222!

เมื่อซือเฟิงใช้กรงเล็บระดมโจมตีไปเรื่อยๆ ค่าความทนทานของหอคอยมานาที่เป็นเป้าหมายของเขามันก็ลดลงอย่างรวดเร็ว และในเวลาไม่นา หอคอยมานาก็ได้สูญเสียค่าความทนทานไปมากกว่าหนึ่งในห้าจากทั้งหมดแล้ว ซึ่งความเร็วของซือเฟิงในการลดค่าความทนทานของหอคอยมานานี้ทำให้คริมสันสตาร์และคนอื่นๆรู้สึกเต็มไปด้วยจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ที่เพิ่มขึ้นมาก

อย่างไรก็ตามในเวลานี้ทั้งหอคอยมานา และลิชโบราณก็ได้เปิดการโจมตีเข้าใส่ซือเฟิงเช่นกัน
ซึ่งหอคอยมานาทั้งสี่ได้ยิงลำแสงเข้าใส่ซือเฟิงทันที ส่วนลิชโบราณนั้นก็ใช้ทั้งโดเมน และเวทย์ดาบมากกว่าโหลโจมตีเข้าใส่ซือเฟิง

ซึ่งทุกการโจมตีที่โจมตีเข้าใส่ซือเฟิงนั้นล้วนมีพลังของมอนสเตอร์ระดับผู้อาวุโสเทพนิยาย ดังนั้นซือเฟิงจึงไม่กล้าที่จะประมาทใดๆ เขาใช้ไลท์ชาโด้วปกป้องตัวเขาเองก่อน ก่อนที่เขาจะหันมาถล่มหอคอยมานาตรงหน้าเขาต่อ

อย่างไรก็ตามการใช้ไลท์ชาโด้วมันก็ได้สร้างภาระอย่างใหญ่หลวงให้กับค่าความแข็งแกร่งทางจิตใจของซือเฟิง และแม้หลังจากที่เขากลายร่างเป็นราชันมังกรดำ และมีร่างกายที่แข็งแกร่งขึ้นมาก แต่การผลาญค่าความแข็งแกร่งของเขา เมื่อเขาใช้งานไลท์ชาโด้ว มันก็ยังแทบจะไม่ลดลงเลย

เมื่อซือเฟิงทำลายหอคอยมานาแห่งที่สองไปเรียบร้อย เขาก็ไม่กล้าที่จะใช้ไลท์ชาโด้วในการป้องกันตัวเองอีก โดยเขาได้เลือกจะใช้วงโคจรดาบแทน

อย่างไรก็ตามเนื่องจากวงโคจรดาบนั้นทรงพลังน้อยกว่าไลท์ชาโด้วมาก เมื่อทำการใช้มันป้องกันตัวเอง เขาจึงสูญเสีย HP ไปอย่างต่อเนื่อง แถมการเข้าใกล้และโจมตีหอคอยมานาที่เหลือก็ยังทำได้ยากขึ้นด้วย

เมื่อซือเฟิงทำลายหอคอยมานาแห่งที่สามได้ HP ของเขาก็มีเหลืออยู่หกสิบสี่เปอเซ็นต์แล้ว ซึ่งเมื่อมาถึงจุดนี้ โซล๊อคก็ยิ่งเต็มไปด้วยความบ้าคลั่งมากยิ่งขึ้น และเมื่อซือเฟิงเริ่มโจมตีหอคอยมานาแห่งที่สี่ ลิชโบราณตัวนี้ก็ร่ายเวทย์ด้วยความเร็วที่เร็วกว่าเดิมถึงสองเท่า และปล่อยเวทย์ขั้นสี่ออกมา ราวกับมันเป็นเพียงเวทย์ขั้นศูนย์ที่ใช้ง่ายๆเลย

เมื่อ HP ของซือเฟิงลดลงเหลือยี่สิบสี่เปอเซ็นต์ เขาก็สามารถที่จะทำลายหอคอยมานาแห่งที่สี่ลงได้ และในเวลาเดียวกันเมื่อเป็นแบบนี้ การปราบปรามที่คนในทีมของเขาโดนนั้นก็หายไป ทำให้ทุกคนสามารถกลับมาใช้สกิลและเวทย์กันได้อีกครั้ง

โซล๊อคนั้นเต็มไปด้วยความโกรธมากขึ้น เมื่อเห็นหอคอยมานาแห่งที่สี่ถูกทำลายลง

“ไอ้มังกรเวร !!! ตายซะ !!!” โซล๊อคตะโกนออกมา ขณะที่จ้องมองไปยังซือเฟิง

ซึ่งพื้นที่รอบๆบริเวณที่ซือเฟิงอยู่นั้นมันก็มืดลงทันที และมันก็มีวงเวทย์ขาดมหึมาที่ซ้อนทับกันสามชั้นปรากฎขึ้นเหนือหัวของเขา
“คำสาปขั้นสี่ ?” ใบหน้าของซือเฟิงมืดมนลง เมื่อเขาเห็นวงเวทย์ขนาดมหึมา

ในขณะที่ซือเฟิงกำลังจ้องมองไปยังมันด้วยความตกตะลึง เปลวไฟแห่งการทำลายล้างก็พุ่งออกมาจากวงเวทย์ขนาดมหึมานี้ที่ปกคลุมรัศมีห้าร้อยหลา และมันก็กินระยะล้อมรอบแท่นบูชาทั้งหมด

คำสาปขั้นสี่ ดอกบัวแห่งการทำลายล้าง !!!

ใบหน้าของคริมสันสตาร์และคนอื่นๆมืดมนลงทันที เมื่อได้เห็นสิ่งนี้

“ป่นปี้ไป !!!”

ซือเฟิงไม่กล้าที่จะปกปิดอะไรใดๆอีกแล้ว เขาได้รีบใช้สกิลที่แข็งแกร่งที่สุดของเขา อย่างลมหายใจมังกรทันที !!