บทที่ 673 รู้จักหนักรู้จักเบา

บัลลังก์พญาหงส์

“ใช่แล้ว พวกเราไปเล่นกับเซิ่นเอ๋อร์” ถาวจวินหลันหัวเราะ พลางพูดว่า “แต่เสด็จทวดของพวกเจ้าอารมณ์ไม่ค่อยดีนัก อีกครู่พวกเจ้าไปเล่นเป็นเพื่อนท่านดีหรือไม่? หากพวกเจ้าทำได้ดี พรุ่งนี้แม่จะทำของว่างให้พวกเจ้ากิน” 

 

 

ดวงตาของซวนเอ๋อร์กลอกไปมาอย่างรวดเร็ว “เสด็จปู่ทำให้เสด็จทวดโมโห” 

 

 

ถาวจวินหลันนิ่งไป จากนั้นก็ขมวดคิ้วพูดเสียงดุว่า “ใครบอกเจ้า!” ในเมื่อซวนเอ๋อร์พูดเช่นนี้ ก็ย่อมต้องมีคนนินทาเรื่องนี้ต่อหน้าเขาเป็นแน่ ซวนเอ๋อร์อายุยังน้อย ไม่รู้ว่าอะไรควรพูดไม่ควรพูด ย่อมพูดทุกอย่างที่ได้ยิน วันนี้พูดต่อหน้านางก็ไม่เป็นอะไร แต่ถ้าไปพูดต่อหน้าคนอื่นเล่า? หากฮ่องเต้รู้เข้า เกรงว่าจะมีคลื่นลูกใหญ่พัดมาอีกครั้งหนึ่ง ต่อให้ต่อหน้าไม่มีอะไร แต่ในใจย่อมไม่พอใจเป็นแน่ 

 

 

ซวนเอ๋อร์ตกใจจนเกือบน้ำตาร่วง รีบบอกไปว่า “นางกำนัลเล็กพูดขอรับ!” 

 

 

แต่นางกำนัลเล็กที่ซวนเอ๋อร์พูดถึงนั้น เขากลับพูดอย่างไม่ชัดเจนเสียแล้ว ถามหนักเข้าก็เหมือนจะร้องไห้ออกมาอย่างไรอย่างนั้น ถาวจวินหลันทำได้แค่ปล่อยไป แต่ก็คิดขึ้นได้ว่าเมื่อครู่นี้ตนเองดุเกินไป จึงเอ่ยปลอบซวนเอ๋อร์กับหมิงจูที่ตกใจนิ่งไป “แม่ไม่ดีเอง ไม่ควรดุซวนเอ๋อร์ แม่ขอโทษ” 

 

 

ซวนเอ๋อร์ถึงได้ปาดน้ำตา อิงกลับเข้ามาในอ้อมอกของถาวจวินหลันใหม่อีกครั้งอย่างไม่คิดติดใจ หมิงจูเองก็หัวเราะปาดน้ำตาบนใบหน้า ทำท่าทางเขินอาย “อายๆ พี่ชายอายๆ! ร้องไห้!” 

 

 

พี่น้องทั้งสองคนทะเลาะกันไปตลอดทางว่าแท้จริงแล้วร้องไห้จริงหรือไม่ ตราบจนเข้ามาในวังหย่งโซ่วได้พบหลี่เย่ ถึงได้ลืมเรื่องนี้ไปทันที หมิงจูสนิทคุ้นเคยกับหลี่เย่มากกว่าหน่อย จึงรีบวิ่งเข้าไปหาหลี่เย่เพื่อให้อุ้มตนเอง 

 

 

ซวนเอ๋อร์กลับแสร้งทำเป็นผู้ใหญ่ในร่างเด็กเดินประคองถาวจวินหลันเข้าไปข้างใน ใบหน้าเล็กๆ นั้นจริงจังเคร่งขรึม “เดินช้าๆ ท่านแม่ต้องระวัง อย่าให้น้องชายได้รับบาดเจ็บ” 

 

 

ถาวจวินหลันตั้งสติคิดอยู่ครู่หนึ่งถึงรู้ว่า ‘น้องชาย’ ที่ซวนเอ๋อร์พูดถึงหมายถึงใคร เป็นเด็กที่อยู่ในท้องของนาง เวลาผ่านไปนานหลายวันแล้วประจำเดือนของนางก็ยังไม่มา เรื่องตั้งครรภ์คงเป็นจริงแล้ว แต่เพราะอายุครรภ์ยังน้อยเกินไป นางจึงไม่ได้ประกาศไปทั่ว 

 

 

แต่ซวนเอ๋อร์รู้ได้อย่างไร? ถาวจวินหลันถามซวนเอ๋อร์ด้วยท่าทางสงสัย “น้องชายที่ไหนกัน?” 

