ตอนที่ 231-2 พ่อลูกคุมเชิง

ยอดหญิงสกุลเสิ่น

แม้จะบอกว่าฝ่าบาทพระราชทานจวนจวิ้นอ๋องแล้ว แต่หากสวีโย่วจะย้ายเข้าไปไม่ว่าอย่างไรก็ต้องรอหลังหนึ่งปีครึ่งปี หากแม้แต่เดือนสมรสยังไม่พ้นก็ย้ายออกไปจวนจวิ้นอ๋องแล้ว อย่าว่าแต่ข้างนอกจะพูดนินทา แม้แต่ฝ่าบาทเขาเองก็ไม่กล้าบอกเหตุผล!

 

 

บนใบหน้าสวีโย่วปรากฎความเหยียดหยาม “เสด็จพ่อออกมาจากเรือนพระชายาใช่หรือไม่ ได้รับความคับแค้นใจอะไรท่านไม่ใช่รู้ดีอยู่แก่ใจหรือ ทุบตีก่นด่าลูกสะใภ้ที่อดหลับอดนอนดูแลนางต่อหน้าบ่าวรับใช้ทั้งห้อง นี่ไม่ใช่หมายความว่าไม่ชอบลูกอยากไล่ลูกออกจากจวนอ๋องหรือ ได้! ลูกจะทำให้นางสมปรารถนา ลูกจะไปเดี๋ยวนี้ อยู่ร่วมกันไม่ได้แล้วจะหลบหน้าไม่ได้เชียวหรือ” เขาไม่อยากอยู่ในจวนอ๋องแม้แต่วินาทีเดียว

 

 

เผชิญหน้ากับคำตำหนิของลูกชาย จิ้นอ๋องก็พูดไม่ออก อ้าปากอยู่ครู่ใหญ่จึงกล่าว “นี่ล้วนแต่เป็นการเข้าใจผิด พระชายาไม่สบาย อารมณ์ไม่ดีอย่างเลี่ยงไม่ได้ พวกเจ้าเป็นชนรุ่นหลังก็ต้องให้อภัยมากหน่อยมิใช่หรือ”

 

 

ความเหยียดหยามบนใบหน้าสวีโย่วยิ่งชัดเจน “เอ๋ เสด็จพ่อยังรู้จักเข้าข้างพระชายา หรือว่าลูกจะสงสารภรรยาไม่ได้เลย ลูกอายุยี่สิบกว่าปีแล้วเพิ่งจะได้แต่งภรรยา เตียงหอยังนอนไม่ชินก็ต้องไปดูแลพระชายาแล้ว ลูกสะใภ้ของพระชายาจิ้นอ๋องมีเสิ่นซื่อคนเดียวหรือ น้องสะใภ้รองน้องสะใภ้สามตายหมดแล้วหรือ ไม่ใช่ว่าตัดใจใช้ลูกสะใภ้ของตัวเองไม่ได้หรือไร บ่าวรับใช้ทั่วทั้งห้องรับใช้อยู่ยังจะต้องให้ลูกสะใภ้ไปเฝ้านางตอนกลางคืนให้ได้ มีด้วยหรือที่ต้องทรมานคนเช่นนี้ มิหนำซ้ำยังเฝ้าติดต่อกันห้าคืน! เสด็จพ่อท่านลองไปสืบถามทั่วทั้งเมืองหลวงดู แม่สามีตระกูลใดบ้างที่ไร้เมตตาเพียงนี้” เสียงของสวีโย่วดังอย่างยิ่ง แม้แต่คนสวนที่ทำงานอยู่ในสวนดอกไม้เล็กห่างออกไปห้าก้าวสิบก้าวก็ยังได้ยิน

 

 

