ตอนที่ 239: คุกเข่าโค้งคำนับ โดย Ink Stone_Romance
วันรุ่งขึ้นกินข้าวเช้าเสร็จ พอบอกเรื่องที่จะเข้าไปในเมือง คุณปู่ซินและคนอื่นต่างกำชับเฉินเยี่ยน เหมือนกลัวว่าเฉินเยี่ยนจะโดนรังแก
เฉินเยี่ยนรู้สึกดีใจ แต่งงานแล้ว เธอไม่ได้สูญเสียอะไรเลย กลับมีครอบครัวที่ห่วงใยเธอเพิ่มขึ้นด้วย
เฉินเยี่ยนคิดจะขี่จักรยานไปเอง แต่ซินห้าวไม่ให้ เขาชอบความรู้สึกที่พาเฉินเยี่ยนไป ชอบให้เฉินเยี่ยนโอบเอวเขา เอาศีรษะมาพิงบนตัวเขา เขาชอบให้เฉินเยี่ยนอยู่ใกล้เขา เขาสามารถประกาศบอกคนอื่นได้ ว่านี่คือภรรยาของเขา
เฉินเยี่ยนก็ไม่โต้แย้ง มีรถให้นั่ง ไม่ต้องเปลืองแรงทำไมจะไม่ดี
แบบนี้ซินห้าวเลยพอเฉินเยี่ยนไปในเมือง
จนมาถึงหน้าประตูบ้านซิน เฉินเยี่ยนปรับลมหายใจ วันนี้ไม่รู้ว่าจะเกิดศึกอะไรหรือเปล่า ไม่รู้ว่าซูเหม่ยลี่อยู่ไหม?
พูดถึงซูเหม่ยลี่ หลังเกิดเรื่องบุหรี่ครั้งนั้น เธอก็ไม่ได้ข่าวคราวของซูเหม่ยลี่อีกเลย เหมือนในชีวิตไม่มีคนนี้อยู่แล้ว เธอก็ไม่ได้มาทำอะไรตัวเอง
เฉินเยี่ยนรู้สึกประหลาดใจ เธอคิดว่าซูเหม่ยลี่นั้นไม่ธรรมดา ไม่น่าจะยอมเลิกราง่ายๆ แต่ตอนนี้เธอกับซินห้าวแต่งงานกันแล้ว ถึงแม้ซูเหม่ยลี่จะไม่พอใจ ก็สายไปเสียแล้วหรือเปล่า?
เฉินเยี่ยนกำลังคิดถึงซูเหม่ยลี่ ฝั่งซินห้าวก็เปิดประตูบ้านแล้ว
พวกเขาหิ้วของฝากเข้ามา เฉินเยี่ยนไม่เห็นซูเหม่ยลี่ แต่พอมองคนในบ้านแล้ว เฉินเยี่ยนรู้สึกปวดหัว
เธอนึกว่าตัวเองเข้ามาผิดบ้านเสียอีก!
สีหน้าซินห้าวก็เปลี่ยนไป จากนั้นเขาจูงเฉินเยี่ยนเข้าไป
“คุณยาย คุณลุงใหญ่ ลุงสาม คุณน้า พี่สาว ซิ่วลี่ ซิ่วจวน”
เฉินเยี่ยนทักทีละคน
ใช่แล้ว เธอฟังไม่ผิด มีคนมากขนาดนี้จริงๆ เฉินเยี่ยนนับ มีคุณยาย ลุงสองคน น้าสามคน ลูกพี่ผู้หญิงหนึ่งคน ลูกน้องผู้หญิงสองคน คนมากเหลือเกิน เหมือนฝั่งนั้นจะมีลุงอีกหนึ่งคน ลูกพี่ผู้ชาย ลูกน้องผู้ชาย ที่ไม่ได้มา
นี่มาแนะนำญาติหรือ?