 

 

ซวนเอ๋อร์ลูบท้องของถาวจวินหลันอย่างเอาจริงเอาจัง “ในท้องของท่านแม่ น้องชาย หงหลัวกูกูบอกมา” 

 

 

ถาวจวินหลันเบนหน้าไปถลึงตามองหงหลัวทีหนึ่ง หงหลัวกลับแสร้งทำเป็นไม่เห็น ก้มหน้าลงมองทาง พลางประคองถาวจวินหลันเดินเข้าไปอย่างทองไม่รู้ร้อน 

 

 

หลี่เย่อุ้มหมิงจูเดินเข้ามา ทั้งสองคนพบหน้ากัน แต่กลับไม่ได้พูดอื่นใด นอกจากถามเชิงกล่าวโทษ “เจ้ามาได้อย่างไร?” 

 

 

ต่อให้ถาวจวินหลันรู้ว่าเขาเป็นเช่นนี้เพราะเป็นห่วงตนเอง แต่ก็อดหงุดหงิดไม่ได้ กลอกตามองเขาพูดกล่าวโทษว่า “หม่อมฉันมาหาไทเฮาเพคะ ทำไมหรือ หรือว่าท่านไม่อนุญาตให้หม่อมฉันมาหรือ?” 

 

 

หลี่เย่คิดได้ว่าน้ำเสียงของตนเองไม่ดีนัก จึงรีบแก้ตัว “มาได้สิ แต่ตอนนี้เจ้ายังเจ็บอยู่ แล้วยังตั้งครรภ์ด้วย จะมาทำไม? ควรต้องรักษาร่างกายให้ดี แม้แต่ไทเฮาก็คงไม่โทษเจ้า…“ 

 

 

ถาวจวินหลันเอ่ยขัด “ไทเฮาไม่โทษหม่อมฉัน หม่อมฉันก็โทษตนเองเพคะ ไทเฮาดีกับหม่อมฉันขนาดนั้น ตอนนี้พระองค์ป่วย หม่อมฉันไม่รู้เรื่องด้วยซ้ำไป วันนี้รู้แล้ว หากยังไม่มาอีก หม่อมฉันจะสงบใจได้อย่างไรเพคะ” 

 

 

หงหลัวเห็นทั้งสองคนยังพูดกันไม่จบ จึงส่งเสียงเอ่ยเตือน “ด้านนอกลมแรง พระชายาองค์ตากลมไม่ได้เพคะ” คำพูดแฝงไว้ด้วยการตำหนิหลี่เย่บางส่วน 

 

 

หลี่เย่ก็ไม่หงุดหงิด แต่กลับมองหงหลัวด้วยสายตาชื่นชมอยู่ในที ในใจคิดว่าบ่าวคนนี้ใช้ได้เลยทีเดียว คิดไปพลาง ปล่อยหมิงจูลงมาเดินเองไปพลาง แล้วหันมาประคองถาวจวินหลันให้เดินเข้าไปข้างใน 

 

 

หลี่เย่ประคองถาวจวินหลันไปตลอดจนถึงข้างกายไทเฮา ไทเฮาก็เห็นภาพเหตุการณ์นี้เช่นเดียวกัน ทั้งสองคนเดินเคียงกันเข้ามาในห้อง ประคองเคียงบ่ากัน แล้วยังมีเด็กเดินตามอยู่ข้างหลังซ้ายขวา ช่างเป็นครอบครัวที่อบอุ่นอย่างมาก 

 

 