ท่านจวิ้นอ๋องถูกพูดจนหูแดงจัด อยากจะหยิกลูกอกตัญญูผู้นี้ให้ตายยิ่งนัก เขาเองก็รู้ว่าพระชายาเป็นฝ่ายผิด แต่อย่างไรเสียนั่นก็คือพระชายาของเขา ต่อให้จะผิดนางก็เป็นผู้อาวุโส โย่วเอ๋อร์เป็นชนรุ่นหลังจะให้อภัยสักหน่อยไม่ได้เชียวหรือ โดยเฉพาะเสิ่นซื่อ ไม่รู้จักโน้มน้าวเสียบ้าง ชั่วขณะจิ้นอ๋องก็รู้สึกว่าเสิ่นซื่อไม่ใช่คนที่มีเหตุผลแล้ว “เสิ่นซื่อเจ้าว่าอย่างไร”

 

 

เสิ่นเวยยืนอยู่ข้างหลังสวีโย่ว ก้มหน้ามาโดยตลอด ถูกจิ้นอ๋องเรียกชื่อ นางบิดผ้าเช็ดหน้าในมือ เสียงมีความสะอื้นไห้ “ลูก ลูกไม่กล้าพูด เสด็จแม่ปาหมอนหยกใส่ลูก หากไม่ใช่เย่ว์กุ้ยดึงลูกไว้ ตอนนี้ลูกก็คงจะนอนอยู่บนเตียงขยับไม่ได้แล้ว ลูกกลัว ลูกไม่กล้าอยู่ในจวนอ๋องแล้ว ลูกเชื่อฟังคุณชายใหญ่” เสิ่นเวยเองก็ไม่อยากอยู่ในจวนอ๋องแล้วเช่นกัน ด้วยเหตุนี้จึงใส่ไฟเพิ่มอีก

 

 

ไฟกองนี้แผดเผาให้ความโกรธของสวีโย่วลุกโชนยิ่งขึ้น ดูสิว่าทำให้น้องสี่ของเขาเสียขวัญ จวนจิ้นอ๋องแห่งนี้อยู่ไม่ได้แล้ว ต้องรีบย้ายออกไปทันที!

 

 

“เสด็จพ่อ ลูกไว้หน้าท่านแล้ว เก็บความโกรธของลูก ไม่ไปหาเรื่องที่เรือนพระชายาก็เป็นการเห็นแก่หน้าท่านแล้ว หากท่านเห็นแก่ความกตัญญูของลูกก็อย่าขวางลูก ให้ลูกย้ายออกไป เลี่ยงไม่ให้วันนี้เกิดเรื่องนี้ พรุ่งนี้เกิดเรื่องนั้น เกิดความวุ่นวายไม่จบไม่สิ้น” สวีโย่วกล่าวอีกครั้ง

 

 

จิ้นอ๋องอับอายจนโมโห กล่าวด้วยความเดือดดาล “ข้าบอกว่าย้ายไม่ได้ก็คือย้ายไม่ได้ เดือนสมรสยังไม่ทันจะผ่านไป เจ้าลูกทรพีอยากให้ข้างนอกหัวเราะเยาะหรืออย่างไร ข้าเป็นพ่อเจ้า เจ้าต้องฟังข้า”

 

 

สวีโย่วยิ้มเยาะ “หัวเราะเยาะใคร หัวเราะเยาะพระชายาใช่หรือไม่ มาถึงตอนนี้แล้วคนที่เสด็จพ่อคิดถึงอยู่ในใจยังคงเป็นพระชายาแสนดีของท่าน ท่านคิดเพื่อนางทุกอย่าง ท่านเอาลูกวางไว้ที่ใด ท่านเองก็ลำเอียงเกินไปแล้ว ฝ่าบาทมีพระราชโองการนานแล้ว จวนจวิ้นอ๋องแห่งนั้นคือจวนของลูก ย้ายเร็วย้ายช้าแตกต่างกันอย่างไร วันนี้ลูกยืนกรานจะไป เสด็จพ่อท่านห้ามลูกไม่ได้หรอก”

 

 

