ประกาศสงคราม โดย Ink Stone_Fantasy
“ว้าว นี่มันสุดยอดจริงๆ เลย” บารอฟลูบหนวดตัวพร้อมอุทานชมเชยออกมา “ที่แท้แม้แต่การวิ่งก็ยังตื่นเต้นได้ขนาดนี้เลยนะเนี่ย!”
“ใช่ ตอนที่เห็นทั้งสามคนวิ่งตีคู่กันขึ้นมา ข้ารู้สึกหัวใจข้าเต้นเร็วมากขึ้นกว่าเดิม” เปโรที่เป็นผู้รับผิดชอบเขตลองซองพูดเสริมขึ้นมา “แต่เสียดายที่สุดท้ายมีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ได้รับตราที่ระลึก น่าเสียดายจริงๆ”
“น่าเสียดายจริงๆ เหรอ?” หัวหน้าสำนักบริหารยิ้มขึ้นมา “คนที่ชนะเป็นนักแข่งจากเขตลองซองนะ ถ้าได้เป็นจุดสนใจของผู้คนนับหมื่นแบบนี้ เป็นข้า ข้าจะมาอีกหลายๆ ครั้งเลย”
“ที่ไหนกันล่ะท่าน คุณซันฟลาวเวอร์ก็แค่โชคดีเท่านั้น ถ้าไม่มีอะไรเหนือความคาดหมายล่ะก็ การแข่งขันกีฬาในวันฉลองชัยปีหน้า ท่านจะต้องสมหวังแน่นอน”
“งั้นเหรอ…ข้ากลัวว่ามันจะเกิดเรื่องเหนือความคาดหมายน่ะสิ”
“ฮ่าๆๆๆ เรื่องที่เกิดบ่อยๆ มันก็ไม่นับว่าเป็นเรื่องเหนือความคาดหมายแล้วล่ะท่าน”
เอ่อ…แม้แต่ผลการแข่งขันก็ยังเอามาพูดเหน็บกันไปมาได้ สองคนนี้เข้ากันได้ดีจริงเชียว โรแลนด์เหลือบมองดูบารอฟกับเปโรที่กำลังคุยกันอย่างถูกคอ ภายในใจก็แอบคิดว่าทั้งสองคนนั้นอายุห่างกันตั้งเกือบยี่สิบปี แต่กลับดูไม่มีช่องว่างระหว่างอายุเลย สมแล้วที่คลุกคลีอยู่ในการเมืองมาหลายปี
เนื่องจากมีคนเข้าเส้นชัยไปแล้ว ทุกคนจึงเริ่มผ่อนคลายลง ด้านหนึ่งก็พูดคุยถึงเรื่องการแข่งขันไป อีกด้านหนึ่งก็รอให้คนที่เหลือเข้าเส้นชัย ต้องยอมรับเลยว่ากีฬาที่ท้าทายขีดจำกัดของมนุษย์เช่นนี้ช่างมีเสน่ห์ต่อมนุษย์เสียจริงๆ
บรรยากาศตรงกลุ่มแม่มดเองก็เป็นแบบนี้เช่นเดียวกัน
เมื่อมองดูเหล่าแม่มดที่เหมือนจะอยากลงไปวิ่งบ้าง โรแลนด์ก็อดยิ้มมุมปากขึ้นมาไม่ได้
การที่ไม่ให้แม่มดเข้าร่วมการแข่งขันก็เป็นเพราะว่าความสามารถที่แตกต่างกันเกินไประหว่างแม่มดกับคนธรรมดา เพื่อที่จะไม่ทำให้คนธรรมดาต้องสูญเสียความมั่นใจ เขาจึงได้กำหนดกฎแบบนี้ขึ้นมา ไม่ใช่แค่แม่มดที่มีพลังเวทมนตร์เท่านั้น แม้แต่แม่มดทาคิลาก็ถูกห้ามลงแข่งด้วยเช่นเดียวกัน แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าอีกไม่นานเขาคงต้องจัดการแข่งขันระหว่างแม่มดขึ้นมาเสียแล้ว
ไม่รู้ว่าตอนที่พวกเธอเอาพลังเวทมนตร์ไปใช้ในการแข่งขัน มันจะกลายเป็นภาพแบบไหน
“การแข่งขันกีฬาในโลกนั้นก็เป็นแบบนี้เหรอเพคะ?” เสียงของอันนาดังขึ้นมาขัดความคิดของเขา “ในช่วงแรกของการแข่งขัน พระองค์ดูเหมือนจะใจลอยอย่างมากนะเพคะ”
“เพราะว่ามันไม่มีผู้บรรยายกับการถ่ายทอดสดน่ะสิ” โรแลนด์อุทานออกมา
“พระองค์ทรงหมายถึงสิ่งที่ทำให้คนสามารถติดตามการแข่งขันได้ตลอดเวลาเหรอเพคะ?” อันนาตาเป็นประกายขึ้นมาทันที “เช่นนั้นมันต้องทำยังไงเหรอเพคะ?”