ไทเฮามองแล้วก็อดหัวเราะไม่ได้ แล้วยังเอ่ยปากพูดว่า “ใช่แล้ว ครอบครัวควรเป็นเช่นนี้ รักใคร่สามัคคีกันดีกว่าอะไรทั้งนั้น“ 

 

 

คำพูดของไทเฮาแฝงไว้ด้วยความรำพึงรำพัน ถาวจวินหลันไม่มั่นใจว่าไทเฮากำลังทอดถอนเรื่องความสัมพันธ์แม่ลูกของตนเองกับฮ่องเต้ที่เดินมาถึงขั้นนี้ใช่หรือไม่ และไม่กล้าพูดมั่วๆ ออกไป จึงได้พูดตามไทเฮา “ไทเฮาตรัสถูกเพคะ หวังว่าจากนี้จะยังเป็นเช่นเดิม“ 

 

 

ไทเฮานิ่งไปครู่หนึ่ง ไม่ได้หุบยิ้ม “แน่นอน” 

 

 

“เสด็จทวด!” ซวนเอ๋อร์เห็นไทเฮาไม่สนตนเอง จึงตะโกนเสียงดัง แล้วพุ่งเข้ามา พูดเสียงละห้อย “ไทเฮาไม่ชอบซวนเอ๋อร์แล้ว ไม่อุ้มซวนเอ๋อร์” 

 

 

“ซวนเอ๋อร์โตแล้ว ส่วนเสด็จทวดแก่ลงทุกวัน อุ้มเจ้าไม่ไหวหรอก” ไทเฮาเห็นซวนเอ๋อร์ทำแบบนี้ก็ยิ้มกว้างขึ้นหลายส่วน เอื้อมมือออกไปลูบหัวเล็กๆ ของซวนเอ๋อร์ 

 

 

ซวนเอ๋อร์เอียงคอคิดตาม ฉับพลันก็หัวเราะออกมา “ซวนเอ๋อร์โตแล้ว มีแรงอุ้มเสด็จทวดได้ขอรับ” 

 

 

ไทเฮาหัวเราะเสียงดัง ท่าทางมีความสุขแสดงบนใบหน้าเ**่ยวย่น บรรยากาศภายในห้องพลันดูครื้นเครงมากขึ้น 

 

 

หมิงจูก็เข้ามาอ้อนด้วย “พี่ชายก็ต้องอุ้มข้าด้วย!” 

 

 

ซวนเอ๋อร์ตบอกตนเองอย่างภาคภูมิใจ “ได้ ข้าจะอุ้มเจ้าเอง!“ 

 

 

จากนั้นถาวจวินหลันก็ก้าวเข้าไปหาหลี่เย่พูดคุยหยอกล้อกับไทเฮา ทำให้ไทเฮาอารมณ์ดีขึ้น 

 

 

พออารมณ์ดีขึ้นมา ไทเฮาก็ดูมีเรี่ยวแรงตามมาไม่น้อย 

 

 

หลังจากพูดคุยสัพเพเหระกันครู่หนึ่งแล้ว ไทเฮาก็ถามถึงครรภ์ของถาวจวินหลัน “ท้องจริงหรือ?” 

 

 

ถาวจวินหลันอมยิ้มลูบท้องของตนเองเบาๆ ก่อนพยักหน้าอย่างเขินอาย พูดเสียงอ่อนว่า “ไม่น่าผิดพลาดเพคะ แต่หมอหลวงต้องรอเวลาอีกช่วงหนึ่งถึงจะมั่นใจ” 

 

 

ไทเฮายิ้มพลางพยักหน้า “ดีๆ! ตั้งครรภ์ก็ดีแล้ว! องค์รัชทายาทมีสายเลือดสืบทอดน้อยนัก พวกเจ้าถือโอกาสตอนอายุยังน้อยมีลูกอีกสักสองคน หลังจากนี้ไม่ว่าซวนเอ๋อร์จะทำอะไรก็มีผู้ช่วยที่ดี ตระกูลหลี่ของพวกเราถึงจะแตกกิ่งออกใบ ยิ่งอุดมสมบูรณ์ขึ้นเรื่อยๆ” 

 

 

