ทุกสิ่งเงียบสงัด
หลังจากผ่านไปนาน ท้ายที่สุดโม่เทียนเกอจึงถอนหายใจออกมา
นี่คือความเป็นและความตายของคนอื่น แต่การต้องมองดูอย่างช่วยไม่ได้ขณะที่สิ่งต่างๆ เปิดเผยออกมาต่อหน้านาง ยังคงทำให้นางรู้สึกขมขื่น ตอนจบอันขมขื่นเช่นนั้นเกิดขึ้นก็เพียงเพราะคนทั้งสองมีความรักต้องห้ามสำหรับผู้ฝึกตน
เมื่อรู้ตัวว่าสภาวะจิตของนางเริ่มจะเปลี่ยนแปลงง่ายขึ้น นางก็รีบสงบสติอารมณ์และพลังงานทางจิตวิญญาณ นักพรตย่อมลืมอารมณ์ความรู้สึก การลืมอารมณ์ความรู้สึกไม่ใช่ไม่รู้สึก การลืมอารมณ์ความรู้สึกคือการแยกตัวออกมาและไม่สะทกสะท้านกับอารมณ์ราวกับว่าอารมณ์ความรู้สึกเหล่านั้นถูกลืม คำพูดคงอยู่ได้เพราะความหมาย เมื่อคนเข้าใจถึงความหมาย คำพูดก็สามารถถูกลืมได้…
ไม่ควรโทษการมีอารมณ์ความรู้สึกและไม่ควรโทษความรัก สิ่งที่ควรโทษที่นี่คือความจริงที่ว่ามีหลายต่อหลายสิ่งผสมปนเปอยู่ในความรู้สึกของเหยาจื่อซิว มีทั้งความทะเยอทะยาน ความขมขื่น และความเกลียดชัง เป็นเพราะสิ่งเหล่านั้นที่ทำให้เหยาจื่อซิวไม่สามารถคิดหาทางออกได้ ไม่สามารถเพลิดเพลินกับความสุขและความยินดีได้ นั่นคือเหตุผลว่าทำไมเขาถึงรู้สึกทรมานอยู่เรื่อยมา
สิ่งที่ต้องโทษไม่ใช่อารมณ์ แต่คือวิธีที่เขาควบคุมตนเอง
ขณะนั้นเอง นางได้ยินเสียงนักพรตฟางเจิ้งตะโกน “สหายนักพรตเยี่ย ดูนั่น!”
โม่เทียนเกอเพ่งสายตามองไปทางเหยาจื่อซิวและซางหรูหว่าน และดวงตาของนางก็เบิกกว้างทันที
ลำแสงสีขาวขุ่นปรากฏขึ้นบนศพของพวกเขา ลำแสงนั้นสว่างยิ่งๆ ขึ้นจนตาไม่สามารถทนมองได้และทันใดนั้นลำแสงก็ระเบิดออก พลังงานทางจิตวิญญาณที่เพิ่มขึ้นทำให้ลมปราณของพวกเขาไม่มั่นคงทันที พวกเขาจึงใช้พลังงานทางจิตวิญญาณของตัวเองเพื่อต้านทานมันไว้ ทว่าไม่เป็นผล ในชั่วพริบตาลำแสงนั้นก็แผ่ขยายจนกลืนพวกเขาให้จมลงอยู่ภายใน
…
โม่เทียนเกอไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ก่อนที่นางจะรู้สึกพลังงานทางจิตวิญญาณค่อยๆ ลดลงทีละนิดในท้ายที่สุด
นางลืมตาขึ้นแต่พอเห็นภาพเบื้องหน้านาง นางก็รู้สึกประหลาดใจเป็นที่สุด
สิ่งที่นางเห็นตอนนี้คือแท่นแห่งธาตุทั้งห้าที่พวกเขายืนอยู่เมื่อตอนแรกเริ่ม! เพราะฉะนั้นนี่ก็หมายความว่า… ม่านพลังถูกทำลายแล้วเช่นนั้นหรือ
รู้สึกดีใจสุดขีด นางหันไปเพื่อสำรวจสภาพรอบตัว อย่างไรก็ตาม นางต้องประหลาดใจอีกครั้ง
คนอื่นๆ อยู่บนแท่นอีกสี่แท่น บางคนกำลังนั่งและบางคนกำลังนอนอยู่ อย่างไรก็ตาม นอกเหนือจากนักพรตฟางเจิ้ง ไม่มีใครรู้สึกตัวตื่นอยู่เลย!