“เรื่องนี้ถ้าจะอธิบายก็ค่อนข้างซับซ้อนหน่อย” เขายิ้มๆ “เจ้ายังจำโทรทัศน์ที่ข้าเคยพูดถึงได้ไหม…”
ถึงแม้จะไม่มีการบรรยายและการถ่ายทอดสดเหมือนอย่างโลกยุคหลัง แต่การแข่งขันครั้งนี้ก็เรียกได้ว่าสมบูรณ์แบบ เสียงตอบรับจากผู้ชม ความหลากหลายของผู้เข้าแข็งขัน การแข่งขันที่ยอดเยี่ยม ผลการแข่งขันที่เหนือความคาดหมาย ไม่ว่าจะเป็นคาร์เตอร์ที่สวมผ้าคลุมอัศวินหรือว่าชาวโมเกนที่คอสเพลย์เป็นหมาป่าสาวก็ล้วนแต่สามารถกลายเป็นประเด็นให้คนพูดถึงได้
และจากข้อมูลที่บุ๊คได้มาทำให้โรแลนด์รู้ว่าประวัติของซันฟลาวเวอร์ที่เป็นแชมป์นั้นค่อนข้างน่าสนใจทีเดียว เธอเคยเป็นโจรใต้ดินคนหนึ่ง หลังลองซองถูกปลดปล่อย เธอก็กลายเป็นคนส่งจดหมายดีเด่น ทั้งวันต้องวิ่งไปกว่าตามตรอกซอกซอยในเมืองลองซอง และก็ด้วยงานนี้ที่ทำให้เธอสามารถคว้าชัยชนะในการแข่งขันมาได้
ถึงแม้ถ้าพูดถึงเรื่องพละกำลังเพียงอย่างเดียว ซันฟลาวเวอร์จะไม่สามารถเทียบกับอีกสามคนได้เลย แต่ผู้ชนะยังไงก็คือผู้ชนะ ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อเทียบกับผลการแข่งขันนี้แล้ว สิ่งที่โรแลนด์ส่งใจมากกว่าก็คืออิทธิพลของการแข่งขันที่มีต่อประชาชน ซึ่งชัยชนะของซันฟลาวเวอร์นั้นสามารถทำให้ผู้คนคิดไปถึงคำขวัญที่บอกว่าการทำงานนั้นสามารถเปลี่ยนแปลงชะตาชีวิตได้ และนี่ก็คือตัวอย่างที่เมืองเนเวอร์วินเทอร์ต้องการ
….
