ตอนที่ 194-2 มหาเสนาบดีขอราชโองการ

ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน]

ม้าวิ่งไปได้สักระยะ จนมาถึงศาลาพักสำหรับคนที่เดินทางผ่านไปมา เขาลงจากม้าแล้วกอดเมิ่งเชี่ยนโยวเอาไว้ จูงมือของนางเดินเข้าไปในศาลา แล้ววางคางลงที่กระหม่อมของนาง แล้วหัวเราะเบาๆ ออกมา “โยวเอ๋อร์ ข้าก็เหมือนกัน ยังไม่ทันได้ไปก็คิดถึงเจ้าเสียแล้ว”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวนิ่งเงียบ อิงอยู่ในอ้อมอกของเขาอยู่พักหนึ่งถึงได้ถามว่า “จะไม่ให้ข้าไปกับเจ้าด้วยจริงๆ หรือ”

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนหัวเราะแล้วส่ายหน้า “วางใจเถิด อย่างมากสามเดือนข้าก็กลับมา เจ้ารอข้าอยู่ที่บ้าน ตัดชุดแต่งงาน รอข้ามาขอเจ้านะ”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวทำหน้าเคร่งขรึมใส่แล้วบอกว่า “สามวัน”

 

 

ถึงแม้ว่านางจะไม่ได้พูดชัดเจน แต่หวงฝู่อี้เซวียนก็รู้ในความหมายของนาง แล้วจูบไปที่ปากของนาง แล้วรับปากว่า “ได้ ข้าจะเขียนจดหมายมาทุกๆ สามวัน แล้วให้คนมาส่งให้เจ้าอย่างตรงเวลา”

 

 

ฟ้าสว่างแล้ว พวกทหารหลงเว่ยตามทันแล้ว ถึงแม้จะอาลัยอาวรณ์กันแค่ไหน หวงฝู่อี้เซวียนก็ต้องปล่อยเมิ่งเชี่ยนโยวออก เดินขึ้นบนหลังม้า สายตาจ้องมองไปที่เมิ่งเชี่ยนโยวอยู่ครู่ใหญ่ ถึงจะข่มใจหันหัวม้า และตีบังเ**้ยนให้ม้าวิ่งออกไป

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวยืนอยู่ที่ศาลา มองเห็นเขาลับไป นัยน์ตาลึกๆ มัวหมอง ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่

 

 

ชิงหลวนและจูหลีไม่กล้ารบกวนนาง จึงได้แต่ยืนอยู่ที่ด้านนอกศาลา

 

 

จนกระทั่งเงาดำเล็กๆ ของทุกคนหายลับตาไป เมิ่งเชี่ยนโยวถึงจะหันหลังกลับ เดินออกจากศาลา ขึ้นบนหลังม้า และออกคำสั่งว่า “ไปที่จวนอ๋องฉี”

 

 

ทั้งสามคนมาถึงหน้าประตูจวนอ๋องฉี

 

 

หลังจากลงม้า แล้วโยนเชือกผูกม้าทิ้งไป เมิ่งเชี่ยนโยวก็เดินเข้าไปที่ด้านในจวนอย่างร้อนรน

 

 

คนเฝ้าประตูยังไม่ทันได้เคารพนาง นางก็เดินเข้าจวนไปเสียแล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวเดินมุ่งตรงไปที่เรือนของพระชายาฉี

 

 

ชิงหลวนและจูหลีติดตามอยู่ทางด้านหลัง

 

 

คนเฝ้าประตูอึ้งชะงักไปครู่หนึ่ง เดินออกไปที่นอกประตู หยิบบังเ**ยนขึ้นมา แล้วจูง จูงม้าทั้งสามตัวมาผูกไว้ที่หน้าประตู

 

 

เมื่อเดินเข้าในเรือนพระชายาฉี หลิงหลงที่เฝ้าอยู่หน้าประตูพอดี ก็เห็นเมิ่งเชี่ยนโยวเดินเข้ามา ก็ดีใจร้องบอกว่า “แม่นางเมิ่ง ท่านมาแล้ว”

 

 

“พระชายาอยู่หรือไม่”

 

 

หลิงหลงเปิดม่านประตู “อยู่เจ้าค่ะ แม่นางรีบเข้าไปเถิด”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวเดินเข้าไป ชิงหลวนและจูหลียืนเฝ้าที่หน้าประตู

 

 

พระชายาฉีกำลังนั่งอยู่ที่เบาะตรงหน้าต่าง กำลังเย็บปกเสื้ออยู่ เมื่อได้ยินเสียง จึงเงยหน้าขึ้นมา แล้วถามด้วยใบหน้ายิ้มแย้มว่า “เหตุใดวันนี้จึงมีเวลาว่างมาหาข้าล่ะ”

 

 

เมื่อเห็นว่าดวงตาทั้งคู่ของพระชายาฉีบวมแดงเล็กน้อย เมิ่งเชี่ยนโยวจึงเม้มปาก และพูด “หม่อมฉันเพิ่งไปส่งอี้เซวียนกลับมาเพคะ เขากำชับให้หม่อมฉันทำชุดแต่งงานรอเขากลับมาสู่ขอ ท่านก็รู้ว่าฝีมือของหม่อมฉันไม่ดี เลยมาขอให้ท่านช่วยสอนข้าให้เสียหน่อยเพคะ”

