“ช่างกล้า!” เซียงเฉิงหยินคำรามทันที
ใครก็ตามที่ไม่เคารพต่อผู้อาวุโสฝ่ายซ้ายต้องได้รับโทษสถานหนัก
หลิงฮันนิ่งเฉย ในหัวของเขาตอนนี้มีแต่เรื่องทักษะหกธาตุผสานเป็นหนึ่ง
ผู้อาวุโสฝ่ายซ้ายยกมือส่งสัญญาณห้ามเซียงเฉิงหยินด้วยใบหน้าตกตะลึง
นี่คือการรู้แจ้ง!
สำหรับจอมยุทธ การรู้แจ้งเรียกได้ว่าเป็นวาสนาและโอกาสที่สำคัญที่สุดในชีวิต
อะไรคือการรู้แจ้ง?
มันคือการที่จู่ๆจอมยุทธผู้หนึ่งจะรับรู้และเข้าใจเงื่อนงำของปัญหาที่ตนเองไม่เข้าใจแบบฉับพลัน
การรู้แจ้งเป็นสิ่งที่ไม่สามารถเกิดขึ้นด้วยได้การช่วยเหลือของเม็ดยาหรือทรัพยากรใดๆ
หากจอมยุทธคนใดมีการรู้แจ้ง จอมยุทธผู้นั้นอาจจะย่นระยะเวลาบ่มเพาะพลังของตนเองไปได้ถึงหนึ่งแสนปี
ยกตัวอย่างเช่นผู้อาวุโสฝ่ายซ้ายที่ตอนนี้มีพลังบ่มเพาะอยู่ที่ระดับดาราขั้นต้นสูงสุด หากเขาไม่ได้รับวาสนาใดๆเขาอาจจะไม่สามารถทะลวงผ่านไปยังขั้นกลางได้เลยในชีวิตนี้
ดังนั้นเมื่อเห็นหลิงฮันได้รับการรู้แจ้ง ผู้อาวุโสฝ่ายซ้ายจึงอดรู้สึกหดหู่ไม่ได้ ถ้าเขามีวาสนาเช่นนั้นบ้างบางทีอีกสิบหรือร้อยปีข้างหน้าเขาอาจจะบรรลุระดับดาราขั้นกลางก็ได้
อย่าดูถูกขั้นพลังเล็กๆเชียว แม้จะเป็นขั้นพลังเล็กๆแต่ก็ทำให้พลังต่อสู้เพิ่มขึ้นมากกว่าเดิมอย่างน้อยสิบเท่า
เขาอดหัวเราะในใจไม่ได้ นี่เขากำลังรู้สึกอิจฉาจอมยุทธจากโลกใบเล็กอยู่รึเนี่ย
เพียงแต่ว่าการได้รับการรู้แจ้งเร็วไปก็ไม่ใช่เรื่องดี นั่นเพราะการรู้แจ้งไม่ใช่สิ่งที่จะเกิดขึ้นได้ตลอด หากให้พูดแล้วแม้แต่สุดยอดอัจฉริยะทั้งชีวิตก็อาจจะได้รับการรู้แจ้งเพียงหนึ่งหรือสองครั้งเท่านั้น
ดังนั้นยิ่งการรู้แจ้งเกิดขึ้นในระดับพลังที่สูงเท่าไหร่ก็ยิ่งล้ำค่ามากขึ้นเท่านั้น
เซียงเฉิงหยินแสดงท่าทีตกตะลึงออกมา ผู้อาวุโสฝ่ายซ้อยถึงกับยอมรอคอยให้หลิงฮันตื่นเลยรึ? การปฏิบัติเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร?
ทั่วทั้งโลกใบนี้ คนเดียวที่มีคุณสมบัติให้ผู้อาวุโสฝ่านซ้ายต้องรอคอยคือจักรพรรดินี!
แต่ตอนนี้จอมยุทธจากโลกใบเล็กกลับได้รีบการปฏิบัติเช่นนั้น แล้วจะไม่ให้เซียงเฉิงหยินรู้สึกตกตะลึงและอิจฉาได้อย่างไร?