นักพรตฟางเจิ้งที่ตระหนักถึงเรื่องนี้เช่นกันเปลี่ยนความสนใจของเขามาที่นาง “สหายนักพรตเยี่ย…”
ทั้งสองคนเต็มไปด้วยความงุนงงถึงที่สุด เกิดอะไรขึ้นที่นี่
ทันใดนั้น แท่นแห่งธาตุทั้งห้าที่พวกเขากำลังยืนอยู่เปล่งแสงวูบวาบออกมาแล้วจึงค่อยๆ เคลื่อนที่อย่างช้าๆ ไปที่กลางห้องโถง
ชั่วครู่ต่อมา ห้าแท่นแห่งธาตุทั้งห้าเริ่มจะรวมกันเข้าเป็นหนึ่งเดียวพร้อมกับส่งเสียงดังกึกก้อง ลำแสงสว่างส่องแสงวาบและแท่นต่างๆ กลายเป็นแท่นหินขนาดใหญ่หนึ่งแท่น สีทอง สีเขียว สีฟ้า สีแดง และสีเหลือง แต่ละสีรวมกันเกิดเป็นวงกลมทำให้แท่นหินนั้นดูเหมือนกับแท่นแห่งธาตุทั้งห้าภายในม่านพลังมายา ความแตกต่างเดียวก็คือขนาดของแท่นนี้นั้นใหญ่มหึมา
“เกิดอะไรขึ้นที่นี่” นักพรตฟางเจิ้งถามขณะมองมาที่นาง
แทนการตอบ โม่เทียนเกอกลับมองลงไปเพื่อสำรวจดูคนอื่นที่อยู่บนพื้น นอกเหนือจากนางและนักพรตฟางเจิ้ง อีกเจ็ดคนก็อยู่บนแท่นหินเช่นกัน รวมถึงเหยียนรั่วซูที่ศพของนางถูกโม่เทียนเกอเก็บไว้ในกระเป๋าเอกภพเมื่อตอนพวกเขาอยู่ภายในม่านพลังมายา
นอกจากสีผิวซีดเผือด พวกเขาไม่ได้ดูเหมือนว่าจะบาดเจ็บแต่อย่างใด อย่างไรก็ตาม พวกเขาไม่หายใจ
โม่เทียนเกอยื่นมือไปเพื่อจับชีพจรของเหยียนรั่วซูจากนั้นจึงตรวจดูคนอื่นๆ พวกเขาทั้งหมดไม่มีสัญญาณชีพและนางก็ไม่สามารถถ่ายทอดพลังงานทางจิตวิญญาณของนางเข้าไปสู่ร่างของพวกเขาได้
นางพูดพร้อมถอนใจ “พวกเขาตายแล้ว”
นักพรตฟางเจิ้งที่กำลังตรวจดูลู่เซี่ยงซินและหวังเซี่ยงจื้อก็ส่ายหน้าเช่นกัน “สายเกินไป”
ทั้งสองคนต่างมองกัน ทั้งคู่ต่างรู้สึกงุนงง
ความจริงที่ศพของเหยียนรั่วซูอยู่ที่นี่แสดงให้เห็นว่าม่านพลังมายาทั้งหมดเป็นของปลอมโดยสิ้นเชิง สิ่งที่พวกเขาเห็นและได้ยินภายในม่านพลังมายาล้วนปลอมทั้งหมด ตัวจริงๆ ของพวกเขาน่าจะอยู่บนแท่นพวกนี้มาโดยตลอดและไม่เคยเคลื่อนย้ายไปไหน
