สิบปี โดย Ink Stone_Fantasy

ชาวบ้านพากันส่งเสียงเฮขึ้นมาดังกระหึ่ม

ท่ามกลางเสียงโห่ร้องของคนนับหลายร้อยหลั่งไหลไปตามถนนเหมือนกับสายน้ำ ทีมตำรวจที่รับหน้าที่เป็นกรรมการกับเป็นทีมช่วยเหลือก็ขี่จักรยานประกบฝูงชนอยู่ทั้งสองด้าน ชุดเครื่องแบบที่เหมือนกันกับริบบิ้นสีสันสดใสที่คาดอยู่บนตัวของพวกเขาก็ดึงดูดสายตาของประชาชนได้ไม่น้อย

ภาพแบบเดียวกันนี้ก็กำลังเกิดขึ้นที่จุดปล่อยตัวของเขตลองซองเหมือนกัน

คนพันกว่าคนก้าวเท้ามุ่งไปยังเส้นชัยในเวลาเดียวกันด้วยเป้าหมายเดียวกัน ไม่ใช่เพื่อหลบหนี แล้วก็ไม่ใช่เพื่อใช้ชีวิต พวกเขาปลดปล่อยพลังของตัวเองออกมาโดยไม่ถึงผลลัพธ์ที่จะตามมา ด้วยภาพที่น่าเหลือเชื่อนี้ ชื่อเสียงของเมืองเนเวอร์วินเทอร์จะต้องขจรขจายไปทั่วทั้งทวีปแน่นอน

การแข่งขันวิ่งระยะไกลครั้งแรกในประวัติศาสตร์มนุษย์ชาติได้ถือกำเนิดขึ้นที่เมืองหลวงใหม่แห่งนี้

…..

“ท่านพี่ ทำไมท่านถึงไม่ลงแข่งด้วยล่ะ?” โคลที่อยู่บนอัฒจันทร์ ฉวยโอกาสตอนที่แลนซ์กำลังเกาะรั้วส่งเสียงตะโกนหันมาถามเอดิธส์ “ถ้าแข่งเรื่องความอดทน ท่านน่าจะได้รางวัลไม่ใช่เหรอ?”

น่าจะเป็นเพราะได้พาแลนซ์กลับมาด้วย ช่วงนี้เอดิธส์จึงดูค่อนข้างอารมณ์ดี ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่กล้าถามคำถามจุกจิกแบบนี้กับพี่สาวตัวเองแน่

“โอ้?” เอดิธส์เหลือบตามองดูเขา “ได้รางวัลแล้วยังไง?”

“เอ่อ….แต่เมื่อก่อนท่านชอบการแข่งขันอย่างมากไม่ใช่เหรอ?”

ไม่อย่างนั้นท่านคงไม่ได้ฉายาไข่มุกแห่งดินแดนทางเหนือมาหรอก โคลคิดในใจ ในสายตาของเขา ในอดีตพี่สาวของเขาเป็นพวกที่มีแรงเหลือใช้ ตอนกลางวันก็ไปซ้อมดาบกับพวกอัศวิน คนรุ่นเดียวกันที่แพ้เธอเรียกได้ว่ามีเยอะจนสามารถต่อแถวยาวจากปราสาทไปถึงประตูเมืองได้เลย ส่วนตอนกลางคืนเธอก็ยังเป็นดอกไม้ที่ดูสะดุดตาในงานเลี้ยง ทั้งเรื่องกินและพูดคุยล้วนแต่ยอดเยี่ยม แม้แต่ทอว์ฟิคก็ยังหลงเธอหัวปักหัวปำหลังจากที่ได้เจอเธอ

และก็เป็นเพราะมักจะเห็นเธออยู่ในงานเลี้ยงและงานแข่งขันส่วนใหญ่ของดินแดนทางเหนือ เธอจึงกลายเป็นที่รู้จักไปทั่วทั้งดินแดนทางเหนือ หากเป็นเมื่อก่อน เธอไม่มีทางที่จะพลาดงานเลี้ยงที่ฝ่าบาทจัดขึ้นมาแบบนี้แน่นอน

“เพราะเมื่อก่อนตระกูลจำเป็นต้องให้ข้าทำแบบนั้นน่ะสิ” เอดิธส์ยักไหล่ “ถ้าไม่รีบขยายอิทธิพลของตระกูลเคนท์ออกไป ท่านพ่อก็ไม่มีทางที่จะได้ตำแหน่งดยุคมา ข้าก็เลยต้องคอยไปดึงดูดสายตาพวกโง่พวกนั้นเหมือนตัวตลก” เมื่อพูดถึงตรงนี้เธอพลันหัวเราะหึหึขึ้นมา “เจ้าคงไม่คิดว่าข้าชอบทำแบบนั้นหรอกนะ?”