 

 

พระชายาฉีได้ยินดังนั้น จึงชะงักไปครู่หนึ่ง แล้วแสดงสีหน้าดีใจออกมา บอกว่า “ข้าได้เตรียมผ้าเอาไว้ให้เจ้ากับเซวียนเอ๋อร์แล้ว เจ้าดูสิว่าชอบหรือไม่”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า

 

 

พระชายาฉีเรียกให้หลิงหลงไปเอาผ้ามาวางแผ่บนโต๊ะ “ดูสิ เจ้าชอบหรือไม่”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้าอีกครั้ง “ชอบเพคะ แม่ของหม่อมฉันไม่อยู่ด้วย ต้องรบกวนพระชายาช่วยหม่อมฉันทำด้วยนะเพคะ หม่อมฉันกลัวว่าข้าฝีมือไม่ดี จะทำชุดแต่งงานออกมาดูไม่ได้”

 

 

พระชายาฉีหัวเราะออกมาไม่หยุด บอกว่า “ได้ ข้าจะทำให้พวกเจ้าเอง เมื่อถึงเวลาเจ้าก็เอาเข็มมาเย็บเล็กๆ น้อยๆก็ได้แล้ว”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้ม “ได้เพคะ หลังจากนี้ถ้าหม่อมฉันว่างก็จะมาช่วยทำท่านชุดแต่งงานนะเพคะ”

 

 

พระชายาฉีหัวเราะตอบรับ

 

 

ทั้งสองคนต่างไม่ได้พูดถึงเรื่องที่หวงฝู่อี้เซวียนไปดูแลเรื่องภัยพิบัติ

 

 

 

 

วันเวลาต่อจากนี้ ก็มาถึงฤดูเพาะปลูกมันฝรั่งแล้ว ถึงแม้ว่าเหวินเปียวและทหารองครักษ์ที่พามาด้วยจะทำเป็นกันนิดหน่อย แต่พวกเขาก็ไม่เข้าใจระดับน้ำนี้ควรใช้ในการปลูก เมิ่งเชี่ยนโยวจึงต้องอยู่ที่สวนนอกเมืองทั้งวัน

 

 

ตอนแรกหวงฝู่อี้เซวียนก็ได้ทำตามสัญญาที่ว่าจะส่งจดหมายมาทุกๆ สามวัน เนื้อหาในจดหมายก็มีแต่เรื่องความทุกข์ยากของชาวเมืองหลินเฉิง คนส่วนใหญ่บาดเจ็บล้มตาย บ้างก็หายสาบสูญไป ถึงแม้ว่าตนจะไปช่วยเหลือภัยพิบัติ แก้ไขความเดือดร้อนและความโหยหิวของผู้คนที่มีชีวิตรอดแล้วก็ตาม แต่ว่าความรู้สึกที่เจ็บปวดของชาวบ้าน เขาเองก็ไม่รู้จะปลอบพวกเขาอย่างดี

 

 

ต่อมาจดหมายก็กลายเป็นห้าวันหนึ่งฉบับ พร้อมกับคำขอโทษต่อนาง และบอกว่าตนนั้นยุ่งมาก ยุ่งจนแม้แต่เวลาเขียนจดหมายให้นางก็ยังไม่มี แล้วยังบอกอีกว่าต่อจากนี้อาจจะเว้นระยะนานหน่อย แต่บอกให้นางไม่ต้องเป็นห่วง เขายังสภาพดีทุกอย่าง ไม่ได้ผอมลง ตอนท้ายยังถามนางว่าชุดแต่งงานเป็นอย่างไรบ้างแล้ว จะเสร็จก่อนที่เขาจะกลับมาหรือเปล่า

 

 

ต่อมาก็ต้องรอถึงสิบวันกว่าจะได้รับจดหมาย ครั้งนี้ ก็มาเป็นเพียงท่อนเดียวว่า เพราะว่าหลังจากภัยธรรมชาติแล้ว มีจัดการที่ไม่เรียบร้อย เมืองหลินเฉิงจึงเกิดโรคระบาดขึ้น

 

 

เมื่อข่าวนี้ออกมาผู้คนก็เริ่มแตกตื่นกัน

 

 

โรคระบาดเป็นเรื่องที่จัดการยากมาตั้งแต่ไหนแต่ไร ถ้าหากว่าไม่ระมัดระวังก็อาจจะตายได้ ดังนั้นทันทีที่ฮ่องเต้ทรงเผยแพร่ข่าวนี้ขณะที่ออกว่าราชการเช้า เหล่าขุนนางในราชสำนักต่างก็แตกตื่นกันไปหมด ไม่มีใครอาสามาขอพระราชโองการเพื่อไปจัดการเรื่องนี้เลย

 

 