แต่คนอื่นๆ ก็ยังลงเอยด้วยการตาย ลู่เซี่ยงซินและหวังเซี่ยงจื้อถูกฆ่าโดยผู้ฝึกตนระดับการก่อเกิดแก่นขุมพลังเหยาจื่อซิว เหยียนรั่วซูหน้ามืดตามัวเพราะภาพลวงตาภายในม่านพลังมายาและตายเพราะเลือดของนางเหือดแห้งจนหมด ส่วนสำหรับผู้หญิงทั้งสองคนแซ่อวิ๋นและแซ่หลิว ถึงแม้โม่เทียนเกอจะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับพวกนาง แต่พวกนางก็ไม่ได้มีอำนาจจิตที่แข็งแกร่งนักและยังบาดหมางกันเอง เป็นไปได้ว่าพวกนางอาจจะเข้าสู่กับดักพร้อมกันในท้ายที่สุด เหยาจื่อซิวต้องทุกข์จากมารภายในจิตใจของตัวเองและถูกภาพลวงตาหลอก ขณะที่ซางหรูหว่านถือได้ว่าถูกฆ่าโดยเหยาจื่อซิว
โม่เทียนเกอเต็มไปด้วยความรู้สึกสยองขณะที่นางทบทวนถึงความตายของพวกเขาในจิตใจ ม่านพลังมายานี้น่ากลัวมากจริงๆ ทุกสิ่งเป็นของปลอมแต่ความตายและบาดแผลที่เกิดขึ้นกลับเป็นเรื่องจริง!
“สหายนักพรตเยี่ย!” นักพรตฟางเจิ้งเรียกนางอย่างกะทันหัน เขากำลังตรวจดูศพของเหยาจื่อซิวเมื่อครู่นี้แต่ตอนนี้เขากำลังชี้ไปที่ซางหรูหว่าน
“มีอะไรหรือ”
“นาง… ดูเหมือนจะยังมีชีวิตอยู่” นักพรตฟางเจิ้งกล่าวขณะที่เขามองไปยังซางหรูหว่าน
รู้สึกตกใจ โม่เทียนเกอเดินไปหาซางหรูหว่านจากนั้นวางมือของนางบนอกของซางหรูหว่าน แน่นอนว่ายังมีความอบอุ่นเล็กน้อยอยู่ตรงนั้น นางรีบหยิบเอายาเขียวขยายกำลังออกมามากมายและป้อนให้กับซางหรูหว่านพร้อมกับถ่ายทอดพลังงานทางจิตวิญญาณของนางเข้าไปร่างของซางหรูหว่านด้วยเช่นกัน
หลังจากเวลาผ่านไปสักพัก ในที่สุดซางหรูหว่านก็ร้องครางออกมาและเริ่มได้สติอีกครั้ง
“พี่ซาง!” โม่เทียนเกอเรียกอย่างอ่อนโยน
ซางหรูหว่านค่อยๆ ลืมตาขึ้นช้าๆ เมื่อนางเห็นโม่เทียนเกอ นางดูสับสนเล็กน้อย “น้อง… น้องเยี่ย ข้า…”
“เจ้ายังไม่ควรพูดนะ อาการบาดเจ็บของเจ้ารุนแรงมาก เจ้าควรปรับลมปราณและฟื้นตัวเสียก่อน”
ซางหรูหว่านไม่ทำตามสิ่งที่โม่เทียนเกอพูด แต่พยายามนึกว่าเกิดอะไรขึ้น หลังจากนางจำได้ถึงสิ่งที่นางประสบมาในม่านพลังมายา จู่ๆ สีหน้านางก็เปลี่ยนไปและนางมองไปรอบๆ ทันที เมื่อพบว่าเหยาจื่อซิวกำลังนอนอยู่ข้างนางพร้อมกับดวงตาปิดสนิท นางก็โถมตัวเข้าหาร่างของเขาทันที “พี่ซิว! พี่ซิว!”