โคลสั่นสะท้านขึ้นมาทันที

“เปล่า ข้าเพียงแค่…”

“แต่ตอนนี้ข้าไม่จำเป็นต้องไปเหนื่อยแบบนั้นเพื่อทำให้ฝ่าบาททรงสนใจแล้ว” ที่โชคดีก็คืออีกฝ่ายไม่ได้หาเรื่องที่ตัวเองพลั้งปากพูดไปเมื่อกี้ “ยิ่งไปกว่านั้น…ข้าก็ไม่ได้ตัวคนเดียวอีกแล้ว”

โคลงุนงงขึ้นมา “ไม่ได้…ตัวคนเดียว?”

เอดิธส์มองไปยังแลนซ์ที่ตะโกนอยู่อีกด้าน จากนั้นก็มองดูเขา “ข้ายังมีพวกเจ้าด้วย ไม่ใช่เหรอไง?”

ความหนาวเย็นเมื่อครู่นี้หายไปทันที โคลรู้สึกหัวใจตัวเองพองโต เขาเหมือนอยากจะพูดอะไรออกมา แต่ก็ไม่รู้ว่าควรจะเริ่มยังไง

ส่วนเอดิธส์เองก็ยิ้มเล็กน้อย ก่อนจะเลื่อนสายตากลับไปยังบนอัฒจันทร์อีกครั้ง “ตั้งใจทำงานในสำนักบริหารให้ดี แค่นั้นก็ถือเป็นการช่วยข้าอย่างมากแล้ว”

…..

“แฮ่ก…แฮ่ก” ความเร็วของกูเอลส์ช้าลง “พวกเรา….ต้องวิ่งอีกไกลเท่าไร?”

“ป้ายที่ผ่านมาเมื่อกี้เป็นป้ายที่สิบสี่ แสดงว่าพวกเราเพิ่งจะวิ่งมาได้ครึ่งทางเท่านั้น” โรฮานทำสีหน้ากังวล “ท่านพ่อ ท่านไหวหรือเปล่า? ถ้าเหนื่อยเกินไป พวกเราพักซักหน่อยดีไหม ยังไงซะคนส่วนใหญ่ก็ยังตามอยู่ข้างหลังนั่น”

ตอนที่การแข่งขันเริ่มต้นขึ้น กลุ่มคนที่เบียดเสียดกันกลายสภาพเป็นเหมือนหัวธนู ก่อนจะเปลี่ยนจากหัวธนูเป็นเส้นยาว จนในตอนนี้มองดูไม่เป็นเส้นแล้ว

เห็นได้ชัดว่าคนที่สามารถวิ่งได้ต่อเนื่องรวดเดียวชั่วโมงกว่านั้นมีไม่เยอะเท่าไร ตั้งแต่การแข่งขันเริ่มขึ้นจนถึงตอนนี้ นักแข่งที่วิ่งแซงพวกเขาไปนั้นมีอยู่แค่ไม่กี่คน ถ้าวิ่งแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ เขาไม่เพียงแต่จะได้รางวัล แต่เขายังจะวิ่งจนจบการแข่งขันได้อย่างราบรื่นด้วย

สิ่งที่โรฮานกังวลมากกว่าก็คือสุขภาพของพ่อตัวเอง

ความจริงการวิ่งทางไกลนี้เหนื่อยกว่าการเดินข้ามทะเลทรายมาก อย่างน้อยการเดินข้ามทะเลทรายก็ไม่มีการจำกัดเวลา ขอเพียงวางแผนเส้นทางให้ดี แล้วก็หาน้ำและเสบียงจากโอเอซิสได้ สุดท้ายยังไงก็ต้องไปถึงเป้าหมายแน่นอน แต่การวิ่งแบบนี้นั้นไม่เหมือนกัน ถ้าอยากจะวิ่งโดยรักษาความเร็วสูงเอาไว้ การเผาผลาญพละกำลังในร่างกายก็จะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งพ่อตัวเองไม่ได้เคลื่อนไหวร่างกายแบบนี้มานานมากแล้ว

“เจ้าจะยอมแพ้อีกแล้วเหรอ?” กูเอลส์ถลึงตาใส่เขา “เพราะไม่สามารถเป็นที่หนึ่งได้น่ะเหรอ?”

