ตอนที่ 165 อู๋ชง

รักเล่ห์เร้นใจ

ตอนบ่าย ณ สนามบินที่มีเที่ยวบินไปต่างประเทศ หลินหว่านถือตั๋วเครื่องบิน นั่งรอขึ้นเครื่องอยู่ในห้องผู้โดยสารรอขึ้นเครื่อง

 

 

ด้านข้างเป็นกระเป๋าสัมภาระของเธอ ซึ่งเธอลุกขึ้นมาจัดเก็บแต่เช้า ตั๋วเครื่องบินในมือเป็นตั๋วที่เซียวเฉียงมอบให้เธอเมื่อวาน ในเมื่อเธอรับปากเซียวเฉียงว่าจะไปจากเซียวจิ่งสือ ก็ไม่ควรกลับคำ

 

 

เมื่อวานเธออยู่กับเซียวจิ่งสือเป็นวันสุดท้าย ถือเป็นความทรงจำร่วมกันของพวกเขาก็แล้วกัน ถึงอย่างไรก็ไม่มีอะไรให้เสียดายอยู่แล้ว

 

 

ยังมีเวลาอีกสักพักก่อนขึ้นเครื่อง หลินหว่านรู้สึกเบื่อ จึงหยิบหนังสือพิมพ์ที่ด้านข้างขึ้นมาอ่าน

 

 

เมื่อวาน บ้านตระกูลอัน

 

 

ภายใต้แรงกดดันจากเซียวจิ่งสือ ราคาหุ้นของเทียนซิงกรุ๊ปก็ร่วงดิ่งลงฮวบฮาบ ก่อนหน้านี้บ้านตระกูลอันได้ถูกเซียวจิ่งสือชักนำให้ลงทุนในโครงการอื่นๆ เป็นจำนวนมาก ดังนั้น เงินทุนของบ้านตระกูลอันในตอนนี้จึงใกล้หมดเกลี้ยงเต็มที หากอาศัยกำลังเพียงลำพังคงไม่สามารถต่อต้านบ้านตระกูลเซียวได้ ถ้าหากเป็นเช่นนี้ต่อไป ก็คงได้แต่ปล่อยให้เซียวจิ่งสือกว้านซื้อหุ้นของเทียนซิงไปต่อหน้าแล้ว

 

 

“พวกเรามาเสนอความเห็นกันหน่อยสิ ตอนนี้ยังมีวิธีอะไรอีกที่สามารถช่วยเทียนซิงกรุ๊ปไว้ได้”

 

 

ในที่ประชุมบอร์ดบริหารของเทียนซิงกรุ๊ป อันโฮ่วสยงใบหน้าเคร่งเครียด ถามบรรดาผู้ถือหุ้นที่เข้าร่วมประชุมบอร์ดครั้งนี้

 

 

เขาฟาดฟันอยู่ในวงการธุรกิจมาหลายสิบปี คิดไม่ถึงว่าคราวนี้จะตกหลุมพรางของเด็กหนุ่มอย่างเซียวจิ่งสือ แน่นอนว่าอันโฮ่วสยงโมโหจนพูดไม่ออกเลย

 

 

บรรดาผู้ถือหุ้นพากันนั่งจ้องตากันปริบๆ ต่างไม่มีทางออกที่ดีจะนำเสนอ ตอนนั้นเอง จู่ๆ อันจี๋อวี่ก็พูดออกมาว่า “พ่อครับ ผมมีวิธีการหนึ่ง…”

 

 

“พูดมา!” อันโฮ่วสยงเอ่ยปากอย่างหงุดหงิด เป็นเพราะเขา เทียนซิงกรุ๊ปจึงถูกเซียวจิ่งสือเล่นงานจนเป็นแบบนี้ เขาอยากจะรู้นักว่าอันจี๋อวี่จะมีวิธีดีๆ อะไร

 

 