เหยาจื่อซิวไม่ตอบสนอง นักพรตฟางเจิ้งเพิ่งตรวจดูเขาเมื่อครู่นี้และเหยาจื่อซิวก็ตายแล้วจริงๆ เขาตายแบบเดียวกับเหยียนรั่วซูภายในม่านพลังมายา เขาตายเพราะเลือดเหือดแห้งไปจนหมดกาย คาดว่าเลือดของเขาหมดไปเพราะเขาหมกมุ่นกับภาพลวงตาของเขามากเกินไป
แต่กระนั้นโม่เทียนเกอก็ไม่อาจเข้าใจได้ว่าทำไมซางหรูหว่านถึงรอดชีวิต ลู่เซี่ยงซินและหวังเซี่ยงจื้อก็ถูกโจมตีจนตายโดยเหยาจื่อซิวเหมือนกันและพวกเขาตายอย่างแท้จริง มันไม่สมเหตุสมผลเลยที่ซางหรูหว่านสามารถรอดชีวิตมาได้
“พี่ซิว…” เมื่อนางตระหนักได้ถึงความจริงเรื่องการตายของเหยาจื่อซิว ซางหรูหว่านก็อยู่ในสภาวะงงงวยและไม่ขยับเขยื้อนอีกเป็นเวลานาน
โม่เทียนเกอไม่รู้ว่าซางหรูหว่านกำลังคิดถึงอะไรอยู่ แต่นางรู้ว่าอาการบาดเจ็บของซางหรูหว่านนั้นร้ายแรงเกินไป ถ้าซางหรูหว่านไม่รีบฟื้นตัว อีกไม่นานนางคงต้องเสี่ยงกับการตายจริงๆ เป็นแน่
“พี่ซาง!” โม่เทียนเกอเรียกอย่างอ่อนโยน อย่างไรก็ตาม ซางหรูหว่านไม่ตอบสนองใดๆ
เห็นสภาพปัจจุบันของซางหรูหว่านทำให้โม่เทียนเกอทอดถอนใจ นางยกมือขึ้นจากนั้นส่งพลังงานทางจิตวิญญาณของนางอย่างแผ่วเบาไปทางซางหรูหว่านผู้ซึ่งหมดสติไปทันทีหลังจากนั้น
นักพรตฟางเจิ้งตกใจ
โม่เทียนเกอแค่อุ้มซางหรูหว่านไปทางด้านข้างและวางนางให้นอนลง จากนั้นนางพูดว่า “สหายนักพรตฟางเจิ้ง ตอนนี้มีแค่พวกเราสองคนแล้ว ตามความเห็นของเจ้า เราควรทำอย่างไรต่อไป”
นักพรตฟางเจิ้งดูขัดแย้งเล็กน้อย เขากวาดสายตามองทั่วศพทุกคนแล้วจึงพูดว่า “ในเมื่อสหายนักพรตเหล่านี้ตายไปแล้ว เราควรจะจัดการกับศพของพวกเขาก่อน”
โม่เทียนเกอเข้าใจว่า “จัดการกับศพพวกเขาก่อน” ของเขาหมายความว่าอะไร มีกฎที่ไม่ต้องพูดกันอยู่ระหว่างพวกผู้ฝึกตน หากผู้ฝึกตนเดินทางมาด้วยกันและมีคนในกลุ่มตาย ข้าวของที่คนพวกนั้นเหลือทิ้งไว้จะถูกแบ่งและถูกคนอื่นๆ เอาไป โม่เทียนเกอไม่ได้คัดค้านเรื่องนี้ แต่เพราะนางไม่ได้ขาดทั้งยาวิเศษหรือศิลาวิญญาณ นางจึงไม่ได้กระตือรือร้นกับเรื่องนี้เช่นกัน
ดังนั้นนางจึงแค่พยักหน้าอย่างเหม่อลอย
