บทที่ 672 เลอะเทอะ

บัลลังก์พญาหงส์

ฮ่องเต้คิดจะเลื่อนขั้นของกู้ซีจริง  

 

 

 

 

 

หลังจากผ่านเทศกาลไหว้พระจันทร์ไปได้ประมาณสิบกว่าวัน ฮ่องเต้ก็พูดเรื่องนี้ขึ้นมา 

 

 

 

 

 

อีกทั้งที่จะเลื่อนขั้นยังไม่ใช่แค่กุ้ยเฟย แต่เป็นหวงกุ้ยเฟย 

 

 

 

 

 

ตอนที่ถาวจวินหลันได้ยินข่าวนี้นางกำลังดื่มยา ได้ยินแล้วก็ต้องตะลึงอึ้งไป แม้แต่ยาอึกใหญ่ที่อยู่ในปากก็ลืมกลืนลงไป ผ่านไปพักใหญ่จนรู้สึกว่าในปากนั้นขมปร่าจนทนไม่ไหว ถึงได้รีบร้อนกลืนลงไป แต่รสชาติของยายังคงหลงเหลืออยู่ในปากไม่หายไปไหน หลังจากผ่านพ้นความขมไปแล้วก็มีความเปรี้ยวพุ่งขึ้นมา ทั้งสองรสชาติผสมเข้าด้วยกันจนรู้สึกทรมานอย่างพูดไม่ออก ถาวจวินหลันถึงกับรู้สึกพะอืดพะอมเล็กน้อย 

 

 

 

 

 

นางรีบหยิบบ๊วยดองขึ้นมาอมไว้ ใช้รสเปรี้ยวของบ๊วยดองมากดรสชาติแปลกประหลาดในปากลงไป รอจนรู้สึกดีขึ้นมาเล็กน้อย นางถึงได้หันไปหาหงหลัว “เรื่องนี้เป็นเรื่องจริงหรือ?” 

 

 

 

 

 

หงหลัวพยักหน้า “เป็นเรื่องจริงเพคะ กระจายไปทั่ววังหลวงแล้ว ไฉนจะเป็นเรื่องโกหกได้? ได้ยินว่าไทเฮาทรงกริ้วมากเพคะ” 

 

 

 

 

 

ถาวจวินหลันขมวดคิ้วในฉับพลัน “ทำไมไทเฮาถึงกริ้วเล่า?” ยามนี้ไทเฮาไม่ค่อยเข้ามาถามและยุ่งวุ่นวายกับเรื่องภายในวังหลวงนัก อีกทั้งยังไม่กริ้วง่าย ดังนั้นเมื่อได้ยินเช่นนี้นางจึงตกใจยิ่ง ในขณะเดียวกันยังกังวลสุขภาพของไทเฮาด้วย 

 

 

 

 

 

ไทเฮามีพระวรกายไม่แข็งแรง นี่เป็นเรื่องที่ทุกคนรู้กันทั่ว แล้วตอนนี้เพิ่งจะเข้าฤดูใบไม้ผลิไทเฮากลับเอาเสื้อกั๊กบุขนมาวางพาดไหล่ไว้แล้ว กลัวความหนาวขนาดนี้ก็มากพออธิบายได้แล้ว ว่าสุขภาพของไทเฮาย่ำแย่ลงทุกวัน 

 

 

 

 

 

ตอนนี้ไทเฮายังกริ้วอีก นี่ไม่ได้หมายความว่าไม่เหมาะสมหรือ? 

 

 

 

 

 

หงหลัวอ้ำๆ อึ้งๆ อยู่ครู่หนึ่ง แล้วถึงได้พูดเสียงเบาว่า “ไม่ใช่เพราะฮ่องเต้หรือเพคะ? ฮ่องเต้ต้องการแต่งตั้งหวงกุ้ยเฟย แล้วยังเชิญให้ไทเฮาประกาศพระราชเสาวนีย์เอง…” 

 

 

 

 

 

ถาวจวินหลันยิ่งไม่เข้าใจ “ถ้ามีเพียงเท่านี้ไทเฮาไม่มีทางกริ้วเด็ดขาด” แค่เพียงประกาศพระราชเสาวนีย์เท่านั้น ไม่ใช่เรื่องร้ายแรง ต่อให้ไทเฮาไม่พอใจก็คงไม่ถึงขั้นแสดงออกมาแน่นอน แม้ตอนนี้ไทเฮาไม่ชอบกู้ซีแล้ว แต่ไม่ว่าอย่างไรไทเฮาก็ยังต้องไว้หน้าตระกูลกู้  

