บทที่ 76 โดย Ink Stone_Romance
บทที่ 76 แผนร้ายถูกเปิดโปง (5)
อี้เป่ยซีมองผนังภายอยู่บนเตียงเงียบๆ ไม่รู้ว่าฟังเข้าใจแล้วหรือว่ายังฟังไม่เข้าใจ ไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองใดๆ ลั่วจื่อหานถอนหายใจเบาๆ และนั่งลงข้างเธอโดยไม่พูดอะไรเช่นกัน เงาของแสงอาทิตย์สาดลงข้างเตียง ค่อยๆ เปลี่ยนมุมของมัน ราวกับว่ากำลังสำรวจทุกพื้นที่ ก่อนหน้านี้อยู่ท่ามกลางความมืดมิด ตอนนี้อยู่ภายใต้ความมืดมิด ล้วนต้องการให้อยู่ในการควบคุมของตัวเอง…
ตอนบ่ายอี้เป่ยซีตัดสินใจกลับมหาวิทยาลัยเพื่อทำความเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น ในห้องเรียนก็ไม่เห็นเงาของผู้หญิงที่แต่งตัวจัดจ้านคนนั้น แม้แต่ในหอพักก็ไม่ได้ยินน้ำเสียงเย้ยหยัน
“ถังเสวี่ย เธอรู้ไหมว่าทำไมคืนนี้ฉินเยวี่ยเข่อถึงไม่กลับมา?” อี้เป่ยซีนั่งลงบนเตียงของตัวเองพลางเอ่ยถาม
ถังเสวี่ยกัดริมฝีปาก มองอี้เป่ยซีด้วยความลังเลเล็กน้อย ท่าทางดูหวาดกลัว ทำให้อี้เป่ยซีมั่นใจในความคิดของตัวเองมากขึ้น “ถังเสวี่ย พวกเธอมีเรื่องปิดบังฉันใช่ไหม”
ในขณะที่ถังเสวี่ยกำลังจะหลุดปากบอก ฟางหมิ่นก็อาบน้ำเสร็จเดินเข้ามาในหอพัก มองถังเสวี่ยอย่างสงสัย มีการเตือนอยู่ในดวงตาอย่างเห็นได้ชัด
“พวกเธอสองคนคุยอะไรกัน ท่าทางตื่นเต้นเชียว”
อี้เป่ยซีไม่เห็นการสบสายตาระหว่างคนสองคน แต่ว่าเมื่อเห็นสีหน้าหงอยๆ ของถังเสวี่ยก็รู้แล้วว่าตอนนี้คงถามไม่ได้ความอะไร เธอเอนตัวลงด้วยความท้อแท้เล็กน้อย มือกรีดอยู่บนวอลเปเปอร์อย่างหงุดหงิด ทำให้เกิดเสียงที่ระคายหูเบาๆ
‘ทำไมถึงไม่ยอมบอกฉัน’ เธอหันหน้าไป ได้ยินเสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น เมื่อหยิบขึ้นมาก็เห็นข้อความของถังเสวี่ยกับเซี่ยเช่อ เธอกดเปิดหน้าแชทของถังเสวี่ยโดยไม่ลังเล
ถังเสวี่ย: เป่ยซี ฉันก็ไม่อยากเห็นเธอถูกปิดบังอีกแล้ว คนที่ผิดคือพวกเขา เธอต่างหากที่เป็นผู้เสียหาย แบบนี้ไม่ยุติธรรมกับเธอเลย
สุดท้ายก็ยังส่งอีโมจิโมโหมาให้ อี้เป่ยซีรู้สึกว่ารังไหมที่พันแน่นรอบตัวเธอ ในที่สุดก็มีรอยแตกแล้ว เธอส่งเครื่องหมายคำถามกลับไปสองสามอัน
ถังเสวี่ย: ตอนนี้เธอหาในเน็ตก็หาไม่เจอแล้วล่ะ พวกเขาเข้ามายุ่มย่ามทุกอย่าง ลิงก์ของฉันตรงนี้ก็ใช้ไม่ได้แล้ว เอางี้ไหม ฉันมีสกรีนช็อตสองสามรูป ไม่อย่างงั้นเธอลองดูก่อน
จากนั้นก็มีรูปถ่ายสองสามรูปส่งเข้าโทรศัพท์มือถือของเธอทันที เมื่ออี้เป่ยซีเปิดดูก็พบว่ารูปถ่ายทั้งหมดเสียหาย เปิดดูไม่ได้
หลิงซี: ดูรูปไม่ได้ โหลดไม่ได้ นี่มันเรื่องอะไรน่ะ?