หากเขาอยู่กับคนอื่น นักพรตฟางเจิ้งอาจจะไม่พูดอะไร คงจะฉวยเอากระเป๋าเอกภพของคนพวกนั้นไปอย่างมั่นใจ แต่อย่างไรก็ตาม เขาเห็นวิธีที่โม่เทียนเกอจัดการกับเรื่องต่างๆ เห็นได้ชัดว่านางมีกิริยาท่าทางของศิษย์หัวกะทิจากกลุ่มการฝึกตนและนางก็ไม่เหมือนผู้ฝึกตนเดี่ยวทั่วไปที่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนเหนือทุกสิ่ง นักพรตฟางเจิ้งรู้สึกเกรงกลัวพละกำลังของนาง ดังนั้นเขาจึงเพลาๆ กับพฤติกรรมของตัวเองลง
ความจริงนี่เป็นแค่ความรอบคอบมากเกินไปของนักพรตฟางเจิ้ง โม่เทียนเกอเองก็เคยเป็นผู้ฝึกตนเดี่ยวมาก่อนเหมือนกัน นางไม่ใช่หนึ่งในพวกแม่นางผู้ทรงอำนาจที่เกิดมาในกลุ่มการฝึกตน ดังนั้นจึงเป็นปกติที่นางจะเคยชินกับเรื่องนี้และไม่ได้มีแนวโน้มว่าจะคัดค้านอะไร
นักพรตฟางเจิ้งหยิบกระเป๋าเอกภพทั้งหมดหกใบออกมาทีละใบ จากนั้นขณะที่เขากำลังจะเผาศพคนพวกนั้น จู่ๆ เขาก็ได้ยินเสียงโม่เทียนเกอและทำให้เขาหยุดกะทันหัน
โม่เทียนเกอพูด “เอาของของเหยาจื่อซิวมาให้ข้า ตอนนี้อย่าเพิ่งเผาศพเขา”
นักพรตฟางเจิ้งพยักหน้า เคลื่อนย้ายศพของเหยาจื่อซิวไปด้านข้างและส่งกระเป๋าเอกภพของเหยาจื่อซิวไปให้ จากนั้นเขาถามว่า “สหายนักพรตเยี่ย เราควรจะแบ่งของพวกนี้กันอย่างไรดี”
“เราจะแบ่งกันคนละครึ่ง” โม่เทียนเกอพูดอย่างเฉยเมยขณะที่นางวางกระเป๋าเอกภพของเหยาจื่อซิวไว้บนอกของซางหรูหว่าน
การได้ยินคำตอบของโม่เทียนเกอทำให้นักพรตฟางเจิ้งถอนหายใจด้วยความโล่งอก หากโม่เทียนเกอบอกว่านางไม่ต้องการของเหล่านั้น เขาคงจะเป็นกังวล เพราะนั่นแสดงให้เห็นว่านางไร้เดียงสาเกินไปหรืออารมณ์ของนางแข็งกระด้างเกินไป การเดินทางของพวกเขาบนแท่นแห่งธาตุทั้งห้านี้ยังไม่จบลง ไม่ว่าความเป็นไปได้เหล่านั้นอันไหนจะเป็นจริง จะต้องมีบางอย่างผิดพลาดแน่ถ้าพวกเขายังคงร่วมมือกันต่อไป
เมื่อทั้งสองคนแบ่งข้าวของกันและเผาศพเสร็จ นักพรตฟางเจิ้งลังเลขึ้นมาอีกครั้งแต่ท้ายที่สุดเขาก็ยังถามว่า “สหายนักพรตเยี่ย เราจะนำตัวแม่นางเหยาไปกับเราด้วยหรือ”
โม่เทียนเกอนิ่งเงียบ ถ้านางอยู่ตัวคนเดียว คงพาซางหรูหว่านไปกับนางด้วยแน่ ไม่ใช่ว่านางเป็นคนใจบุญอะไร นางแค่มีความประทับใจที่ดีต่อซางหรูหว่าน อย่างไรก็ตาม ตอนนี้นางอยู่กับคนอื่นและนางก็เห็นได้ว่านักพรตฟางเจิ้งไม่อยากพาซางหรูหว่านไปด้วย ผู้ฝึกตนบาดเจ็บหนักซึ่งไร้ประโยชน์ก็มีแต่จะเป็นภาระต่อพวกเขาเท่านั้น