มองดูสายตาที่มองมาประเมินตัวเองพร้อมกันแล้ว เฉินเยี่ยนรู้สึกกลัว เธอคิดว่าตัวเองเป็นลิงอยู่ในสวนสัตว์ เธออยากจะหันหลังกลับไปจริงๆ
แต่ถอยตั้งแต่ยังไม่สู้ ไม่ใช่ตัวเอง เฉินเยี่ยนยืดตัวตรง ส่งยิ้มที่เป็นไม้ตายให้ ส่วนคนอื่นทำหน้ายังไงกับเธอ นั่นไม่เกี่ยวกับเธอแล้ว
“เอาล่ะ ที่โรงงานลูกยุ่งมากไม่ใช่หรือ? รีบไปเถอะ ทั้งวันไม่มีเวลากลับบ้าน ตอนนี้กลับไม่รีบแล้ว”
ซุนหม่านเซียงชักสีหน้า คนเห็นก็รู้ว่าเธอกำลังโกรธ คำพูดนี้เธอพูดกับซินห้าว
เฉินเยี่ยนมองซินห้าวอย่างเห็นใจ หนุ่มน้อยที่น่าสงสาร แน่ใจนะว่าคุณคือลูกแท้ๆ? ไม่ใช่ไปเก็บมาจากกองขยะ? หรือว่าได้มาฟรีๆ
“ไปเถอะ”
เฉินเยี่ยนรู้ว่าซินห้าวเป็นห่วงตัวเอง และเธอก็เข้าใจ อีกฝ่ายจะทำยังไงก็ไม่ฆ่าแกงกินเนื้อตัวเองหรอก ดังนั้นจะกลัวอะไร
“ถ้าไม่สบายใจ คุณออกมาหาผมเลยนะ”
ซินห้าวยังรู้สึกกังวล พูดเสียงเบา จากนั้นเขาออกไป ที่โรงงานมีเรื่องเยอะมากจริงๆ ตอนแรกเขาอยากจะอยู่ แต่เฉินเยี่ยนไม่ยอม บอกว่าเขาอยู่ เธอกลับไม่สะดวก ดังนั้นซินห้าวเลยออกมา พอเอาความกังวลใจเต็มเปี่ยมไปด้วย
ปิดประตูแล้ว เฉินเยี่ยนเดินไปในห้องรับแขกด้วยท่าทีพร้อมรบเต็มที่ หนึ่งคนต้องต่อกรกับคนมากมายขนาดนี้ เธอรู้สึกตื่นเต้นจริงๆ
“ยืนบื้ออยู่ทำไม ไม่รู้จักเรียกคนหรือไง”
ยังไม่ทันที่เฉินเยี่ยนจะเดินมาข้างหน้าเลย ซุนหม่านเซียงก็ต่อว่าก่อนเลย
“แม่”
เฉินเยี่ยนเรียกอย่างคล่องแคล่ว ถึงยังไงจะเรียกอะไรก็เรียกไป เนื้อไม่ได้หายไปเสียหน่อย
ซุนหม่านเซียงโมโห
“อ้อ คุณยาย คุณลุงใหญ่ ลุงสาม คุณน้า พี่สาว ซิ่วลี่ ซิ่วจวน”
ความจำของเฉินเยี่ยนถือว่าดี ก่อนหน้านี้ซินห้าวเรียกยังไง เธอก็พูดตามอีกรอบ
ซุนหม่านเซียงไม่รู้จะว่าอะไรดี
“เอาล่ะ จะคิดเล็กคิดน้อยกับเธอทำไมกัน เธอก็ใช่ โตขนาดนี้แล้วยังคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้อีก วันนี้พารู้จักญาติกันนะ มา เยี่ยนจื่อใช่ไหม มาให้ยายดูหน่อย”
คุณยายคนหนึ่งในนั้นพูดขึ้นมา ดูท่าทางเธอจะเป็นคุณยายของซินห้าว แม่ของซุนหม่านเซียง
คุณยายคนนี้หน้าตาไม่แย่เลย ผมเงินทั้งศีรษะ ริ้วรอยบนใบหน้าก็ไม่น้อย แต่ยังดูออกว่าสมัยสาวๆ เป็นคนสวย
แต่สายตาที่ไม่ชอบของเธอปิดบังเฉินเยี่ยนไม่ได้
คุณยายคนนี้ไม่ได้น่ารักเหมือนคุณย่า
เฉินเยี่ยนคิดในใจแล้วเดินเข้าไป
คุณยายซินห้าวประเมินดูเธอ
“ผอมไป ก้นเล็ก กลัวว่าจะคลอดไม่ง่าย ดูขี้เกียจ ผู้หญิงแบบนี้เลี้ยงไม่ได้”
สุดท้ายเธอวิจารณ์แบบนี้ออกมา
ฉันจะกลับ!
เฉินเยี่ยนคิดอยากจะระเบิดออกมา ถ้าคำพูดนี้ให้พวกผู้หญิงยุคหลังที่ลดน้ำหนักไม่กินอะไรเลยได้ยินเข้า รับรองมีตีกันตายแน่
อีกอย่างฉันขี้เกียจหรือไม่ขี้เกียจ เกี่ยวอะไรกับคุณด้วย ไม่ได้ให้คนแก่ที่บ้านเธอเลี้ยงสักหน่อย
“ฉันก็ว่าอย่างนั้น สายตาแม่มีมองผิดเสียที่ไหน ซินห้าวนี่ไม่รู้เรื่องเลย ทำไมถึงมาชอบเธอได้”
น้าคนโตรีบพูดเสริม
เฉินเยี่ยนเหลือบมองเธอ ใบหน้าของน้าคนโตแลดูโหดร้าย ตอนนั้นทำไมบ้านซุนถึงมาชอบเธอได้? แต่เฉินเยี่ยนขี้เกียจจะตอบโต้
“ซินห้าวชอบก็พอแล้ว พวกเราอย่าไปกังวลเลย วันนี้มารู้จักญาติกัน รีบแนะนำเธอเถอะ”
คนที่พูดนี้เหมือนช่วยให้เฉินเยี่ยนหลุดออกจากวงล้อม แต่เฉินเยี่ยนกลับรู้สึกว่าเธอไม่ได้มีเจตนาดี คนนี้คือน้าสาม
แนะนำญาติหรือ จะแนะนำยังไง?
