หมู่บ้านตระกูลอวิ๋นเปลี่ยนจากหมู่บ้านกึ่งอุตสาหกรรมที่ร้อนแรงมาเป็นหมู่บ้านเกษตรกรรมที่มีเสียงสุนัขเห่าเสียงไก่ขัน เสียงเด็กเลี้ยงวัวร้องขับขานในระยะเวลาอันสั้น ท่ามกลางฝนที่ตกปรอยๆยังเห็นชาวนาที่ขยันขันแข็งกำลังเร่งปลูกข้าวฟ่าง วัวไถนาที่แข็งแรงถูกเด็กเลี้ยงวัวข้างหน้าจูงไว้ค่อยๆเดินอยู่ ชายหนุ่มที่จับคันไถข้างหลังคอยร้องตะคอกบางครั้ง วัวหมู่บ้านอวิ๋นล้วนมาจากทุ่งหญ้าจึงไถนาเองไม่เป็นต้องมีคนคอยบังคับ หญิงชาวนาข้างหลังถือคราดคอยกวาดรากหญ้าในดินสุมไว้ข้างบน
พื้นดินเป็นสีดำแค่บีบแน่นก็ราวกับมีน้ำมันออกมาได้ ดูรู้เลยว่าเป็นชั้นดี ใบหน้าของชาวนาล้วนมีแต่ความชื่นบาน ตระกูลอวิ๋นต่างกับตระกูลอื่น เก็บค่าเช่าที่ปลูกข้าวสาลีเพียงรอบแรกเท่านั้น การปลูกข้าวฟ่างรอบนี้เป็นของชาวนาทั้งหมด ถึงแม้เป็นชาวนาเช่า แต่เสบียงอาหารที่ได้แต่ละปีไม่แน่ว่าอาจจะมากกว่าชาวนาที่มีที่นาตัวเองเสียอีก วัวที่ใช้ไถนาเป็นของเจ้าของที่ดินสามารถใช้ได้เลย เพียงแต่เอาค่าใช้วัวมาหักเป็นข้าวฟ่างเท่านั้น ข้าวฟ่างก็ไม่ใช่เจ้าของที่ดินต้องการ แต่ไว้ต้มสุกเลี้ยงวัวในช่วงฤดูหนาว ไม่มีชาวหมู่บ้านที่เห็นว่าไม่สมควร เจ้าของที่ดินไม่ทำนา การเลี้ยงวัวร้อยกว่าตัวก็เพื่อสะดวกต่อชาวหมู่บ้าน
เถียนฝูใช้มือปาดเหงื่อ การไถนาเป็นการใช้แรงงานอยู่แล้ว ต่อให้มีร่างกายแข็งแรงก็ทนอยู่ไม่ได้นาน ยิ้มมองดูลูกชายข้างหน้าที่จูงวัวเดินมาแล้วครึ่งวันเช้าด้วยความเห็นใจ ลูกชายชาวนาไม่ลำบากไม่ได้ กำลังของเด็กฝึกมาเช่นนี้เอง เช่นเดียวกับหญ้าหลังฝนตัดแล้วขึ้นได้อีก แม้ขณะนี้เรียนหนังสือกับอาจารย์แต่ก็ต้องเป็นงานทำไร่ไถนาได้ สำหรับเถียนฝูแล้ว เหล่านี้จึงเป็นรากฐานของร่างกาย เหนื่อยหน่อยก็ไม่เป็นไร กำลังของเด็กฝึกมาเช่นนี้เอง เช่นเดียวกับหญ้าหลังฝนตัดแล้วขึ้นได้อีก
ยายเพิ้งถือกระป๋องน้ำมา ในนั้นมีน้ำเจียงสุ่ยที่มีรสเปรี้ยวแก้กระหายน้ำได้ มองเห็นยายเพิ้งยัดไข่ไก่ที่ต้มสุกแล้วให้ลูกชายเงียบๆ เถียนฝูแกล้งทำเป็นมองไม่เห็น เด็กกำลังโตได้กินของดีหน่อยก็สมควร
ลูกชายไม่ชอบกินไข่แดงจึงป้อนให้แม่กิน เถียนฝูเห็นแล้วเกิดความชื่นชมจากเบื้องลึกของหัวใจ ลูกชายชาวนา จะมีนิสัยลูกเศรษฐีได้อย่างไร ไม่ชอบกินไข่แดง? ที่ได้กินไข่ไก่ก็เป็นเรื่องปีสองปีนี้เท่านั้น แค่รักแม่เท่านั้นเองแหละ