โม่เทียนเกอใช้เวลาพักหนึ่งเพื่อคิดแต่สุดท้ายนางก็ส่ายหัว “เราควรจะคิดว่าเราจะออกจากที่นี่ได้อย่างไรก่อนดีกว่า”
เนื่องจากม่านพลังมายาถูกทำลายลงแล้ว พวกเขาจึงไม่สามารถใช้ความคิดเพื่อเคลื่อนย้านแท่นได้อย่างที่เคยทำก่อนหน้านี้ ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขายังไม่รู้ด้วยว่าจะเกิดอะไรขึ้นถ้าพวกเขาออกจากแท่นหินนี้
“โอ้! สหายนักพรตเยี่ย ดูสิ! เร็วเข้า!” นักพรตฟางเจิ้งตะโกนพร้อมกับชี้ไปที่ส่วนด้านในสุดของห้องโถง
เมื่อโม่เทียนเกอหันเหสายตาไปในทางที่เขาชี้ นางก็รู้สึกดีใจขึ้นมาทันที
สถานที่แห่งนี้ดูเหมือนห้องโถงแต่ไม่มีพื้น มีเพียงแค่แท่นหินลอยได้ขนาดใหญ่อันนี้เท่านั้นและข้างใต้ก็คือเหวลึกไม่มีที่สิ้นสุดซึ่งพวกเขายังรู้สึกไม่มั่นใจนัก ประตูเดียวในโถงนี้คือประตูที่พวกเขาผ่านเข้ามา ก่อนที่ม่านพลังมายาจะเริ่มทำงาน ดูเหมือนว่าพวกเขาสามารถควบคุมแท่นต่างๆ ได้ด้วยความคิดของตัวเอง อย่างไรก็ตาม แท่นทั้งห้าเหล่านั้นบัดนี้ได้รวมกันเป็นหนึ่งเดียวและม่านพลังมายาก็ถูกทำลายลงแล้ว ความคิดของพวกเขาจึงใช้ไม่ได้ในตอนนี้
แต่อย่างไรก็ตาม ประตูก็ปรากฏขึ้นจริงบนที่ที่เดิมเคยเป็นกำแพงในส่วนด้านในสุดของห้องโถง! ทางเข้าไปสู่ส่วนด้านในสุดของถ้ำเซียนมีแนวโน้มว่าจะเปิดออกเมื่อม่านพลังมายาถูกทำลายลง
หลังจากช่วงเวลาของความดีใจ โม่เทียนเกอรีบสงบสติกลับมาโดยเร็ว
“สหายนักพรตฟางเจิ้ง แค่ม่านพลังมายานี้อย่างเดียวก็ซับซ้อนมากอยู่แล้ว หากต้องการไปต่อ เราต้องยิ่งระวังตัวมากกว่าเดิม”
นักพรตฟางเจิ้งพยักหน้าซ้ำๆ ความตื่นเต้นบนใบหน้าเขาเห็นได้ชัดเจน สำหรับเขา ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าชะตาลิขิต ระหว่างช่วงเวลาที่น่าหนักใจในม่านพลังมายา ถึงแม้พวกเขาจะยังไม่มีใครได้รับประโยชน์อะไรสักอย่าง กระนั้นพวกเขาก็แน่ใจว่าอะไรก็ตามที่พวกเขาหาเจอจะต้องน่าทึ่งมากแน่นอนดูจากความท้าทายของม่านพลังมายานี้! ในเมื่อเขามาถึงจุดนี้แล้ว คงไม่มีเหตุผลแน่ถ้าเขาจะหันหลังกลับ