หลี่เย่กลับไม่อายแม้แต่น้อย พยักหน้ารับคำอย่างจริงจัง “ไทเฮาพูดถูกพ่ะย่ะค่ะ หลานก็คิดเช่นนั้น พระองค์โปรดวางใจ พระองค์ต้องได้อุ้มเหลนคนนี้เป็นแน่” 

 

 

ไทเฮาได้ยินก็ยิ่งหัวเราะยิ้มกว้าง 

 

 

ไม่มีใครพูดเรื่องไม่น่าอภิรมย์ แต่เห็นชัดว่าเงียบไว้ไม่ได้ หลังจากพูดคุยกันครู่หนึ่ง ไทเฮาก็ให้คนพาพวกซวนเอ๋อร์ไปเล่นกับเซิ่นเอ๋อร์ก่อน 

 

 

ไทเฮาหุบยิ้ม มองไปยังถาวจวินหลัน “เจ้าคงได้ยินเรื่องที่ข้างนอกเขาคุยกันแล้ว ถึงได้มาที่นี่กระมัง” 

 

 

ถาวจวินหลันลังเลอยู่ครู่หนึ่งแต่ไม่ได้ปฏิเสธ อยู่ต่อหน้าไทเฮาแล้วยังมาปฏิเสธเรื่องเหล่านี้ เห็นชัดว่าไมจำเป็น นางคิดอยู่เสมอว่าแม้ไทเฮาไม่ออกไปไหน และอายุมากขึ้นเรื่อยๆ แต่คงรู้เรื่องหมดทุกอย่าง ไม่มีเรื่องไหนปิดบังไทเฮาได้ 

 

 

อีกทั้งอยู่ต่อหน้าไทเฮา นางเองก็ไม่อยากโกหก คิดว่านั่นเป็นการไม่เคารพไทเฮา 

 

 

ไทเฮาถอนหายใจ “ฮ่องเต้เลอะเลือนแล้ว“ 

 

 

ไทเฮาทอดถอนใจเช่นนี้ ยิ่งให้คนรู้สึกขบขัน มีแม่ที่ไหนที่พูดถึงลูกชายตนเองเช่นนี้? แต่ก็ไม่มีใครหัวเราะออกมา เพราะไทเฮาพูดถูกต้องที่สุด 

 

 

ถาวจวินหลันคิดจะพูดเสริม บอกว่าฮ่องเต้เลอะเลือนแล้วจริงๆ แต่พอเหลือบมองหลี่เย่ สุดท้ายก็คำนึงถึงความรู้สึกของเขา อีกทั้งตนเองเป็นผู้น้อยไม่สมควรต่อว่าผู้อาวุโส จึงไม่ได้เอ่ยปากพูด แต่ลอบเห็นด้วยในใจ 

 

 

หลี่เย่ไม่ได้มีสีหน้าท่าทีเปลี่ยนไป แต่พอพิจารณาดีๆ แล้ว ก็จะเห็นว่าความอบอุ่นในดวงตาของเขาเปลี่ยนเป็นเย็นชาอย่างเห็นชัด แต่ต่อให้เป็นเช่นนั้น เขาก็ยังพูดเปิดกว้างเป็นอย่างมาก “วันงานสมโภชเทศกาลไหว้พระจันทร์ กู้ซีช่วยเอาตัวบังไม่ให้ฮ่องเต้บาดเจ็บ จนเกิดแผลบนใบหน้า ฮ่องเต้ซาบซึ้งใจก็นับว่ามีเหตุผลพ่ะย่ะค่ะ” 

 

 

ถาวจวินหลันรู้เรื่องนี้เล็กน้อย จึงเอ่ยปากถาม “ได้ยินว่าทิ้งแผลเป็นไว้? รุนแรงถึงเพียงนั้นเชียวหรือเพคะ?” 

 

 

หลี่เย่พยักพน้า “หมอหลวงพูดเช่นนั้น” 

 

 

กลับเป็นไทเฮาที่แค่นหัวเราะออกมาอย่างไม่ใส่ใจ “เป็นคนของเขาก็ควรตายแทนเขา นั่นถือเป็นเรื่องสมควร จะเอาอะไรกับบาดแผลเพียงเล็กน้อย? แต่งตั้งเป็นหวงกุ้ยเฟยข้าไม่ต่อต้าน แต่เจ้าฟังเรื่องที่เขาเสนอสิ!” 