“ข้า…”

“ถ้าเป็นโลก้า นางจะต้องไม่มีทางพูดแบบนี้ออกมาแน่ เมื่อไรเจ้าจะเป็นเหมือนนางที่ทุ่มเทอย่างเต็มที่ ลุยไปข้างหน้าเพื่อเป้าหมาย? เจ้าไม่เคยคิดที่จะเอาชนะทุกคนบ้างเหรอ?”

ถ้าเป็นเมื่อก่อน โรฮานคงเลือกที่จะเงียบไป แต่ตอนนี้ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด เขากลับรู้สึกเหมือนความอัดอั้นตันใจมันทะลักออกมาจากหัวใจ เอาให้หน้าอกของเขามันขยายขึ้นมาจนรู้สึกทรมาน

ข้าจะเอาชนะยังไง?

วางยาลงในแก้วน้องสามเหรอ หรือเอาเรื่องที่นางแปลงเป็นหมาป่าไปป่าวประกาศบอกให้ทุกคนรู้?

ไม่อย่างนั้นข้าจะไปเอาชนะเทพีที่ได้รับพลังมาจากสามเทพได้ยังไง?

แม้แต่หัวหน้าทหารยามในตระกูลเขายังสู้ไม่ได้เลย!

เพื่อที่จะรักษาตำแหน่งเผ่าอันดับหนึ่งของเมืองไอรอนแซนด์เอาไว้ เผ่าไวลด์เฟลมจำเป็นรักษาความแข็งแกร่งของตัวเองเอาไว้ ต่อมาโลก้าจึงกลายเป็นผู้สืบทอดที่ยอดเยี่ยมที่สุดในสายตาของทุกคน เรื่องนี้ไม่มีอะไรน่าแปลกใจ แต่ที่เขาเลือกที่จะถอยออกมาเงียบๆ ไม่ไปแก่งแย่งชิงดีอะไรกับน้อง มันก็เป็นการทำเพื่อเผ่าเหมือนกันไม่ใช่เหรอ?

แต่ทำไมท่านกลับไม่เคยสนใจข้าเลย?

บางทีอาจจะเป็นเพราะเดินทางออกมาจากดินแดนทางใต้สุด หรือไม่ก็เป็นเพราะเขาอัดอั้นเอาไว้เป็นเวลานาน หรือว่าการแต่งตัวของพ่อตัวเองที่ประหลาดพิลึก ทำให้นี่เป็นครั้งแรกที่โรฮานตะโกนแย้งขึ้นมา “ก็เพราะข้าเป็นห่วงท่านน่ะสิ! ถ้าท่านไม่อยู่ที่นี่ ข้าก็วิ่งไปอยู่ข้างหน้าตั้งนานแล้ว!”

แต่ว่าเขาพลันรู้สึกเสียใจขึ้นมาทันทีหลังหลุดปากออกไป

คำพูดนี้เหมือนเป็นการบอกว่าอีกฝ่ายกำลังถ่วงตัวเองอยู่

เขาอยากจะรีบพูดขอโทษพ่อก่อนที่อีกฝ่ายจะโมโหออกมา แต่เขากลับได้ยินกูเอลส์บอกว่า “อย่างนั้นเจ้าก็วิ่งไปคนเดียวแล้วกัน”

“ท่านพ่อ ข้าหมายความว่า…” โรฮานพยายามจะแก้ต่าง เดิมเขาคิดว่าจะได้เห็นสีหน้าโมโหของอีกฝ่าย แต่เขากลับคิดไม่ถึงเลยว่าพ่อของตัวเองจะยิ้มมุมปากขึ้นมา

“นี่เป็นครั้งแรกที่เจ้าแสดงความคิดของตัวเองออกมาสินะ?” กูเอลส์ถอนหายใจออกมา “ความจริงเจ้าเองก็พูดถูก ข้าแก่แล้วจริงๆ ไม่ว่าเมื่อก่อนจะแข็งแรงแค่ไหนก็ไม่สามารถหนีความแก่ได้” เขาชะงักไปเล็กน้อย “ในเมื่อเป็นแบบนี้ อย่างนั้นเจ้าก็ไม่ต้องสนใจข้าหรอก ความจริงแล้วเจ้าถนัดวิ่งทางไกลมากใช่ไหมล่ะ?”