ในขณะที่ขอบฟ้าถูกย้อมด้วยสีแดง งานแข่งขันกีฬาสมัยแรกก็ใกล้จะปิดฉากลง
ชาวบ้านทยอยกันมารวมตัวกันด้านล่างอัฒจันทร์จนกลายเป็นเหมือนทะเลมนุษย์ ทุกคนต่างเงยหน้ารอคอยพิธีมอบรางวัลที่กำลังจะเริ่ม
แต่สำหรับโรแลนด์แล้ว หลังจากนี้ต่างหากถึงจะเป็นช่วงที่สำคัญที่สุดของการแข่งขันในครั้งนี้
เขายืนขึ้นมาพร้อมพยักหน้าไปทางเอคโค่ ก่อนจะเดินไปยืนอยู่หน้ารั้วของอัฒจันทร์
เมื่อต้องเผชิญหน้าสงครามที่สำคัญก็จำเป็นต้องมีการปลุกใจผู้คน และถ้าคิดจะพูดเมื่อปลุกความเชื่อมั่นในตัวผู้คนขึ้นมา ก็ไม่มีช่วงเวลาจะดีไปกว่าตอนนี้อีกแล้ว
เขาค่อยๆ กวาดตามองดูประชาชน จนกระทั่งภายในพื้นที่เงียบเสียงลง
“ประชาชนทุกคน สิ่งที่พวกเจ้าเพิ่งจะได้เห็นนั้นคือการแข่งขันที่เป็นเหมือนปาฏิหาริย์ ในเวลาเกือบ 4 ชั่วโมง คนจำนวนมากได้อาศัยสองเท้าของตัวเองในการเดินเป็นระยะทาง 28 กิโลเมตร ซึ่งเป็นระยะทางครึ่งหนึ่งของถนนหลวงพอดี”
“บางทีคนที่มาจากที่อื่นอาจจะไม่รู้ถึงความหมายของมัน ในอดีตถ้าอยากจะเดินทางจากป้อมปราการลองซองมายังเมืองชายแดน อย่างน้อยๆ ก็ต้องใช้เวลา 3 วัน อีกทั้งยังต้องเดินทางต่อเนื่องทั้งวันทั้งคืนด้วย ถ้าในตอนนั้นมีคนบอกว่าสามารถอาศัยสองเท้าของตัวเองเดินทางมาถึงที่หมายได้ในเวลาวันเดียว เกรงว่าคงต้องถูกคนอื่นหัวเราะเยาะแน่ แต่ตอนนี้พวกเจ้าก็ได้เห็นคำตอบนั้นด้วยตาตัวเองแล้ว!”
“ไม่ว่าจะเป็นการเปิดภูเขาสร้างถนน หรือว่าการวิ่งโดยไม่หยุด นี่คือผลจากการก้าวข้ามตัวเองครั้งแล้วครั้งเล่าของพวกเจ้า ข้าเชื่อว่าทุกคนคงจะรู้แล้ว ที่จริงคำว่า ‘เป็นไปไม่ได้’ ที่พูดๆ กันมันก็เป็นแค่โซ่ตรวนที่เอาไว้ให้เราทำลาย และการแข่งขันนี้็เป็นหลักฐานยืนยันที่ดีที่สุด!”
ด้านล่างอัฒจันทร์มีเสียงเฮดังกระหึ่มขึ้นมา
โรแลนด์เงียบไปเล็กน้อย ก่อนจะยกมือขึ้นมาบอกให้ทุกคนเงียบลง จากนั้นจึงพูดต่อว่า “ตอนนี้ พวกเรากำลังเผชิญหน้ากับความท้าทายครั้งใหม่ นั่นก็คือปีศาจ ความจริงแล้วสงครามได้ดำเนินมาถึงช่วงเวลาสำคัญแล้ว! หลังจากนี้กองทัพที่หนึ่งจะเคลื่อนพลออกไปยังที่ราบลุ่มบริบูรณ์เพื่อเปิดฉากโจมตีใส่ปีศาจที่เมืองทาคิลาเป็นครั้งที่สอง”
“ศัตรูเหล่านี้โหดร้ายทารุณและกระหายในการฆ่าฟัน เขี้ยวเล็บของพวกมันเคยทำให้อาณาจักรมนุษย์ที่รุ่งเรืองต้องกลายเป็นเศษซากที่เต็มไปด้วยเลือด ผู้บริสุทธิ์จำนวนนับไม่ถ้วนต้องตายด้วยมือพวกมัน โครงกระดูกจำนวนมหาศาลมากพอที่จะเอามาถมจนเต็มเมืองเนเวอร์วินเทอร์กองเกลื่อนกลาดอยู่เต็มพื้น!”
“ดังนั้นพวกเราจึงต้องลุกขึ้นสู้ ก่อนที่หายนะมันจะมาเยือนพวกเรา!”