 

 

 

 

 

“ฮ่องเต้คิดจะจดชื่อองค์รัชทายาทไว้ใต้ชื่อจวงผินเหนียงเหนียงเพคะ” หงหลัวถึงได้พูดความจริงออกมา แล้วมองไปยังถาวจวินหลันอย่างระมัดระวัง กลัวว่าถาวจวินหลันได้ยินแล้วจะโมโห 

 

 

 

 

 

ถาวจวินหลันตกใจจนถลึงตาโต ผ่านไปครู่ใหญ่ก็ยังไม่ได้สติกลับคืนมา สักพักถึงได้ฝืนยิ้มเจื่อน แต่ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็เปี่ยมด้วยความเย้ยหยัน  

 

 

 

 

 

นางคิดไม่ถึงว่าฮ่องเต้จะมีความคิดเช่นนี้ และไม่อยากจะไปคิดว่าแท้จริงแล้วนี่เป็นสิ่งที่ฮ่องเต้คิดขึ้นได้หรือว่ากู้ซีคอยโหมไฟอยู่ข้างๆ หรือใครมาพูดกรอกหูฮ่องเต้อีก 

 

 

 

 

 

เรื่องนี้เป็นเรื่องเลอะเทอะอย่างถึงที่สุด หากหลี่เย่ยังเป็นเด็กจำเป็นจะต้องมีคนดูแล นั่นย่อมไม่ต้องพูดถึง หรือหลี่เย่ยังเป็นองค์ชายไร้ชื่อเสียง นั่นก็พออธิบายได้ แต่ตอนนี้ฐานะของหลี่เย่คืออะไร? เป็นองค์รัชทายาท! แม้ว่าจะต้องถูกจดไว้ใต้ชื่อของคนอื่น เช่นนั้นก็ควรต้องถูกจดไว้ใต้ชื่อของฮองเฮา! อย่างไรนั่นก็ยังถือว่าถูกต้องตามทำนองคลองธรรม! 

 

 

 

 

 

แต่มาจดไว้ใต้ชื่อของกู้ซี เพราะเหตุใด? เพราะกู้ซีได้รับความโปรดปรานอย่างนั้นหรือ? อย่าลืมไป กู้ซีเอาองค์ชายเก้าไปเลี้ยงแล้ว กู้ซียังโลภมากอีก? 

 

 

 

 

 

ไม่ว่าจะมองจากมุมไหนก็เห็นชัดว่ากู้ซีไม่ควรมีความสัมพันธ์อันใดกับหลี่เย่อีก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าแต่เดิมพวกเขาก็เป็นญาติผู้พี่ผู้น้องกัน แม่แท้ๆ ของหลี่เย่กู้กุ้ยเฟย เป็นป้าแท้ๆ ของกู้ซี อีกทั้งกู้ซีก็เกือบได้เป็นผู้หญิงของหลี่เย่ 

 

 

 

 

 

ถ้าเอาหลี่เย่ไปจดไว้ใต้ชื่อของกู้ซีจริง แล้วกู้กุ้ยเฟยจะทำเช่นไร? หลังจากนี้ตอนที่หลี่เย่ขึ้นครองราชบัลลังก์จะทำเช่นไร? หรือว่าต้องแต่งตั้งกู้ซีเป็นไทเฮาจริงๆ? 

 

 

 

 

 

ถ้าเป็นเช่นนั้นนางยอมเลือกฮองเฮายังดีกว่า อย่างน้อยเผชิญหน้ากับฮองเฮานางยังพอเป็นตัวของตัวเองอยู่บ้าง ไม่รู้สึกอึดอัดอะไร และยิ่งไม่ต้องกังวลว่าไทเฮาจะมีชีวิตนานไปกว่าตนเอง แต่พอต้องเผชิญหน้ากับกู้ซีนั้นย่อมไม่เหมือนกัน หากกู้ซีเป็นไทเฮาจริง เช่นนั้นนางต้องกลายเป็นฮองเฮาที่อกตัญญูที่สุดในประวัติศาสตร์ เพราะนางไม่คิดจะทำความเคารพกู้ซีเลยแม้แต่น้อย ทั้งยังถึงขั้นที่ไม่อยากพบหน้าด้วยซ้ำไป 

 

 

 

 

 

“แล้วเรื่องนี้สำเร็จหรือยัง?” ถาวจวินหลันเก็บความคิดสับสนเหล่านั้นลงไป แล้วถามเรื่องที่น่าเป็นห่วงที่สุด  

 

 

 

 

 

หงหลัวส่ายหน้า “จะสำเร็จได้อย่างไรเพคะ? ไทเฮากริ้ว แล้วยังประทานความตายให้จวงเฟย ฮ่องเต้กลับไม่ยอม ทั้งสองพระองค์ทรงมีปากเสียงกันอีกครั้ง สุดท้ายไทเฮากริ้วจนไล่ออกมาเพคะ” 

 

 

 

 

 

“คิดว่าฮ่องเต้คงจะไม่ยอมรามือง่ายๆ เป็นแน่” ถาวจวินหลันถอนหายใจ “แล้วตอนนี้เล่า?” 