ฮ่องเต้ทรงกริ้วอย่างมาก ทุบโต๊ะมังกรพร้อมด่าว่าขุนนาง แต่ถึงแม้เป็นเช่นนี้ ก็ไม่มีใครอาสาไปจัดการ ทุกคนต่างก็หลบเลี่ยงเกี่ยงกัน ก้มหน้าหดตัว ไม่ยอมตอบรับ

 

 

นี่เป็นงานที่หนักมาก และยังต้องเอาชีวิตไปเสี่ยงกับอันตรายที่ไม่รู้ว่าจะต้องเป็นอย่างไร

 

 

ถ้าหากว่าจัดการได้ดี นั่นย่อมเป็นเรื่องที่ดีแน่นอน ถ้าหากว่าจัดการไม่ดี ถึงแม้ว่าจะรอดชีวิตกลับมาได้ ก็ยังต้องรับโทษว่าเป็นผู้ไร้ความสามารถจากฮ่องเต้ อย่างเบาก็แค่ลดตำแหน่งลง อย่างหนักก็โทษสถานตาย มีแต่คนที่สมองเพี้ยนเท่านั้นแหละ ถึงจะกล้ารับงานเช่นนี้

 

 

เมื่อเห็นว่าขุนนางที่เคยเอาแต่พูดไปวันๆ ไม่มีใครตอบรับเลยสักคน ฮ่องเต้จึงยิ่งกริ้วหนักขึ้น และตอนที่จะเตรียมเรียกคนให้ออกมานั้น เฮ่อจางผู้เป็นมหาเสนาบดีก็ออกมาจากแถว แล้วกราบทูลด้วยความนอบน้อมว่า “ฝ่าบาท ข้าน้อยขอเป็นผู้หาญกล้ารับพระโองการให้เฮ่อเหลี่ยนไปจัดการโรคระบาดพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

เมื่อถ้อยคำนี้ดังออกไป ทั้งห้องก็มีฮือฮาขึ้นมา

 

 

ฮ่องเต้ก็หยุดชะงักไป

 

 

อ๋องฉีหรี่ตามองไป

 

 

เมื่อคืนนั้นเฮ่อเหลี่ยนโดนข้าราชการพลเรือนจับได้ เลยโดนฮ่องเต้ลงโทษให้กักบริเวณอยู่ในบ้านเพื่อสำนึกผิดเป็นเวลาหลายเดือน ในช่วงนี้ เฮ่อเหลี่ยนก็อยู่อย่างสงบ ไม่ได้ทำเรื่องเสียหายให้กับราชสำนัก จริงๆ แล้วฮ่องเต้ก็อยากที่จะหาโอกาสใช้เขาอีกครั้ง ด้วยความเกรงใจในมหาเสนาบดี นึกไม่ถึงว่าเฮ่อจางจะเอ่ยปากขอราชโองการแทนเขา

 

 

เมื่อเฮ่อจางพูดจบ เหล่าขุนนางต่างก็ลอบหายใจโล่ง เมื่อมีคนขอรับพระราชโองการ ฮ่องเต้ก็ไม่ต้องเรียกพวกเขาไปแล้ว แต่ว่าความสามารถของเฮ่อเหลี่ยนนั้น ทุกคนล้วนรู้อยู่แก่ใจ ไม่รู้ว่าฮ่องเต้จะตอบรับหรือไม่

 

 

ทุกคนเงยหน้าขึ้น จับจ้องไปที่ฮ่องเต้

 

 

เมื่อเห็นแววตาของพวกเขา ฮ่องเต้ก็รู้ว่าพวกเขากำลังคิดอะไรอยู่ ความโกรธภายในใจนั้นก็อดกลั้นไม่ไหวอีก แทบอยากจะเอาคนพวกทำการทำงานเหล่านี้ไปทรมาน หรือไม่ก็ลากไปตัดหัวดี ขณะที่นึกคิด พระพักตร์ก็ถมึงทึงขึ้นทันใด

 

 

สิ่งที่เหล่าขุนนางเหล่านั้นทำได้ดีก็คือการสังเกตคน ครั้นเห็นว่าสีหน้าของฮ่องเต้ไม่ค่อยดีเท่าไรแล้ว ก็พอจะเดาออกได้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ กลัวว่าฮ่องเต้จะส่งตนเองไปแทน

 

 

จึงมีขุนนางกลุ่มหนึ่งเดินขึ้นมาจากแถว และออกปากชื่นชม “กระหม่อมคิดว่าข้อเสนอของท่านมหาเสนาบดีพูดเป็นเรื่องที่ดี คุณชายใหญ่ได้รับการอบรมจากท่านมหาเสนาบดีมาตั้งแต่เล็ก จึงย่อมต้องวางแผนได้เก่งกว่าคนปกติเป็นธรรมดา กระหม่อมเชื่อว่าหลังจากส่งเขาไปแล้ว โรคระบาดจะต้องได้รับการจัดการได้ในเร็ววันอย่างแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

ทันทีที่เขาพูดขึ้นนำ ทุกคนด้านหลังก็ย่อมคล้อยตาม ไม่นาน ขุนนางกว่าครึ่งก็ต่างออกมาพูดเออออเห็นชอบตามด้วย