ถังเสวี่ย: คิดว่าพวกเขาคงทำอะไรกับมือถือเธอ เธอก็เลยดูไม่ได้มั้ง เอางี้ ฉันจะเล่าให้เธอฟัง…
โทรศัพท์มือถือของอี้เป่ยซีดังขึ้น ‘ฉู่ซ่ง? ทำไมเขาต้องโทรมาในเวลานี้ด้วย?’ แม้จะสงสัยเล็กน้อย แต่เธอก็ยังกดปุ่มรับสาย ก่อนจะได้ยินเสียงที่อ่อนแรงเป็นอย่างยิ่งของฉู่ซ่ง
“ฉู่ ฉู่เซี่ย เธอ มา มาบ้านฉัน…ฉัน…” ยังไม่ทันพูดจบก็ได้ยินโทรศัพท์มือถือร่วงลงพื้นเสียงดัง
“ฉู่ซ่ง ฉู่ซ่ง…” นี่มันเรื่องอะไรกัน อี้เป่ยซีกำลังจะลุกขึ้นมาจากเตียง เธอครุ่นคิดอย่างละเอียดอีกครั้ง ฉู่ซ่งไม่ต้องการให้เธอรู้เรื่องนี้มาโดยตลอด อีกทั้งตอนนี้ถังเสวี่ยกำลังจะเล่าเรื่องทั้งหมดให้เธอฟังอย่างแจ่มแจ้ง การที่เขาโทรมาตอนนี้ก็เพื่อหยุดยั้งเธอไม่ให้ล่วงรู้ความจริงอย่างแน่นอน
อาจจะเป็นการแกล้งก็ได้ งั้นอย่าไปสนใจเขาเลย
แต่ว่าน้ำเสียงทุกข์ทรมานแบบนั้นจะสมจริงเกินไปแล้ว ถ้าฉู่ซ่งเกิดเรื่องจริงๆ จะทำยังไง ช่างมันเถอะ เธอค่อยดูระหว่างทางก็ได้ ทำไมต้องมาใจร้อนเวลานี้ด้วย
หลังจากคิดได้แล้วก็คว้าเสื้อโค้ทพาดไหล่ ต้องการจะไปที่อะพาร์ตเมนต์ของฉู่ซ่ง
“เป่ยซี เธอจะไปไหนน่ะ” ถังเสวี่ยเงยหน้าขึ้นมองอี้เป่ยซี แววตาสั่นไหว มีอารมณ์ที่อธิบายไม่ได้
“ฉู่ซ่งมีเรื่องด่วนนิดหน่อย ฉันจะไปดูก่อน พวกเธอตามสบายเถอะ คืนนี้ฉันอาจจะไม่กลับมาแล้ว ไปนะ” อี้เป่ยซีก้าวเท้าวิ่งเหยาะๆ ออกไปนอกมหาวิทยาลัย ขณะที่เปิดประตูอะพาร์ตเมนต์ออกก็เห็นคนนอนอยู่บนพื้นของห้องรับแขก เธอเดินเข้าไปใกล้ พบกว่าฉู่ซ่งนอนอยู่บนพื้นทั้งใบหน้าแดงก่ำ คิ้วขมวดกันแน่น ปากอ้าออกเล็กน้อย หายใจเฮือกสองครั้งด้วยความอึดอัดมาก
อี้เป่ยซีรีบประคองเขาขึ้นมา “หน้าผากร้อนมากเลย ป่วยแล้วไม่รู้จักไปโรงพยาบาลรึไง?”
“ไม่อยากไปโรงพยาบาล ไม่อยากไปโรงพยาบาล” ฉู่ซ่งกอดเธอ แขนก็หนักอึ้งและไร้เรี่ยวแรง อี้เป่ยซีจำต้องยื่นมือประคองเขาไว้ “ฉู่เซี่ย ฉันอยากกินน้ำ”
“กินน้ำอะไรล่ะ ฉันจะพานายไปโรงพยาบาล”
“ฉันไม่…”
“ถ้านายยังพูดอีกคำเดียว ต่อไปฉันจะไม่สนใจนายอีกแล้ว นายลองดูสิ”
ฉู่ซ่งซบอยู่บนตัวของเธอ ราวกับว่ากำลังออดอ้อน “แม่เสือฉู่เซี่ย น่ากลัวจริงๆ”
“ตอนนี้เป็นไงบ้าง ยืนได้หรือเปล่า?”