“ข้าบอกว่าไม่ได้ก็คือไม่ได้!” ใบหน้าของจิ้นอ๋องโมโหจนแดงก่ำ “หากเจ้าจะย้ายอย่างน้อยก็ต้องให้ผ่านเดือนสมรสไปก่อน ว่ามา ขอเพียงแค่เจ้าไม่ย้าย มีข้อแลกเปลี่ยนอันใดเจ้าจงเสนอมา” หมดหนทางจริงๆ จิ้นอ๋องทำได้เพียงถอยหลังนึ่งก้าว ลูกทรพีคนนี้ เกิดมาก็ยั่วโมโหเขา ไม่อยากจะให้เขาเกิดมาแต่แรกจริงๆ

 

 

“ไม่ได้ จักต้อง…”ตอนนี้ทั้งจิตทั้งใจสวีโย่วต้องการจะย้ายออกจากจวนจิ้นอ๋อง ทว่าเสิ่นเวยข้างหลังกลับดึงแขนเสื้อของเขา เขาเปลี่ยนความคิดในชั่วขณะ ในเมื่อภรรยาเขามีอะไรอยากจะพูด เช่นนั้นก็ฟังดูก่อนว่าภรรยาเขาจะพูดอย่างไร

 

 

“เสิ่นเวยกล่าวด้วยความขลาดกลัว “เสด็จพ่อ คุณชายใหญ่เองก็ไม่ได้ต้องการจะย้ายให้ได้ เขาโกรธอย่างยิ่งจริงๆ ใครบ้างไม่รู้ว่าใต้ต้นไม่ใหญ่เย็นสบายเพียงใด แต่ว่า…” นางสะอื้นหนึ่งครา กล่าวต่อ “ลูกรู้ว่าคุณชายใหญ่ตัดสินใจเช่นนี้ก็เพราะกลัวว่าลูกจะได้รับความไม่เป็นธรรมอีก ลูกตื่นตกใจยิ่งนัก แต่ว่า ลูกเองก็กลัวยิ่งนัก ลูกกลัวเสด็จแม่ ลูกไม่กล้า ไม่กล้า…”

 

 

สวีโย่วเข้าใจในทันที กล่าวต่อ “เสด็จพ่อไม่ใช่ให้ลูกเสนอข้อแลกเปลี่ยนหรือ เสิ่นซื่อกลัวเสด็จแม่เพียงนี้ เช่นนั้นก็งดการเคารพของนางไปเสีย เลี่ยงไม่ให้พระชายาเห็นนางแล้วไม่สบอารมณ์ ไม่ดีต่อการพักฟื้น ถึงตอนนั้นน้ำสกปรกอ่างนี้ก็ไม่ต้องสาดลงบนหัวเสิ่นซื่ออีก พระชายามีสะใภ้สองคนแล้ว อีกไม่ช้าก็จะมีสะใภ้คนที่สามแล้ว เพียงพอให้นางวางมาดแม่สามีได้แล้ว ปล่อยให้เสิ่นซื่อใช้ชีวิตอย่างสงบสุขต่อไปเถิด”

 

 

“ได้!” จิ้นอ๋องเค้นคำสองคำนี้ออกมาจากช่องฟัน ทั้งใบหน้าเขียวจนม่วง ม่วงจนดำ ย่ำแย่อย่างยิ่ง ในดวงตาเต็มไปด้วยความโกรธ

 

 

“เช่นนั้นลูกจะค่อยย้ายออกไปหลังผ่านเดือนสมรส เสด็จพ่ออย่าลืมบอกพระชายา เลี่ยงไม่ให้นางป่าวประกาศไปทั่วอีกว่าเสิ่นซื่ออกตัญญู” สวีโย่วไม่สนใจไฟโกรธของพ่อเขาอย่างสิ้นเชิง พยุงเสิ่นเวยหมุนตัวกลับเรือน บ่าวข้างหลังเองก็เฮโลกันกลับไป

 

 

เดินไปได้สองก้าวเขาก็หยุดฝีเท้าอีกครั้ง กล่าวอย่างทรงพลังสุดขีด “คุณชายใหญ่ฮูหยินใหญ่อะไร ไม่น่าฟังจะตายชัก! เปลี่ยนใหม่ หลังจากนี้เรียกว่าจวิ้นอ๋องกับจวิ้นจู่ให้หมด”

 

 

จิ้นอ๋องมองประตูเรือนที่ปิดตามมา อยากจะถีบลงไปสักสองครายิ่งนัก ลูกอกตัญญูผู้นี้ ลูกอกตัญญูผู้นี้! เขาโมโหจนหายใจถี่กระชั้น “เสี่ยวเฉวียนเจ้าไปบอกพระชายา ให้นางงดการเคารพของเสิ่นซื่อ” ส่วนตัวเขาเอง กลับไปเรือนนอกเสียดีกว่า!