เฉินเยี่ยนคิด เข้าไปรินน้ำชา จากนั้นใช้สองมือยื่นให้ซุนหม่านเซียง เรียกอย่างเคารพว่าแม่
แบบนี้น่าจะได้แล้วมั้ง?
“คุกเข่าลง”
ซุนหม่านเซียงขมวดคิ้ว รู้สึกว่าเฉินเยี่ยนไม่มีมารยาท
ต้องคุกเข่าด้วย?
เฉินเยี่ยนมองไปรอบๆ เห็นสายตาที่ดูตื่นเต้น เหมือนจิ้งจอกที่ที่หิวโหย กำลังมองมาที่เธอที่เป็นเนื้อชิ้นหนึ่งอยู่
“ต้องคุกเข่าทั้งหมดหรือคะ?”
เฉินเยี่ยนถาม ที่จริงซุนหม่านเซียงคลอดซินห้าวมา เธอแต่งงานกับซินห้าว แค่ครั้งนี้ที่เธอคุกเข่าเป็นมารยาทต่อซุนหม่านเซียงไม่ใช่ว่ารับไม่ได้ แต่นี่คนทั้งห้อง แต่ละคนก็ไม่ชอบเธอ ให้เธอมาคุกเข่าให้พวกเธอ เธอไม่ชอบใจ
“ใช่แล้ว เป็นญาติผู้ใหญ่ของเธอทั้งนั้น แล้วยังต้องคำนับก้มหัวสามครั้งด้วย”
ซุนหม่านเซียงมองเฉินเยี่ยนแล้วยิ้มอย่างเย็นชา โขกศีรษะเธอคงโขกจนตาย
ได้ยินคำพูดซุนหม่ายเซียงแล้ว เฉินเยี่ยนร้องอ้อออกมา
จากนั้นเธอนั่งลงท่ามกลางสายตาของทุกคน
“เธอหมายความว่ายังไง? ฉันให้เธอคุกเข่าก้มคำนับ ไม่อย่านั้นอย่าคิดว่าฉันจะยอมรับเธอเป็นสะใภ้เลย”
ซุนหม่านเซียงโกรธ เฉินเยี่ยนทำอะไรย่ะ? ถึงกับกล้าไม่เชื่อฟังเธอ
“ไม่หมายความว่ายังไงค่ะ เมื่อคืนเหนื่อยไปหน่อย เจ็บเข่า ฉันไม่คุกเข่าแล้ว ในเมื่อเป็นครอบครัวเดียวกัน งั้นพวกคุณยายก็ให้ของขวัญในการแนะนำตัวมาเลยแล้วกัน ขอบคุณค่ะ”
เฉินเยี่ยนไม่คุกเข่าหรอก
“ไม่คุกเข่า ไม่ก้มคำนับ ก็อย่าหวังจะได้ของขวัญ”
คุณยายหน้าตึง
“ไม่ให้ก็ช่างเถอะค่ะ ยังไงฉันก็ไม่อยากได้อยู่แล้ว ฉันไม่ได้ขาดเหลืออะไร”
เฉินเยี่ยนยักไหล่ ไม่สนใจ
“เธอไม่คุกเข่า พวกเราก็ไม่ยอมรับเธอ
คุณย่าแสดงท่าทีเหมือนซุนหม่านเซียง
“ไม่ยอมรับก็ไม่ยอมรับค่ะ ยังไงคุณปู่ คุณย่า พ่อฉัน ลุงสอง คุณป้ารอง พวกเขายอมรับฉันหมดแล้ว อ้อ ใช่แล้ว คุณย่ายังให้ฉันมาบอกคุณว่า เธอมอบของที่จะให้สะใภ้หลานคนโตเอามาให้ฉันแล้ว”
เฉินเยี่ยนพูดอย่างสบายๆ เธอไม่ต้องการได้รับการยอมรับจากพวกเธอ อีกทั้งเธอเปลี่ยนเรื่องพูด ไม่อยากวนพูดเรื่องคุกเข่าอะไร ไร้สาระ