หากไม่ใช่เพราะโหวเหยียสั่งให้รื้อโรงงานทั้งหมดแล้วความเป็นอยู่ของครอบครัวต้องดีกว่านี้ แค่ใช้ช่วงว่างจากการทำเกษตรไปทำงานได้ค่าแรงจากเตาเผาก็เพียงพอที่จะให้ทั้งครอบครัวมีความเป็นอยู่ที่ดี ทั้งหมดนี้เพราะพวกเศษมนุษย์ในราชสำนักไม่อยากเห็นชาวหมู่บ้านอวิ๋นมีความเป็นอยู่ที่ดีจึงบังคับให้โหวเหยียไม่รื้อเตาเผาไม่ได้ ตอนนี้ดีแล้ว ทั้งหมู่บ้านต่างทำเกษตรดูสิว่าพวกเจ้ายังอยู่ได้ไหวหรือไม่
ที่ยืนอยู่ใต้ต้นหลิวนั้นคือเว่ยเจิงเขาสวมชุดขุนนาง สองวันนี้เดินเตร่อยู่ในหมู่บ้านตระกูลอวิ๋น เขาอยากดูว่าหมู่บ้านตระกูลอวิ๋นเปลี่ยนสภาพเป็นอย่างไรกันแน่ จากสวรรค์ที่มั่งคั่งถูกตีกลับมาสภาพเดิมจะมีอะไรเปลี่ยนแปลงหรือไม่ เขาผิดหวังอย่างยิ่งที่หมู่บ้านตระกูลอวิ๋นยังคงก้าวเดินอย่างราบเรียบตามเส้นทางเดิม ตลาดยังคงครึกครื้นเช่นเดิม การซื้อขายลาม้ายังคงรุ่งเรือง เพียงแต่เพิ่มการค้าขายเสบียงอาหาร หรือว่าหมู่บ้านตระกูลอวิ๋นมีเสบียงอาหารมากมายจนกินไม่หมดเลยหรือ
สามในสิบส่วน การเพิ่มสูงขึ้นสามในสิบส่วนของเสบียงอาหารเป็นข่าวลือหรือไม่ ด้วยการติดตามของนายอำเภอ ได้เปิดดูยุ้งเก็บเสบียงของหลายครอบครัว ในกองเก็บเสบียงที่สานจากไม้ไผ่ ข้าวสาลีที่เหลืองอร่ามตุนไว้จนเต็มเปี่ยม เอาเหล็กแหลมตรวจสอบเสบียงแทงเข้าไปในกองเก็บเสบียง ชาวนาชราไม่พอใจมากที่ทางการแทงกองเก็บเสบียงจนเป็นรูพรุนไปหมด จึงสั่งหลานใช้ขวานจามกองเก็บเสบียงออก เสบียงอาหารที่กระจายออกมาแทบจะท่วมเท้าของเว่ยเจิง
ยังไม่เคยมีชาวนาที่ไหนกล้าไร้มารยาทกับตัวเอง แต่ก่อนนี้ไปถึงที่ไหน พอชาวนาได้ยินชื่อของตัวเองต่างเชิญผู้แทนชาวนาคนนี้ไปนั่งที่บ้านด้วยความเคารพ บัดนี้การจะเข้าบ้านชาวนายังต้องขออาศัยอำนาจนายอำเภอ
ไปเยี่ยมอวิ๋นเยี่ยแล้วสองครั้งเขาไม่อยู่บ้าน เว่ยเจิงรู้ว่าอวิ๋นเยี่ยจะต้องอยู่ในสวนหลังบ้าน เพียงแต่คนไม่ให้พบตัวเองก็ทำอะไรไม่ได้ การตอบโต้ของอวิ๋นเยี่ยทำจนสุดขอบแท้ๆ เวลามาราวกับฟ้าถล่มแผ่นดินสะเทือน เวลาถอยราวกับเขื่อนกั้นน้ำกั้นทะเลพังทลาย ผลักไสให้ขุนนางฝ่ายบุ๋นเข้าสู่พื้นที่อันตราย เวลานี้ตลาดฉางอันหงอยเหงาสุดๆ เหล่าพ่อค้าราวกับได้กลิ่นอายความอันตรายต้องซุกซ่อนทรัพย์สมบัติของตัวเองเต็มที่ เกรงว่าราชสำนักจะมีการเปลี่ยนแปลงอะไรใหญ่โตอีก ทั้งเดือนไม่มีร้านค้าเปิดใหม่เลยแม้แต่ร้านเดียวแต่ที่ปิดไปแล้วมีมากมายจนนับไม่ถ้วน กระแสซบเซานี้ยังคงขยายตัวไปเรื่อยๆ