การรู้แจ้งเกิดขึ้นราวๆเกือบจะหนึ่งชั่วโมง
หลิงฮันลืมและแสดงสีหน้าไม่พอใจ ความเข้าใจในทักษะหกธาตุผสานเป็นหนึ่งของเขาพัฒนาขึ้นมาก แต่เขากลับลืมตาตื่นก่อนที่จะทำความเข้าใจในส่วนสุดท้าย
เมื่อเขาลืมตาตื่นเขาก็ผมว่าเขาไม่มีเวลาจะย่อยความรู้ที่เข้าได้รับมาและรีบลุกขึ้นยืน ผู้อาวุโสฝ่ายซ้ายมองมาที่เข้าด้วยรอยยิ้ม ส่วนเซียงเฉิงหยินนั้นปลดปล่อยออร่าที่เย็นชาออกมา
“จู๋ๆข้าก็เกิดรับรู้บางสิ่งขึ้นมาจนเผลอลืมตัว ข้าขอให้ท่านผู้อาวุโสฝ่ายซ้ายยกโทษให้ข้าด้วย” หลิงฮันกล่าวอย่างนอบน้อม
“ไม่ต้องคิดมาก!” ผู้อาวุโสฝ่ายซ้ายกล่าวอย่างอ่อนโยนก่อนจะชำเลืองมองไปยังเซียงเฉิงหยินและกล่าว “เจ้าออกไปก่อน”
เซียงเฉิงหยินชะงักเล็กน้อย เขาเกือบจะไม่เชื่อในหูของตัวเอง
ผู้อาวุโสฝ่ายซ้ายมีเรื่องที่ไม่ต้องการให้เขารู้งั้นรึ?
แถมเขายังจะบอกเรื่องนั้นกับหลิงฮันด้วย!
แม้เขาจะไม่พอใจแต่ในเมื่อเป็นคำสั่งของผู้อาวุโสฝ่ายซ้าย เขาจึงทำได้เพียงตอบตกลงและเดินจากไป
แต่ก่อนจะจากไปเขาชำเลืองไปยังหลิงฮันและมองด้วยสายตาเย็นชา
หลิงฮันอดนึกแปลกใจไม่ได้ว่าเขาไปล่วงเกินอีกฝ่ายตอนไหนกัน?
หลังจากเซียงเฉิงหยินจากไปผู้อาวุโสฝ่ายจัดดอกไม้ในกระถางต่อ
เขาไม่ได้กล่าวอะไรต่อ หลิงฮันเองก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากยืนอยู่นิ่งๆด้านข้าง
ผ่านไปสักพักผู้อาวุโสฝ่ายซ้ายก็หยุดมือและกล่าว “ตอนนี้เหว่ยเหว่ยกำลังทำธุรกิจกับเจ้า?”
หลิงฮันถอนหายใจและกล่าว “ขอรับ ตอนนี้ข้าทำธุระกิจกับคุณหนีสี่และคุณหนูจื่ออยู่”
ผู้อาวุโสฝ่ายซ้ายยิ้ม “ดูจากการกระทำของลูกสาวข้า นางคงไม่ได้ทำเล่นๆแต่จริงจังอย่างมาก”
“คุณหนูสี่พยายามอย่างเต็มที่” หลิงฮันเอ่ยชม
ผู้อาวุโสฝ่ายซ้ายหัวเราะออกมา เขาไม่รู้ว่าหลิงฮันเป็นคนที่เชื่อถือได้หรือไม่ แต่เขาชอบการที่บุตรสาวของเขาทำอะไรด้วยตัวเองมาก เขาพยักหน้าและกล่าว “หาได้ยากนักที่บุตรสาวคนนี้ของข้าจะทำอะไรอย่างจริงจัง ความจริงเรื่องนี้ทำให้ข้ารู้สึกพอใจมาก”
ผู้อาวุโสฝ่ายซ้ายขยับมือจัดดอกไม้อีกครั้งในขณะที่กล่าว “เหว่ยเหว่ยถึงช่วงวัยที่สามารถแต่งงานได้แล้ว เพียงแต่ว่าข้าเป็นกังวลว่าความคิดนางจะยังเด็กเกินไปและทำเรื่องผิดพลาดได้”
หัวใจของหลิงฮันเต้นแรง ถึงแม้ผู้อาวุโสฝ่ายซ้ายจะไปกล่าวออกมาอย่างชัดเจนแต่เขาก็รู้ตัวว่าอีกฝ่ายกำลังพูดถึงเขา
ดูเหมือนว่าช่วงนี้เขากับหลี่เหว่ยเหว่ยจะใกล้ชิดกันเกินไปจนทำให้ผู้อาวูโสฝ่ายซ้ายไม่พอใจ
แม้เขาจะมีพรสวรรค์ที่ราวกับสัตว์ประหลาดขนาดไหน พลังบ่มเพาะของเขาในตอนนี้ก็ยังต่ำเกินไป มีส่วนในบ้างของเขาที่เหมาะสมกับการเป็นบุตรเขยของผู้อาวุโสฝ่ายซ้าย?