“พวกเราสามารถร่วมมือกับบริษัทที่เป็นศัตรูกับเซียวจิ่งสือ ดังคำว่า ‘ศัตรูของศัตรูก็คือเพื่อนของเรา’ ผมเชื่อว่าขอเพียงพวกเราแสดงความจริงใจออกมา ต้องมีบริษัทที่เต็มใจจะร่วมมือกับเราแน่ เช่นนี้เราก็จะสามารถรักษาเทียนซิงกรุ๊ปเอาไว้ได้” อันจี๋อวี่พูดด้วยอาการลังเลไม่แน่ใจนัก

 

 

นี่นับเป็นทางออกที่ดีวิธีหนึ่งจริงๆ อันโฮ่วสยงก็มีความคิดเช่นนี้เหมือนกัน พอเห็นว่าคนในที่ประชุมไม่มีใครคัดค้าน และไม่มีใครให้ความคิดเห็นที่ดีกว่า อันโฮ่วสยงก็ตัดสินใจว่า “ดีมาก งั้นไปจัดการตามนี้ก็แล้วกัน”

 

 

พูดจบ เขาก็เตรียมจัดคนไปเจรจากับบริษัทคู่แข่งของตระกูลเซียว…บ้านตระกูลหรง ต้องทำความร่วมมือกับอีกฝ่ายให้สำเร็จให้ได้

 

 

ในหนังสือพิมพ์หลินหว่านบังเอิญได้เห็นหัวข้อข่าวนี้ เขียนว่า “บ้านตระกูลอันประกาศจับมือเครือบริษัทหรงซื่อ (บ้านตระกูลหรง) ต้านตระกูลเซียว โดยบอกว่าจะสู้กับบ้านตระกูลเซียวให้ถึงที่สุด” “คู่แข่งสำคัญของบ้านตระกูลเซียวร่วมมือกับบ้านตระกูลอัน อาจพลิกสถานการณ์บ้านตระกูลเซียวฮุบซื้อเทียนซิงกรุ๊ป” ข่าวที่บ้านตระกูลอันร่วมมือกับเครือบริษัทหรงซื่อซึ่งเป็นศัตรูของบ้านตระกูลเซียวแทบจะกินพื้นที่หนังสือพิมพ์ไปครึ่งหน้า

 

 

พอหลินหว่านเห็นเข้าก็ตกใจมาก บ้านตระกูลอันร่วมมือกับบริษัทที่เป็นศัตรูของบ้านตระกูลเซียว จะเป็นผลร้ายต่อตระกูลเซียวไหมนะ? เธอรีบคว้ามือถือขึ้นมา สืบค้นข่าวของวันนี้ขึ้นมาอ่าน

 

 

เป็นจริงดังคาด บนอินเทอร์เน็ตมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์เรื่องความร่วมมือของบ้านตระกูลอันกับตระกูลหรงเต็มไปหมด พวกเขาเห็นว่าสำหรับบ้านตระกูลเซียวแล้ว นี่ไม่ใช่เรื่องดีแน่

 

 

เนื่องจากถ้าหากบ้านตระกูลอันจับมือกับตระกูลหรง นอกจากบ้านตระกูลเซียวฮุบซื้อเทียนซิงกรุ๊ปไม่สำเร็จแล้ว ยังต้องเผชิญหน้ากับคู่แข่งทางการค้าพร้อมกันทีเดียวสองตระกูล

 

 

บ้านตระกูลอันแม้ว่าจะสู้ตระกูลเซียวไม่ได้ แต่อูฐต่อให้ผอมแห้งยังไงก็ใหญ่กว่าม้า [ 1 ] ถ้าหากร่วมมือกับบ้านตระกูลหรงซึ่งเป็นศัตรูตัวฉกาจที่ขับเคี่ยวกันมานานกับบ้านตระกูลเซียวแล้ว บ้านตระกูลเซียวไม่เพียงแต่จะไม่ได้เปรียบยังอาจตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบอีกด้วย

 

 