 

 

ไทเฮาพูดถึงเรื่องน่าโมโห ผ่านไปไม่นานก็ต้องกุมหน้าอกร้องโอดครวญ “ไม่พูดแล้วๆ โมโหจนข้าเจ็บหน้าอกไปหมด! อย่างไรเรื่องนี้ก็ฝันเอาเถิด! คิดว่าเป็นฮ่องเต้สร้างเรื่องวุ่นวายได้ตามใจอย่างไรหรือ? ไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วเขาหลงใหลอะไรนัก สมองถึงได้เลอะเลือนไปเสียแล้ว! แค่ผู้หญิงคนเดียวเท่านั้น คุ้มค่าต้องทำเช่นนี้เชียวหรือ?” 

 

 

ตอนนี้ไทเฮาดูเหมือนลืมไปแล้ว ว่าที่จริงกู้ซีเป็นหญิงสาวจากตระกูลกู้ และไม่คิดว่ากู้ซีถือเป็นหน้าตาของตระกูลกู้อีกด้วย 

 

 

ใช่แล้ว ลูกชายและหลานสาว แน่นอนว่าลูกชายสำคัญกว่า ตระกูลกู้สำคัญกับไทเฮาก็จริง แต่สุดท้ายแล้วก็ยังจัดอยู่อันดับที่สอง สิ่งที่อยู่อันดับแรกยังเป็นแผ่นดิน ลูกชาย และหลาน 

 

 

แน่นอนว่าเหตุผลสำคัญที่สุดก็เพราะกู้ซีทำตัวน่าผิดหวัง ถึงกับกล้าทำเรื่องเช่นนี้ บางทีเรื่องนี้คงไม่ใช่ความคิดของกู้ซี แต่มาถึงตอนนี้กู้ซีกลับไม่ยอมออกหน้ามาพูดอะไรแม้เพียงคำเดียว ไม่ว่าใครก็ต้องคิดมาก 

 

 

ไทเฮาคงจะผิดหวังอย่างมาก 

 

 

“ท่านลุงมีเหตุผลมากพ่ะย่ะค่ะ เขาส่งฎีกาขึ้นมาแล้ว แสดงตนชัดเจนว่าปฏิเสธการแต่งตั้งกู้ซีเป็นหวงกุ้ยเฟย บอกว่ากู้ซีไม่มีลูกชาย ไม่มีผลงาน ไม่น่าเชื่อถือพ่ะย่ะค่ะ” หลี่เย่พูดเรื่องนี้ด้วยต้องการปลอบไทเฮา  

 

 

ถาวจวินหลันแปลกใจเล็กน้อย แต่จากนั้นก็เข้าใจ กู้อวี่จื๋อเป็นคนมีเหตุผล และเป็นคนเข้าใจเรื่องราวอย่างหาตัวจับได้ยาก กู้อวี่จื๋อน่าจะรู้ถึงผลลัพธ์ของเรื่องนี้อย่างชัดเจน ถึงได้ทำเช่นนี้ 

 

 

“น่าเสียดายที่เขาไม่ได้ตบแต่งกับสะใภ้ดี และยิ่งไม่ได้ให้กำเนิดลูกสาวดีอีก” ไทเฮาแค่นหัวเราะ “เรื่องมาถึงตรงนี้แล้ว จะเป็นเช่นนี้ต่อไปก็ดูไม่มีเหตุผล” ไม่ใช่กู้ซีพูดคำพูดนี้ออกมาก็ไม่มีประโยชน์ กลับเหมือนว่าการเสแสร้งแกล้งทำเช่นนี้ทำให้คนไม่ชอบ 

 

 

“ท่านลุงต้องจริงใจเป็นแน่เพคะ” ถาวจวินหลันพูดชื่นชมกู้อวี่จื๋อ “ท่านลุงไม่ได้สอนสั่งกู้ซีมาด้วยตนเอง อย่างไรบิดาก็ไปมาหาสู่กับลูกสาวน้อยกว่า ไฉนเลยจะโทษท่านลุงได้เพคะ? เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น เขาคงคิดไม่ถึงเช่นกันเพคะ”