 

 

เสี่ยวเฉวียนแอบร้องทุกข์ในใจ มิหนำซ้ำจะไม่ไปก็ไม่ได้ ทำได้เพียงรวบรวมความกล้าเดินไปยังเรือนพระชายา เตรียมใจถูกพระชายาทุบศีรษะเลือดไหลไว้เรียบร้อยแล้ว

 

 

เมื่อจิ้นอ๋องกับพ่อบ้านเสี่ยวเฉวียนออกไป เหล่าคนรับใช้รอบด้านก็รวมตัวกัน ทุกคนไม่กล้าถกเถียง แต่กลับไม่เป็นอุปสรรคให้พวกเขาส่งสายตาคุยกัน

 

 

“นี่ ได้ยินแล้วหรือยัง พระชายาปาหมอนหยกใส่ฮูหยินใหญ่ อ้อไม่ ปาใส่จวิ้นจู่ นั่นคือหมอนหยกเชียว พลาดไปเพียงนิดเดียว ก็เอาชีวิตคนได้ พระชายาเกลียดจวิ้นจู่มากนัก!”

 

 

“เกลียดจวิ้นจู่อะไรกัน ไม่ชอบจวิ้นอ๋องต่างหากเล่า! อย่าไรเสียนี่ก็ไม่ใช่ลูกที่ออกมาจากท้องนาง”

 

 

“พวกเจ้าไม่รู้ พระชายาอยากให้จวิ้นอ๋องแต่งงานกับหลานสาวบ้านฝั่งมารดานางมาโดยตลอด จึงทำให้เกลียดจวิ้นจู่ขึ้นมามิใช่หรือ”

 

 

“จวิ้นจู่เองก็น่าสงสาร เพิ่งจะเข้าเรือนมาได้ไม่กี่วันก็ถูกทรมานเช่นนี้แล้ว เฮ้อ อย่างไรเสียก็ห่างกันหนึ่งชั้น! นี่ พวกเจ้ารู้หรือไม่ หลานสาวบ้านฝั่งมารดาที่พระชายาแนะนำให้จวิ้นอ๋องเป็นบุตรสาวอนุภรรยา”

 

 

“เป็นไปไม่ได้หรอกกระมัง ฐานะของจวิ้นอ๋องไหนเลยจะคู่ควรกับบุตรสาวอนุภรรยาเล็กๆ ต่อให้จะเป็นอนุภรรยาสูงศักดิ์ก็ต้องดูความสมัครใจของจวิ้นอ๋อง นับประสาอะไรกับภรรยาเอก บ้านฝั่งมารดาพระชายาไม่ใช่ยังมีหลานสาวภรรยาเอกหรอกหรือ ฟังว่าหน้าตาสวยสดงดงาม ซ้ำยังมีความสามารถมีชื่อเสียง เพียงแต่ไม่รู้ว่าเทียบกับจวิ้นจู่แล้วจะเป็นอย่างไร”

 

 

“ที่เจ้าว่าคือคุณหนูอี๋หนิงใช่หรือไม่ ข้ากลับเคยเห็นมาแล้ว สวยก็สวย แต่ยังอยู่ห่างชั้นกับจวิ้นจู่ ฟังว่ามารดาผู้ให้กำเนิดจวิ้นจู่เคยเป็นหญิงงามอันดับหนึ่งของเมืองหลวง”

 

 

พูดไปพูดมาก็เปลี่ยนประเด็นแล้ว

 