หลินหว่านเห็นข่าวแล้ว รู้สึกเป็นห่วงสถานการณ์ในตอนนี้ของบ้านตระกูลเซียว เซียวจิ่งสือจะสู้กับคนพวกนี้ได้ไหมนะ? ได้ยินมาว่าประธานหรงซื่อกรุ๊ปเ**้ยมโหดไร้น้ำใจ มีเล่ห์เหลี่ยม บ้านตระกูลเซียวจะตกอยู่ในอันตรายหรือเปล่านะ

 

 

ตอนนั้นเอง ภายในห้องผู้โดยสารมีเสียงประกาศเตือนให้ขึ้นเครื่องดังขึ้น หลินหว่านคว้ากระเป๋าสัมภาระ แต่กลับละล้าละลังไม่แน่ใจ เธอจะไปจากเซียวจิ่งสือจริงๆ ไปยังประเทศที่ไม่เคยรู้จักเลยอย่างนั้นเหรอ

 

 

โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตอนที่เซียวจิ่งสือกำลังจะต้องเผชิญกับการต่อสู้ที่ตัดสินแพ้ชนะ เธอแน่ใจหรือว่าจะไปจากเขาได้?

 

 

ทันใดนั้น หลินหว่านก็ตัดสินใจได้ เธอคว้ากระเป๋าแล้ววิ่งเตลิดออกไปจากห้องผู้โดยสารราวกับคนบ้า

 

 

เธอทำไม่ได้ เธอไปจากเซียวจิ่งสือไปยังประเทศที่ไม่รู้จักไม่ได้ พอนึกว่าเธอจะไม่ได้พบกับเซียวจิ่งสืออีก หัวใจเธอก็เจ็บปวดรวดร้าวจนบอกไม่ถูก

 

 

แต่ว่า เธออยู่ที่นี่ จะช่วยเซียวจิ่งสือได้อย่างไรนะ? หลินหว่านรู้สึกอับจนอยู่บ้าง ทันใดเธอก็นึกขึ้นได้ เธอไปหาอู๋ชงให้ช่วยได้นี่นา

 

 

อู๋ชงมีชื่อเสียงโด่งดังเป็นที่รู้จักกันดีในวงการ เพราะเขามีพรสวรรค์และฝีมือที่โดดเด่นในวงการธุรกิจ สงครามการค้าที่เขายื่นมือเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย ดูเหมือนจะไม่เคยเป็นฝ่ายแพ้เลยสักครั้ง หลินหว่านเชื่อว่าถ้าให้เขาช่วย เซียวจิ่งสือจะไม่มีทางแพ้ให้กับบ้านตระกูลอันและตระกูลหรงแน่

 

 

พอนึกถึงตรงนี้ หลินหว่านก็รีบยกกระเป๋า โบกรถมาคันหนึ่ง เตรียมจะไปขอพบอู๋ชง

 

 

“ใครน่ะ?” เสิ่นหนานยวนได้ยินเสียงเคาะประตู จึงออกมาเปิดประตู แล้วก็เห็นคนที่มา

 

 

ที่ปรากฏต่อสายตาของเขาเป็นเด็กสาวคนหนึ่ง มือข้างหนึ่งลากกระเป๋าสัมภาระใบโต มืออีกข้างหนึ่งถือมือถือเอาไว้ พอเห็นว่าเขาออกมาแล้ว เธอดูเหมือนจะเทียบกับบนมือถือทีหนึ่งแล้วถอนใจโล่งอก

 

 

“สวัสดีค่ะ ฉันชื่อหลินหว่าน คุณคงจะเป็นอู๋ชง!” หลินหว่านเห็นว่าเป็นคนที่ตัวเองต้องการมาหาแน่ ก็ยิ้มกับผู้ชายตรงหน้าแล้วเอ่ยทักทายเขา

 

 

เสิ่นหนานยวนขมวดคิ้ว พูดว่า “เรียกผมว่าเสิ่นหนานยวนก็ได้ คุณเป็นใคร? มาหาผมมีเรื่องอะไร?” พูดพลาง ก็ให้หลินหว่านเข้ามาในห้องทำงานของเขา

 

 