 

 

 

 

 

“สถานการณ์ตึงเครียดแล้วเพคะ ไทเฮาประกาศกร้าว หากฮ่องเต้กล้าแต่งตั้งจวงเฟยเป็นกุ้ยเฟย เช่นนั้นนางก็จะอดอาหารตายเพคะ!” หงหลัวพูดช้าๆ สังเกตอารมณ์ของถาวจวินหลัน “ตอนนี้ฮ่องเต้ทรงไม่กล้ายืนหยัดเรื่องแต่งตั้งหวงกุ้ยเฟยอีก แล้วยังให้คนไปปลอบประโลมไทเฮาด้วยเพคะ” 

 

 

 

 

 

“องค์รัชทายาทเล่า?” เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น หลี่เย่ย่อมไม่อาจนิ่งเฉยได้ อีกทั้งหลี่เย่ต้องเป็นคนที่รู้สึกแย่มากที่สุด แม้ความสัมพันธ์ระหว่างพ่อลูกจะเย็นชาบอบบาง แต่สุดท้ายก็ยังเป็นพ่อลูกกัน 

 

 

 

 

 

การที่ฮ่องเต้ทำเพื่อผู้หญิงคนหนึ่งด้วยวิธีการผลักหลี่เย่ให้เข้าไปอยู่ในจุดที่น่ากระอักกระอวนใจ ถ้าเป็นใครก็คงรู้สึกแย่เช่นเดียวกันกระมัง? 

 

 

 

 

 

ฉับพลันนั้น ถาวจวินหลันก็คิดว่าตอนนั้นนางน่าจะรับปากฮองเฮาไปตรงๆ วางยาฮ่องเต้ให้สิ้นพระชนม์ไปก็สิ้นเรื่อง ไม่ใช่เอ่ยปฏิเสธออกไปเพราะข้ามเรื่องศีลธรรมไม่ได้ ฮ่องเต้ไม่เหมาะจะเป็นบิดาของหลี่เย่เลยแม้แต่น้อย ตอนนี้วันนี้นางสัมผัสได้อย่างลึกซึ้ง 

 

 

 

 

 

บิดาเช่นนี้ สู้ไม่มียังดีกว่า 

 

 

 

 

 

แต่เดิมนางก็ไม่ได้รู้สึกยินดีชื่นชมฮ่องเต้เท่าไรอยู่แล้ว ตอนนี้ยิ่งรังเกียจอย่างเห็นได้ชัด 

 

 

 

 

 

นางไม่เพียงรังเกียจฮ่องเต้เท่านั้น ยังมีกู้ซีอีกคนด้วย ไทเฮาพูดเช่นนี้แล้วกู้ซีก็ยังไม่มีปฏิกิริยาแม้แต่น้อย จิตใจช่างโหดเ**้ยมเสียจริง แล้วยังเป็นคนกินบนเรือน ขี้บนหลังคาอีกด้วย ตำแหน่งหวงกุ้ยเฟยน่าดึงดูดขนาดนั้นเชียวหรือ? จนนางไม่สนใจผลที่ตามมาเลยหรืออย่างไร? 

 

 

 

 

 

แน่นอนว่าที่พูดคำนี้ออกไปก็ไม่ใช่ผลลัพธ์ที่เกิดจากคาดเดามั่วๆ แต่เพราะฮ่องเต้โปรดปรานรักใคร่กู้ซีถึงเพียงนั้น แล้วกู้ซีก็ยังเป็นตัวการของเรื่องนี้ หากกู้ซีเอ่ยปากปฏิเสธสักคำ ฮ่องเต้คงไม่มีทางมุ่งมั่นเช่นนี้เป็นแน่ 

 

 

 

 

 

แต่ฮ่องเต้ไม่ยอมถอย นี่หมายความว่าอย่างไร? หมายความว่ากู้ซีไม่ได้พยายามปฏิเสธเลยแม้แต่น้อย 