เสนาบดีการทรวงการคลังจั่งซุนอู๋จี้กำลังกัดฟันพยุงสถานการณ์ ปีที่แล้วเก็บภาษีการค้าได้สามในสิบส่วน ปีนี้ถ้าได้ถึงสองในสิบส่วนก็ดีมากแล้ว แต่ไหนแต่ไรมาฉางอันเป็นแหล่งใหญ่สุดของภาษีการค้า เมืองเดียวมีภาษีการค้าสามในสิบส่วนของทั้งหมด ทั้งยังมากกว่าด้วยซ้ำ ภาษีการค้าที่ก่อนนี้ไม่เข้าตาแม้แต่นิด เวลานี้กลายเป็นรายรับที่มองข้ามไม่ได้ของการคลัง
อวิ๋นเยี่ยนำเหล่าน้องสาวกำจัดหญ้าในที่ดินผืนหนึ่งของตระกูลอวิ๋น ข้าวสาลีเก็บเกี่ยวแล้ว ข้าวโพดที่ปรับปรุงสายพันธุ์กำลังอยู่ในระยะเติบโตอย่างบ้าคลั่งบนที่ดินไม่ได้มากเพียงครึ่งหมู่เท่านั้น ต้นฤดูใบไม้ผลิปีนี้ตระกูลอวิ๋นนำข้าวโพดแทบทั้งหมดปลูกในนาข้าวสาลี รากข้าวโพดลงลึกรากข้าวสาลีอยู่ตื้นต่างไม่มีผลกระทบกัน แปลงถั่วเหลืองปรับปรุงสายพันธุ์ที่ปลูกร่วมกับข้าวสาลีก็คงเหลือแต่ถั่วเหลือง ใบที่เป็นขนปุกปุยแทบจะปกคลุมพื้นที่นาทั้งหมด การที่เป็นเช่นนี้มีผลดีต่อดินอย่างยิ่ง ระบบรากของถั่วเหลืองจะสะสมไนโตรเจนจำนวนมาก เวลานี้หมู่บ้านตระกูลอวิ๋นที่ไม่ได้ปลูกข้าวฟ่างต่างปลูกพืชปรับปรุงพันธุ์เช่นนี้
อวิ๋นเยี่ยใช้จอบกำจัดหญ้าในร่องดินโดยหลบรากข้าวโพดอย่างระมัดระวัง เสี่ยวยาตามหลังพี่ชายใส่หญ้าไว้ในตะกร้าอย่างคล่องแคล่ว สือสืออยู่อีกร่องดินหนึ่งใช้จอบได้คล่องกว่าอวิ๋นเยี่ยมาก คุณหนูรองบ้านอู่ตามอยู่หลังนางคอยเก็บหญ้า ไม่รู้ว่าเพราะอะไรหลังจากตีกันแล้วทั้งสองคนกลับกลายเป็นเพื่อนที่ดี เวลานี้เสี่ยวอู่สอนสือสือเขียนหนังสือ สอนอย่างจริงจัง
อี้เหนียงเห็นการทำงานในทุ่งนาเป็นการนัดหมาย เผยอวี้อยู่ข้างหน้าพรวนดินถางหญ้าส่วนอี้เหนียงอยู่ข้างหลังเก็บหญ้าต่างส่งสายตาไปมาขัดขวางการทำงาน อวิ๋นเยี่ยพรวนมาแล้วสองร่องดิน พวกเขายังอยู่ข้างหลังออเซาะกัน
“มองกันไม่รู้จบมองข้ามข้าไปเลย อีกครึ่งปีผู้ใหญ่มาฉางอันจะให้พวกเจ้าแต่งงาน มีเรื่องอะไรคุยกันไม่จบเสียเวลาทำงาน รีบเลยไม่เห็นหรือว่าฝนตกหนักขึ้นแล้ว หากพรวนดินไม่ทันจะให้พวกเจ้าสองคนทำกันเองในที่นา”
ตีทั้งคู่ให้แยกกันเช่นนี้เอง อี้เหนียงเป็นคนเก็บตัวขี้อายมาก พออวิ๋นเยี่ยพูดเช่นนี้ก็ก้มหน้านั่งยองๆลง เผยอวี้แสดงความหน้าทนบอกอวิ๋นเยี่ยว่า “พี่ใหญ่ สถานศึกษาเข้มงวดมาก ปกติข้ายากที่จะได้มีโอกาสกลับมาเลยคุยมากไปหน่อย โปรดให้อภัยด้วย”