“หากจะมีใครเหมาะสมกับคุณหนูสี่ก็ต้องมีสถานะทัดเทียมกับเจ็ดนายพลเป็นอย่างน้อย” หลิงฮันกล่าว
ผู้อาวุโสฝ่ายซ้ายพอใจเป็นอย่างมาก รุ่นเยาว์จากโลกใบเล็กผู้นี้เข้าใจสิ่งที่เขาต้องการสื่อด้วยคำพูดประโยคเดียว เขาหยุดนิ่งไปก่อนจะกล่าวต่อ “ทุกๆสิบปีจักรวรรดิราชวงศ์ทั้งสามจะมีการประลองแลกเปลี่ยนกันซึ่งจะแบ่งเป็นการประลองของระดับทลายมิติและระดับภูผาวารี ในปีนี้การประลองแลกเปลี่ยนจะเป็นของระดับทลายมิติ แต่ละจักรวรรดิราชวงศ์สามารถส่งตัวแทนได้สิบคน ตัวแทนของฝ่ายไหนพ่ายแพ้หมดก่อนก็จะเป็นอันสุดท้าย ส่วนตัวแทนของฝ่ายใดที่เหลืออยู่เป็นคนสุดท้ายก็จะเป็นผู้ชนะอันดับหนึ่ง”
ผู้อาวุโสฝ่ายซ้ายเลื่อนสายตาไปยังหลิงฮันและกล่าว “เจ้าจะเป็นตัวแทนของข้า”
การที่อาวุโสฝ่ายซ้ายกล่าวว่า ‘ทำเพื่อข้า’ หากเขาปฏิเสธไม่ใช่ว่านั่นจะเป็นการบังคับรึยังไง? นี่ยังต้องถามความเห็นของเขาอีกรึ?
“ขอรับ!” หลิงฮันพยักหน้า
“เพียงแต่ว่าเรื่องนี้นั่นเกี่ยวพันไปถึงภาพลักษณ์โดยรวมของจักรวรรดิ” ผู้อาวุโสฝ่ายซ้ายกล่าวต่อ “ดังนั้นเจ้าต้องจัดการผู้เข้าร่วมคนอื่นให้ราบคาบและนำชื่อเสียงมาสู่จักวรรดิของเรา”
“ขอรับ!” หลิงฮันกล่าว ถ้าเขาช่วยให้จักรวรรดิราชวงศ์ดวงดาราหายนะได้รับชัยชนะอันดับหนึ่ง เขาจะได้รับรางวัลอะไรหรือไม่?
ในเมื่อมันเกี่ยวพันไปถึงภาพลักษณ์โดยรวมของจักรวรรดิ รางวัลที่ได้คงจะไม่ใช่ธรรมดาๆหรอกจริงไหม?
เมื่อคิดเช่นนี้ หลิงฮันก็มีใจสู้ทันที
“เจ้าไปได้แล้ว!” ผู้อาวุโสฝ่ายซ้ายสะบัดมือ