 

 

 

 

 

วิธีการเช่นนี้ช่างน่าหนาวเหน็บใจ 

 

 

 

 

 

หงหลัวถอนหายใจเสียงเบา พูดออกมาว่า “องค์รัชทายาทปรนนิบัติอยู่ข้างกายไทเฮาเพคะ” 

 

 

 

 

 

ถาวจวินหลันครุ่นคิด พลางพูดสั่ง “ไปพาซวนเอ๋อร์กับหมิงจูมา ให้คนไปเตรียมเกี้ยวเอาไว้ ข้าจะไปดูไทเฮา” นางพาซวนเอ๋อร์และหมิงจูไปด้วย ก็ด้วยคิดว่าบางทีไทเฮาได้เจอเด็กทั้งสองคนแล้วน่าจะอารมณ์ดีขึ้นบ้าง 

 

 

 

 

 

หงหลัวย่อมไม่เห็นด้วย “พระชายาอย่าทำเช่นนี้เลยเพคะ ตอนนี้ท่านจะออกไปได้อย่างไร? หมอหลวงบอกแล้วว่าห้ามให้แผลต้องลม มิเช่นนั้นต่อไปเหลืออาการปวดหัวเอาไว้แล้วจะทำอย่างไรเพคะ?” 

 

 

 

 

 

ถาวจวินหลันหัวเราะ ไม่ใส่ใจแม้แต่น้อย “ไม่ใช่ว่าพันผ้าอยู่หรือไร? เจ้าไปเอ้าผ้าคาดศีรษะมาให้ข้าอีกอัน ยังต้องกลัวอะไรอีก?” 

 

 

 

 

 

“ไม่ได้เพคะ องค์รัชทายาทตรัสไว้แล้ว ไม่อนุญาตให้ท่านหาเรื่องเพคะ” หงหลัวขมวดคิ้วจับผ้าห่มของถาวจวินหลันเอาไว้แน่น ไม่ยอมให้ถาวจวินหลันลงจากเตียง “บ่าวบอกเรื่องนี้กับพระชายา ไม่ใช่เพื่อให้ท่านไปเสี่ยงอันตรายนะเพคะ องค์รัชทายาทตรัสไว้แล้ว นี่เพียงเพราะให้พระองค์ทราบสถานการณ์ภายในวังหลวงเท่านั้น ท่านจะได้ไม่ต้องกระวนกระวายเพราะไม่รู้เรื่องราวเท่านั้นเอง อย่างไรท่านก็ยังมีรัชทายาทอยู่เพคะ” 

 

 

 

 

 

หงหลัวทำเช่นนี้ก็ให้ถาวจวินหลันกลืนไม่เข้าคายไม่ออก แต่นางก็รู้ว่าหงหลัวทำเพราะหวังดีต่อนาง ย่อมไม่อาจต่อว่าหงหลัวได้ เพียงแค่พูดว่า “เจ้าขวางข้าไว้อย่างนี้ ถึงทำให้ข้าสงบใจไม่ได้ องค์รัชทายาทมีความสามารถ แต่เขาก็เป็นแค่มนุษย์เดินดินธรรมดาเท่านั้น มีเลือดเนื้อเหมือนกับพวกเรา ไม่ได้มีอะไรต่างกัน เขาเองก็เหนื่อยเป็น เจ็บเป็น ไม่พอใจเป็น” 

 

 

 

 

 

มีประโยคหนึ่งที่ถาวจวินหลันไม่ได้พูดออกมา คือนางคิดว่าหลี่เย่เองก็ต้องการที่พึ่งเช่นเดียวกัน เป็นสามีภรรยากัน นางเองย่อมยึดเอาเรื่องนี้เป็นสำคัญ ไม่ปล่อยไปเป็นแน่ 

 

 

 

 

 

หลี่เย่ให้นางวางใจพึ่งพิงเขา แล้วนางจะปล่อยให้หลี่เย่รู้สึกเหนื่อยและเสียใจคนเดียวได้อย่างไร? ต่อให้ช่วยอะไรเขาไม่ได้ แต่ได้ปลอบเขา อยู่เป็นเพื่อนตอนที่เขาเสียใจนั่นก็ถือว่าดีมากแล้ว 

 

 

 

 

 

แต่คำพูดนี้เลี่ยนจนเกินไป ไม่เหมาะจะพูดออกมา สุดท้ายหงหลัวก็เริ่มลังเลเมื่อเห็นแววตาจริงใจของถาวจวินหลัน ถ้าไม่ใช่เพราะถาวจวินหลันได้รับบาดเจ็บ เกรงว่าตอนนี้หงหลัวคงจะปล่อยมือไปแล้ว 