“พวกเราจะรบกับมันบนพื้นดิน พวกเราจะรบกับพวกมันในทะเล พวกเราจะรบกันมันบนท้องฟ้า เราจะรบจนกว่าจะไม่มีปีศาจเหลืออยู่ แล้วก็ไม่มีพื้นที่ให้ศัตรูของมนุษย์ได้อยู่อาศัยอีก!”
“ข้าดีใจอย่างมากที่ได้เห็นชาวโมเกนมาเข้าร่วมการแข่งขัน แล้วก็ยังมีคนที่จะมาจากฟยอร์ดและอาณาจักรอื่นอีก…นี่หมายความว่าทุกคนได้วางอคติและการแบ่งแยกลง แล้วก็เข้ามาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน และข้ากล้าพูดได้เลยว่าหลังจากนี้เรื่องแบบนี้มันจะกลายเป็นปกติ! สำหรับพวกปีศาจแล้ว เผ่าพันธุ์ อายุ เพศและความเชื่อของมนุษย์ล้วนแต่ไม่มีความหมาย การฆ่าล้างคือสิ่งเดียวที่พวกมันสนใจ ดังนั้นที่ไม่ใช่สงครามของเกรย์คาสเซิลเพียงอย่างเดียวเท่านั้น หากแต่เป็นสงครามของมนุษย์ทุกคนด้วย”
“ประชาชนของข้า ในตอนที่พวกเจ้าหวาดกลัวศัตรู ไม่กล้าที่จะก้าวเดินต่อไปข้างหน้าหรือคิดอยากจะถอยหลัง ขอให้ทุกคนคิดถึงปาฏิหาริย์ในวันนี้เอาไว้ ขอเพียงพวกเจ้าเดินตามความเชื่อและมุ่งมั่นให้ถึงที่สุด สุดท้ายพวกเราก็ต้องได้รับชัยชนะแน่นอน!”
“ตอนนี้ ขอให้ผู้ชนะสิบอันดับแรกก้าวออกมารับเกียรติยศที่พวกเจ้าสมควรจะได้รับ!” โรแลนด์พูดเสียงดัง
เสียงตะโกนโห่ร้องดังสนั่นขึ้นมาเป็นเวลานานไม่ยอมหยุด ก่อนจะหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับแสงอาทิตย์ยามเย็นบนท้องฟ้า
“สมแล้วที่เป็นชีค…” กูเอลส์ที่อยู่ด้านล่างอัฒจันทร์สูดหายใจลึกๆ “พูดซะจนข้าอยากจะใส่ชุดเกราะออกไปรบอีกครั้งเลย” เขามองไปทางโรฮานแล้วพูดว่า “พร้อมจะขึ้นไปรับรางวัลหรือยัง?”
“ท่านพ่อ แต่ว่าข้า…” อีกฝ่ายกัดริมฝีปาก สีหน้าดูเสียใจ
“ไม่ได้เป็นผู้ชนะน่ะเหรอ?” กูเอลส์ยิ้มมุมปากขึ้นมา เขาเอามือขยี้หัวลูกชายตัวเองอย่างแรง “แต่เจ้าก็พยายามเต็มที่แล้วไม่ใช่หรือไง? แค่นั้นมันก็พอแล้ว ไปเถอะ ยืดตัวตรงขึ้นมา ให้ทุกคนได้เห็นความสง่างามของผู้สืบทอดของเผ่าไวลด์เฟลม!”
โรฮานตัวสั่นขึ้นมาเล็กน้อย เขามองดูพ่อของตัวเองเหมือนอยากจะพูดอะไรออกมา แต่สุดท้ายเขาก็เพียงแค่พยักหน้าเท่านั้น
ครั้งนี้ เขาไม่ได้ปิดบังหูแล้วก็หางที่เขาสวมอยู่อีก
ท่ามกลางแสงสีทองที่ทอประกายอยู่บนท้องฟ้า ภาพที่สะท้อนอยู่ในดวงตาของกูเอลส์ก็คือภาพลูกชายที่ดูแข็งแกร่งและมั่นใจ เหมือนกับโลก้าอย่างไรอย่างนั้น