โรฮานตกตะลึงไปทันที

“ในเผ่ามีคำพูดหนึ่งบอกว่า ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไร ขอเพียงฝึกฝนสิบปี ต่อให้เป็นคนโง่แค่ไหนก็เก่งได้” กูเอลส์ค่อยๆ หยุดฝีเท้าลง “ไม่ต้องเป็นห่วงข้า ข้าจะค่อยๆ เดินไป”

เขากำหมัดแน่นพร้อมกับนิ่งเงียบไป หลังจากนั้นจึงพูดเสียงเบาๆ ขึ้นมาว่า “อย่างนั้นข้าไปก่อนล่ะ”

“เดี๋ยวก่อน” ในขณะที่เขากำลังหมุนตัวไป กูเอลส์พลันเรียกเขาเอาไว้ “ใส่หูกับหางนี่ไปด้วย”

“ท่านพ่อ…”

“ถึงแม้โลก้าจะออกมาจากเผ่าไปแล้ว แต่นางก็ยังเป็นส่วนหนึ่งของเผ่าไวลด์เฟลมอยู่ แล้วก็เป็นน้องสาวแท้ๆ ของเจ้าด้วย อะไรที่ช่วยนางได้ พวกเราก็ควรจะช่วยเต็มที่” กูเอลส์เอาที่คาดผมใส่ขึ้นไปบนหัวของเขา “ไปเถอะ ทำให้ชีคได้เห็นความสามารถของชาวโมเกน”

โรฮานไม่ได้ตอบอะไร เขามองดูพ่อตัวเองเงียบๆ ก่อนจะก้าวเท้าวิ่งออกไป

สายลมพัดขึ้นมาอีกครั้ง

ความเร็วเขาเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ตอนแรกเขายังได้ยินเสียงอุทานของคนดูที่อยู่ริมถนนอยู่ แต่หลังจากนั้นก็ถูกเสียงลมที่ปะทะเข้ามากลบไปจนหมด

แต่โรฮานก็ไม่ได้มีความรู้สึกเหนื่อยล้าแม้แต่น้อย เขารู้สึกเหมือนตัวเองยังวิ่งได้เร็วกว่านี้อีก

ในเวลานี้ร่างกายเขาเหมือนเต็มไปเปี่ยมไปด้วยพละกำลัง

ที่แท้พ่อคอยจับตาดูเขาอยู่ตลอด!

เพื่อที่จะหลีกทางให้น้องสาม เขาต้องเจอกับคำวิพากษ์วิจารณ์จำนวนมากมาย ทั้งที่มาจากนอกเผ่าและในเผ่า ทุกครั้งที่เขารู้สึกทุกข์ใจ เขามักจะออกมาจากเมืองไอรอนแซนด์ในเวลากลางคืน แล้วก็วิ่งไปมาระหว่างโอเอซิสคนเดียว เพื่อจะได้ระบายความอัดอั้นตันใจ แล้วก็เป็นการพิสูจน์ตัวเอง จริงอยู่ที่เขาไม่ถนัดในการต่อสู้ แต่บางทีในด้านอื่นเขาอาจจะเหนือกว่าโลก้าก็ได้ อย่างเช่นการล่าสัตว์ ที่ต้องใช้ความอึดและความอดทนมากกว่าพละกำลัง

ถึงแม้สุดท้ายความคิดนี้ไม่เป็นจริงก็ตาม

โรฮานเคยคิดว่าจะไม่มีใครมาคอยสนใจความพยายามเล็กๆ น้อยๆ อันนี้ของเขา แต่ตอนนี้ดูเหมือนมันจะไม่ได้เป็นเช่นนั้นแล้ว

‘ความจริงแล้วเจ้าถนัดในการวิ่งทางไกลใช่ไหมล่ะ?’

‘ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไร ขอเพียงฝึกฝนสิบปี ต่อให้เป็นคนโง่แค่ไหนก็เก่งได้’

คำพูดของพ่อเขาดังก้องอยู่ภายในหู

จริงเหรอ? ที่แท้ท่านก็รู้อยู่แต่แรกแล้ว

ฝีเท้าของโรฮานเร็วขึ้นกว่าเดิม

นับตั้งแต่ที่เขาวิ่งไปยังโอเอซิสจนถึงตอนนี้

เป็นเวลา 10 ปีพอดี!