 

 

 

 

 

ถาวจวินหลันจับมือของหงหลัวพูดเสียงนุ่มนวล “ข้ารู้ว่าเจ้าหวังดีกับข้า แต่นี่มันเวลาอะไรแล้ว ข้านอนอยู่อย่างนี้ต่อไปก็คงสงบใจไม่ได้ ถ้าเจ้าไม่วางใจ ก็ให้ตามข้าไป” 

 

 

 

 

 

หงหลัวย่อมรู้นิสัยของถาวจวินหลัน หากนางยังขวางเอาไว้อย่างนี้ ถาวจวินหลันหงุดหงิดขึ้นมาก็ต้องปล่อยไปอยู่ดี ถึงเวลานั้นอาจไม่ให้นางตามไปด้วยซ้ำ จึงถอนหายใจเบาๆ คิดว่าต้องแก้นิสัยของถาวจวินหลันจริงๆ เสียแล้ว ในใจก็คิดทอดถอนรำพัน ใครบอกว่าพระชายาเรียบร้อยกัน? นั่นเป็นเรื่องโกหกทั้งเพ! 

 

 

 

 

 

แต่จะออกไปเช่นนี้นางก็ไม่วางใจ ครุ่นคิดชั่วครู่หงหลัวก็พูดว่า “เช่นนั้นก็สวมหมวกผ้าด้วยเถิดเพคะ เช่นนี้ก็ไม่ต้องกลัวลมแล้ว” 

 

 

 

 

 

ถาวจวินหลันทำได้แค่รับปากอย่างจนปัญญา แน่นอนว่าตัวนางเองก็กลัวว่าลมพัดมาแล้วจะเกิดโรคเรื้อรังได้ ยังดีที่ตอนนี้นางเป็นถึงชายารัชทายาทแล้ว มีเกี้ยวเป็นของตัวเอง ทั้งสี่ด้านมีม่านกั้นโดยรอบ ไม่ต้องกลัวว่าคนอื่นจะเห็นสภาพของนาง แล้วหัวเราะเยาะนาง 

 

 

 

 

 

แน่นอนว่าตอนที่เดินทางไปวังของไทเฮา นางก็พิจารณาเรื่องนี้อย่างถี่ถ้วนอีกครั้ง แต่ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าไม่ถูกต้อง ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าฮ่องเต้เลอะเทอะ 

 

 

 

 

 

“แม่ พวกเราจะไปหาน้องหรือ?” ซวนเอ๋อร์ถามด้วยตาละห้อย แสดงออกว่าเขาไม่ยินยอมนัก 

 

 

 

 

 

หมิงจูกลับชอบเซิ่นเอ๋อร์ “พี่เซิ่นเอ๋อร์ดี ของเล่นเยอะ” เซิ่นเอ๋อร์ถูกเลี้ยงอยู่กับไทเฮา ไทเฮาสงสารเขา จึงคิดหาวิธีอื่นๆ พยายามจะชดเชยให้ หนึ่งในนั้นก็คือเรื่องของเล่น เซิ่นเอ๋อร์มีของเล่นมากกว่าของหมิงจูเยอะ อย่างไรหมิงจูก็เป็นเด็กสาว มีของเด็กผู้ชายบางอย่างที่ถาวจวินหลันไม่เคยเตรียมไว้ให้หมิงจูเลยแม้แต่น้อย และไม่อนุญาตให้หมิงจูเล่น 

 

 

 

 

 

กุลสตรีต้องได้รับการปลูกฝังแต่เด็ก ต่อให้หมิงจูยังอายุไม่ครบสองขวบ อายุแบบจีนก็ยังไม่ครบสามขวบ แต่ถาวจวินหลันก็ใส่ใจเรื่องนี้มาก ให้คนคอยจับตาดูอยู่ตลอดทุกอย่าง แม้แต่หลี่เองยังเคยเอ่ยกระเซ้านางหลายครั้ง “เจ้าอยากปลูกฝังให้เป็นองค์หญิงเคร่งขรึมอย่างนั้นหรือ” 

 

 

 

 

 

ไม่ใช่ว่าถาวจวินหลันไม่เอ็นดูลูกสาว แต่เพราะหมิงจูมีฐานะสูงส่ง ถ้าเลี้ยงให้มีนิสัยเย่อหยิ่ง หลังจากนี้แต่งงานออกไปแล้วจะทำอย่างไร?