 

พระชายาจิ้นอ๋องได้ยินคำที่พ่อบ้านเสี่ยวเฉวียนถ่ายทอด ชั่วขณะก็ล้มลงบนเตียง คราวนี้นางป่วยจริงๆ แล้ว ปากเบี้ยวตาเข สมองขาดเลือดฉับพลัน โชคดีที่หมอหลวงมาทันเวลา ฝังเข็มให้นางจึงช่วยชีวิตไว้ได้ ดังนั้นนางจึงต้องพักฟื้นหลายวันกว่าจะเปิดปากพูดได้อีกครั้ง

 

 

โชคดีที่พระชายาจิ้นอ๋องรักษาตัวอยู่ ไม่ได้ยินข่าวลือข้างนอก มิเช่นนั้นนางคงจะโมโหเจียนตาย

 

 

คนจำนวนมากต่างก็แอบเดาว่าจวนจิ้นอ๋องปีนี้ดวงตกใช่หรือไม่ ช่วงนี้มีแต่ข่าวลือของจวนพวกเขา ต่อจากที่พระชายาจิ้นอ๋องวางแผนแย่งสินเดิมลูกสะใภ้ ประวัติการรับตำแหน่งของพระชายาจิ้นอ๋อง พระชายาจิ้นอ๋องลดค่าใช้จ่ายเรือนลูกเลี้ยงก็เกิดเนื้อหาใหม่ขึ้นมา ‘พระชายาจิ้นอ๋องให้สะใภ้ลูกเลี้ยงดูแลไข้ทั้งคืนทรมานลูกสะใภ้’

 

 

โดยเฉพาะข่าวลือสุดท้าย ผู้คนพูดคุยกันอย่างสนอกสนใจ บ้างก็บอกว่า ‘เสิ่นซื่อผู้นี้จะต้องโชคไม่ดีแน่นอน เหตุใดนางเข้าจวนจิ้นอ๋องไปแล้ว จวนจิ้นอ๋องก็เกิดเรื่องมากมายเพียงนี้ขึ้นเล่า’

 

 

บ้างก็ว่า ‘น่าจะเป็นเพราะเสิ่นซื่อแต่งเข้าจวนจิ้นอ๋อง ใบหน้าเสแสร้งเป็นคนดีของพระชายาจิ้นอ๋องจึงเผยออกมามิใช่หรือ ไอหยา นางกล้าหาญจริงๆ จวิ้นจู่ผู้ยิ่งใหญ่ยังต้องให้นางเฝ้าไข้ทั้งคืน ไม่ได้ดั่งใจก็ทั้งตีทั้งด่า นี่ไหนเลยจะเป็นพระชายาผู้สูงศักดิ์ เห็นชัดๆ ว่าเป็นสตรีปากคอเราะร้ายตามตลาด ช่างเปิดโลกคนจริงๆ’

 

 

บ้างก็ว่า ‘เฝ้าไข้ผู้อาวุโวก็เป็นสิ่งสมควรมิใช่หรือ ตบมือข้างเดียวไม่ดัง เสิ่นซื่ออาจจะบีบบังคับจนพระชายาจิ้นอ๋องลงมือทำร้ายคน ก็เป็นตัวสร้างปัญญาเหมือนกัน’

 

 

ยังมีบางคนว่า ‘เจ้าไม่ต้องคิดแล้ว แต่ไหนแต่ไรล้วนแต่เป็นแม่ยายทรมานสะใภ้ เสิ่นซื่อเป็นเจ้าสาวที่เพิ่งจะเข้าเรือนไหนเลยจะกล้าทะเลาะกับพระชายาจิ้นอ๋องเล่า’

 

 

ทุกคนพูดกันไปต่างๆ นานา บ้างก็เห็นใจเสิ่นเวย บ้างก็ช่วยพระชายาจิ้นอ๋องพูด สรุปแล้วทั่วทั้งเมืองหลวงคึกคักขึ้นมาอีกครั้งเพราะจวนจิ้นอ๋อง