คุณชายที่เรียบร้อยนุ่มนวลหายไปแล้ว เพียงไม่กี่เดือนสถานศึกษาก็เปลี่ยนคุณชายเรียบร้อยเป็นจอมกะล่อน ได้ยินว่าเขาเป็นนักเตะฝีเท้าดีในสนามฟุตบอล เปลือยท่อนบนตบหน้าอกหอนแบบสุนัขป่าในสนามฟุตบอลก็เป็นเขาคนเดียวนี่เอง
“ผลการเรียนเจ้าในสถานศึกษาเป็นอย่างไร ได้ยินว่าเจ้ากำลังติดตามอาจารย์หยวนจางศึกษาประวัติศาสตร์ นี่เป็นเรื่องที่ดี อาจารย์หยวนจางมีความรู้ประวัติศาสตร์ลึกล้ำมาก กำลังเตรียมบันทึกประวัติศาสตร์ยุคสุย เป็นเวลาที่เหมาะสมพอดี ไม่ศึกษาไม่ได้เลย”
อวิ๋นเยี่ยเป็นห่วงว่าเผยอวี้จะมาเลียนแบบตัวเองซึ่งใช้ไม่ได้เพราะเส้นทางนี้ขรุขระคดเคี้ยวแน่นอน หากไม่มีความเพียรสุดแสนสาหัสจะไม่สามารถยืนหยัดอยู่ได้ อนาคตก็มีปัญหามหาศาลแน่นอน ใจจริงเพียงหวังให้เผยอวี้อย่าได้สนใจคณิตศาสตร์ จะตามหลี่กัง อวี้ซันหรือหยวนจางได้ทั้งนั้น แม้กระทั่งตามหลีสือศึกษาการวาดภาพก็เป็นทางออกหนึ่ง เรื่องคณิตศาสตร์ ฟิสิกส์ เคมีปล่อยให้ตัวเองกับหลี่ไท่ว่ากันเองดีกว่า
“พี่ใหญ่ อยู่ในสถานศึกษาหลายเดือนนี้เป็นช่วงเวลาที่ข้าสบายใจมากที่สุด ถึงแม้จะเหนื่อยยากไปหน่อยแต่ทำให้ข้าใฝ่หาตลอดเวลา ไม่ใช่มีแต่ข้าที่พูดเช่นนี้ เสี่ยวยางกับลิ่งหูก็เป็นเช่นนี้ ตื่นนอนเช้ามีการออกกำลังทุกวัน ล้างหน้าแปรงฟัน กินข้าว เข้าห้องเรียน บ่ายหลังเลิกเรียนก็มีการเล่น ต่างสนุกสนานกันจนลืมไปทุกเรื่อง จดหมายตอบที่ลิ่งหูส่งให้บิดาบอกว่าที่นี่คือสวรรค์ของความรู้ อาจารย์ที่เขาติดตามนั้นคืออาจารย์อวี้ซัน เวลานี้กำลังเตรียมเขียนชีวประวัติผู้มีชื่อเสียงแล้ว”
อวิ๋นเยี่ยยิ้มโดยไม่ได้พูดเดินถือจอบมาที่หัวนา การปล่อยให้เว่ยเจิงรอนานเกินไปไม่ใช่เรื่องที่ดี อย่างน้อยก็ยังต้องคำนึงถึงธรรมเนียมพิธีการ
“เว่ยกงทำไมวันนี้ว่างมาถึงบ้านนอกคอกนาที่นี่ ไม่รู้ว่ามีอะไรสั่งสอน อวิ๋นเยี่ยขอรับฟังด้วยความเคารพ” ค้อมตัวทำความเคารพเว่ยเจิงแต่ไกล แต่น้ำคำไม่ได้เกรงใจสักนิด ไม่ได้มีความรู้สึกที่ดีต่อคนที่ขวางกระแสประวัติศาสตร์โลกแม้แต่นิดเดียว
“อวิ๋นโหวพูดอะไรกัน แค่ถอนรากถอนโคนทีเดียวก็ทำให้ข้าหาประตูร้องเรียนไม่เจอ ไม่มาเข้าบ้านขอคำชี้แนะไม่ได้ จะมีคำสั่งสอนอะไรกัน” เว่ยเจิงทำหน้าขมขื่น พยายามฝืนยิ้มออกมา
แบกจอบไว้บนบ่าเชิญเว่ยเจิงไปเพิงหัวนาพักผ่อนก่อน เพิงนี้ตระกูลอวิ๋นทำไว้ให้คนเฝ้าดูแลข้าวโพด ข้าวโพดทุกต้นเวลานี้มีค่ามหาศาล