โม่เทียนเกอไม่กระหายเท่ากับนักพรตฟางเจิ้งในการได้ครอบครองสมบัติ แต่นางก็ไม่มีเหตุผลจะต้องถอยเช่นกัน แม้แต่คนอย่างฉินโส่วจิ้งที่มีบรรพบุรุษระดับจิตวิญญาณใหม่ยังต้องเดินบนเส้นทางการฝึกตนด้วยตัวเขาเอง เป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะหวังพึ่งผู้อาวุโสของตัวเองไปเสียทุกอย่าง ถ้าคนเราไม่มีประสบการณ์อะไรเลยและมักจะอยู่ใต้การคุ้มครองของผู้อาวุโส พวกเขาก็ไม่มีทางเติบโตขึ้นได้
“แต่เราจะไปถึงตรงนั้นได้อย่างไร” ใต้แท่นคือเหวลึกไร้จุดสิ้นสุดซึ่งพวกเขาไม่รู้อะไรเกี่ยวกับมันเลย ถ้าเกิดนี่เป็นม่านพลังสังหารขึ้นมา วินาทีที่พวกเขาไปกระตุ้นอะไรเข้า…
นักพรตฟางเจิ้งขมวดคิ้ว ในหมู่คนทั้งเก้าที่เริ่มจากที่นี่ หกคนตายแล้วและอีกหนึ่งคนบาดเจ็บหนัก พวกเขาทั้งสองคนเป็นเพียงพวกเดียวที่ยังไม่มีอันตราย นักพรตฟางเจิ้งไม่มีเวลาเหลือในช่วงอายุขัยของเขามากแล้ว ดังนั้นเขาจึงต้องการชะตาลิขิตอย่างแรง อย่างไรก็ตาม ในขณะเดียวกันมันก็ยิ่งทำให้เขารักและเห็นค่าชีวิตตัวเองมากขึ้น
หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่ง นักพรตฟางเจิ้งก็ถอนใจแล้วจึงเปิดถุงกระเป๋าสัตว์วิเศษที่มัดอยู่ที่เอวเขา ปล่อยสัตว์วิเศษออกมาซึ่งเมื่อตรวจดูให้ชัดก็พบว่าเป็นนกระดับหนึ่ง
นักพรตฟางเจิ้งลูบหัวมันก่อนจะปล่อยมันจากมือและสั่งให้มันบินไปทางส่วนด้านในสุดของห้องโถง
ด้วยเสียงร้องจิ๊บๆ นกตัวนั้นเริ่มจะกระพือปีก บินขึ้นสูงในอากาศจากนั้นจึงบินไปทางที่เขาชี้ไป
ทั้งสองคนมองด้วยความหวาดหวั่น พวกเขามองนกตัวนั้นบินอย่างราบรื่นไปที่สุดห้องโถงและพุ่งไปหาประตู
ในเวลาต่อมา นกตัวนั้นพุ่งผ่านประตูอีกครั้งและบินกลับมาหาพวกเขา
นักพรตฟางเจิ้งดีใจสุดขีด “มันปลอดภัยจริงๆ! สหายนักพรตเยี่ย ไปกันเถอะ!” ว่าแล้วเขาก็เป็นคนนำหน้าเหาะไปในอากาศแล้ว
สายตาโม่เทียนเกอยังคอยเหลือบไปมองซางหรูหว่านผู้ที่ยังนอนไม่ได้สติอยู่บนพื้น สุดท้ายนางก็ถอนใจ หยิบเอาขวดยาออกมาและวางไว้บนอกของซางหรูหว่าน เมื่อนางทำเสร็จ ก็เรียกผ้าเช็ดหน้าไหมขาวมาแล้วจึงเหาะตามนักพรตฟางเจิ้งไป