ปกติเขาเก็บตัวมาก บนอินเทอร์เน็ตนอกจากจะมีประวัติผลงานของเขาแล้วก็แทบจะสืบค้นชื่อจริงของเขาไม่ได้เลย

 

 

“คุณเสิ่นคะ สวัสดีค่ะ วันนี้ฉันอยากจะมาขอให้คุณช่วยค่ะ” หลินหว่านพอเข้ามาให้ห้องทำงานของเสิ่นหนานยวนแล้ว ก็ดีใจมากรีบบอกวัตถุประสงค์ในการมาของเธอทันที

 

 

เสิ่นหนานยวนฟังแล้วมองสำรวจหลินหว่านอยู่ไปมา แล้วพูดขึ้นอย่างดูแคลนว่า “ที่แท้ก็คนของบ้านตระกูลเซียวนี่เอง แต่ว่านะ เซียวจิ่งสือส่งพนักงานตัวเล็กๆ อย่างเธอมา ก็คิดจะเจรจาความร่วมมือกับผมเหรอ?”

 

 

คนที่มีความสามารถก็ยิ่งมีความหยิ่งทระนง หลินหว่านได้ฟังก็ปลอบใจตัวเองว่าอย่าไปโมโหเขาเลย จากนั้นเงยหน้าที่ดูเว้าวอนน่าสงสารขึ้น พูดว่า “คุณเสิ่นคะ ขอร้องละคะ ช่วยบ้านตระกูลเซียวเถอะนะคะ”

 

 

“ไม่ได้ ให้เซียวจิ่งสือส่งคนที่ผมพอใจมาแล้วค่อยว่ากัน” เสิ่นหนานยวนปฏิเสธออย่างไร้เยื่อใย แล้วขับไล่หลินหว่านให้ออกจากห้องทำงานเขา

 

 

แต่เมื่อเขาเสร็จงานช่วงดึกกำลังจะกลับบ้านนั้น ก็พบว่าหลินหว่านยังยืนอยู่นอกห้องทำงานรอเขาอยู่

 

 

“คุณเสิ่นคะ คุณเลิกงานแล้ว? คุณช่วยพิจารณาสักนิดนะคะเรื่องช่วยบ้านตระกูลเซียว” หลินหว่านถามเสิ่นหนานยวนแล้วมองดูเขาเหมือนมองดูความหวังสุดท้ายของชีวิต

 

 

“ไม่ได้” เสิ่นหนานยวนยังคงปฏิเสธ

 

 

แต่คิดไม่ถึงว่า หลินหว่านจะตามตื๊อเขาไม่เลิก ตามติดมาตลอดทางจนเขากลับถึงบ้าน

 

 

“คุณเสิ่น ขอร้องล่ะค่ะ คุณช่วยพิจารณาสักนิดนะคะ!” เสิ่นหนานยวนเปิดประตูบ้านแล้ว หลินหว่านยังคว้าแขนเขาไว้ไม่ยอมปล่อย

 

 

เสิ่นหนานยวนมองดูหลินหว่าน แล้วมองดูกระเป๋าสัมภาระในมือเธอ สุดท้ายพูดว่า “เรื่องบ้านตระกูลเซียวนั้นผมไม่ช่วยหรอก แต่ผมเห็นว่าคุณดูเหมือนจะไม่มีที่ไป ผมอนุญาตให้คุณพักที่บ้านผมได้”

 

 

หลินหว่านได้ฟังแล้ว ดวงตาเป็นประกายขึ้นมา พูดอย่างดีใจว่า “ขอบคุณค่ะ คุณเสิ่น”

 

 

หลินหว่านไม่เชื่อหรอกว่า เธออยู่ที่บ้านของเสิ่นหนานยวน อยู่กับเขาทุกวัน จะทำให้เสิ่นหนานยวนมาช่วยบ้านตระกูลเซียวไม่ได้

 

 

 

 

——

 

 

[ 1 ] อูฐต่อให้ผอมแห้งยังไงก็ใหญ่กว่าม้า สื่อความหมายว่า ถึงอย่างไรแล้วคนรวยก็ยังมีเงินอยู่ดี