พอนั่งเรียบร้อยแล้วเว่ยเจิงก็ไม่เกรงใจ พูดทันทีว่า “อวิ๋นโหว ท่านคิดจะก่อกวนถึงเมื่อไรกัน ตระกูลอวิ๋นท่านนับว่าได้ถอนตัวเต็มรูปแบบแล้ว ไม่พิจารณาช่วยราษฎรทั่วแผ่นดินบ้างเลยหรือ หรือว่าในสายตาท่านตระกูลอวิ๋นสำคัญกว่าราษฎรทั่วแผ่นดินหรือ”
คำพูดนี้หากเป็นคนอื่นพูด อวิ๋นเยี่ยจะเอาขี้หมูพอกไว้ที่ปากเขา แต่พอเว่ยเจิงพูดก็เป็นความจริงชนิดที่ตอบโต้ไม่ได้ คนนี้เท่าที่เป็นมาตลอดชีวิตนั้นถือว่าราษฎรทั่วแผ่นดินสำคัญกว่าตระกูลตัวเอง จึงมีความต้องการให้คนอื่นเป็นเช่นเดียวกับเขาซึ่งไม่ใช่สิ่งที่เป็นจริงเลย พูดจากใจจริงแล้วความสำคัญของคนทั้งแผ่นดินก็ยังไม่ได้มีความสำคัญเท่าครอบครัวตระกูลอวิ๋นแน่นอน
“ข้านั้นเป็นคนกะล่อนทองอยู่ในฉางอันชื่อเหม็นไปทั่ว แค่ส่งเสียงที่ถนนใหญ่จูเชวี่ยทีเดียวแม้แต่สุนัขยังวิ่งหนีหายหมด คนเช่นข้านี้ท่านยังหวังจะให้ทำคุณแก่แผ่นดินหรือ”
“อวิ๋นโหว ท่านเป็นคนฉลาดดังนั้นข้าจะไม่อ้อมค้อม ท่านไม่ห่วงว่าหากทำเรื่องนี้จนถึงที่สุดแล้วจะมีภัยมหันต์ถึงท่านหรือ ตลาดฉางอันเงียบเหงา พ่อค้าจิตใจหวั่นไหวต่างรีบเทสินค้าออกจากตัวขอเพียงไม่ให้มีภัยถึงตัว เป็นเช่นนี้ต่อไป แม้เหนียงเหนียงจะคุ้มครองท่านไว้แต่ถ้าหากราชสำนักเดือดพล่าน ข้าไม่เชื่อว่าท่านจะยังคงอยู่สุขสบายได้”
“ราชสำนักต่างคิดว่าเหล่าพ่อค้าล้วนเป็นพวกต่ำช้า ไร้ศีลธรรม นิสัยชั่วร้าย จึงเสนอให้ควบคุมรุนแรง ตระกูลอวิ๋นเชื่อฟังความเห็นเหล่าขุนนางจึงปิดโรงงานตัวเองทั้งหมดแล้วก้มหน้าแก้ไขตั้งใจเพาะปลูก หรือว่านี่ก็ยังผิดอีก เหล่าขุนนางราชสำนักต้องการให้ตระกูลอวิ๋นทำเช่นไรจึงจะพอใจ พูดออกมาเลยข้ายินดีทำตาม ขอให้ปล่อยตระกูลอวิ๋นให้อยู่รอดได้ก็พอแล้ว หากยังไม่ได้อีกข้าจะยกเงินทองทั้งหมดเข้าคลังแผ่นดิน เว่ยกงมีความเห็นเช่นไร”
เว่ยเจิงหลับตาไม่พูด ในเมื่ออวิ๋นเยี่ยสามารถปิดโรงงานทั้งหมด หากจำเป็นอาจยกสมบัติทั้งหมดได้จริงๆ ซึ่งสำหรับตระกูลอวิ๋นแล้วไม่ใช่เรื่องสลักสำคัญอะไรเลย ตราบใดที่อวิ๋นเยี่ยยังอยู่ ทรัพย์สินเงินทองนับหมื่นก้วนสามารถรวบรวมได้ในบัดดล ในโลกนี้ไม่มีคนไหนข้องใจจุดนี้เลย แต่เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วพ่อค้าจะสูญสิ้นในต้าถัง หรือหมายความว่า นอกจากขุนนางศักดินาแล้วก็จะไม่มีพ่อค้าอีก ถึงเวลานั้นภัยอันตรายจะรุนแรงยิ่งขึ้น ตัวเขาเว่ยเจิงนอกจากใช้ชีวิตสังเวยปวงชนแล้วก็จะไม่มีหนทางอื่นไปได้อีก