“ไม่ได้ ไม่ได้ เธอไปข้างบนเอายามาให้ฉันก็พอแล้ว จริงๆ เมื่อก่อนฉันก็เป็นแบบนี้ แค่คิดไม่ถึงว่าวันนี้จะหนักขนาดนี้น่ะ”
“ได้ ฉันจะประคองนายนั่งก่อน” หลังจากประคองเขาไปนั่งที่โซฟาเรียบร้อย อี้เป่ยซีก็เหงื่อท่วมตัวแล้ว เธอไปตามที่ฉู่ซ่งบอก เอายามาป้อนให้เขา ผ่านไปครู่หนึ่ง คนที่อยู่ข้างๆ ก็ยังหน้าแดงก่ำ หน้าผากยังร้อนจนน่าตกใจ ภายใต้การยืนกรานของอี้เป่ยซี ทั้งสองคนจึงไปที่โรงพยาบาล ฉู่ซ่งนอนอยู่บนเตียงคนไข้ด้วยความอึดอัดใจเล็กน้อย เข็มน้ำเกลืออยู่บนมือซ้าย
“ไหนนายบอกว่าจะไม่มาที่โรงพยาบาลอีกไม่ใช่เหรอ?” ยังไม่เห็นเจ้าตัวก็ได้ยินเสียงเอ่ยแซวลอยมา มู่ลี่ไป๋เห็นอี้เป่ยซีที่เฝ้าอยู่ข้างเตียงคนไข้จึงเข้าใจได้ “เป่ยซีก็มาด้วยเหรอ”
“อืม พวกคุณคุยกันเถอะ ฉันจะไปเอายาก่อน” เธอพูดจบก็ลุกขึ้นจากไป
มู่ลี่ไป๋นั่งลงบนเก้าอี้ตัวเล็กข้างเตียง มองเขาอย่างค่อนข้างขบขัน และเหลือบมองบันทึกอุณหภูมิร่างกาย “39.8 เฮ้อ ยังเหลืออีกนิดเดียว”
ฉู่ซ่งมองค้อนเขา
“นายนี่มีความพยายามสูงจริงๆ นายกับลั่วจื่อหานคิดอะไรอยู่กันแน่ ยังไม่บอกความจริงให้เขาฟังอีก เจ็บนานมันแย่กว่าเจ็บสั้นนะ”
“ตราบใดที่อี้เป่ยเฉินเลือกที่จะทำร้ายเขา สำหรับเขามันก็คือเจ็บนาน”
“อืม ฉะนั้นนายก็เลยเลือกเจ็บสั้นแบบนี้ เดี๋ยวจะไปตรวจเลือดกัน ไข้สูงขนาดนี้ ยังไม่รู้เลยว่าเป็นเชื้อไวรัสหรือเปล่า”
ฉู่ซ่งโมโห “พี่ไม่รู้แน่เหรอ ผมไม่ไป”
“ฉันจะไปรู้ได้ยังไง” มู่ลี่ไป๋หัวเราะอย่างอบอุ่นอย่างมาก “จรรยาบรรณแพทย์น่ะ ฉันก็หวังดีกับนาย ทำไมล่ะ หรือว่านายยังกลัวเจ็บ?”
“ผม ผมเปล่านะ” ฉู่ซ่งเบือนหน้าหนี ไม่ได้มองเขาอีก แต่เสียงหัวเราะของมู่ลี่ไป๋ข้างๆ กลับทรมานเขาอยู่ตลอดเวลา ‘ทำไมต้องมาที่โรงพยาบาลนี้ด้วย ฉู่เซี่ย เธอตั้งใจแกล้งฉันนี่’
“อย่างนั้นเหรอ งั้นก็ได้” จากนั้นมู่ลี่ไป๋ก็ไม่พูดอะไรอีก ฉู่ซ่งรู้สึกเหลือเชื่อเล็กน้อย ยอมแพ้เร็วแบบนี้เลยเหรอ แต่ว่าเมื่อเห็นรอยยิ้มที่มุมปากอีกฝ่าย หัวใจของเขาก็เต้นวูบหนึ่ง
จนกระทั่งอี้เป่ยซีเอายากลับมา มู่ลี่ไป๋รีบออกไปรับหน้าทันที หลังพูดกับเธอไม่กี่คำ เห็นแววตาที่ตื่นเต้นของอี้เป่ยซี ฉู่ซ่งก็เข้าใจ สงสัยว่าการตรวจเลือดครั้งนี้ เขาต้องไปซะแล้ว
‘มู่ลี่ไป๋ ฝากไว้ก่อนเถอะ อย่าปล่อยให้ผมมีโอกาสได้แกล้งพี่บ้างนะ ไม่งั้นผมจะให้พี่ได้เห็นดีกัน’ ฉู่ซ่งจับมุมผ้าห่มด้วยความโกรธสุดขีด สักครู่ก็มีพยาบาลเข้ามา ภายใต้การข่มขู่ของอี้เป่ยซี ฉู่ซ่งกัดมุมผ้าห่มยอมรับการตรวจเลือดแต่โดยดี
………………………………