ตอนที่ 761 เจอความขัดแย้งระหว่างทาง โดย ProjectZyphon
คำว่างานประลองใหญ่รวมสำนักนี้ ความจริงนั้นเรียบง่ายมาก นั่นคือการประลองครั้งใหญ่ของขุมอำนาจ ‘สี่สำนักสามตระกูล’ แห่งแคว้นวิญญาณอัคนี
สี่สำนักหมายถึงสำนักยุทธ์พันเวท สำนักกระบี่สนขจี สำนักมุกวิญญาณ และสำนักเร้นปรัชญา
นี่คือสี่สำนักที่มีอิทธิพลยิ่งใหญ่ที่สุดในแคว้นวิญญาณอัคนีแห่งแดนฐิติประจิม ในสำนักมีราชันกึ่งระดับควบคุมดูแล ลูกศิษย์นับไม่ถ้วน มีชื่อเสียงอย่างมากในแคว้นวิญญาณอัคนี
ส่วนสามตระกูลก็คือ สามตระกูลทรงอิทธิพลอย่างตระกูลหลิ่ว เซียวและเวิน
พูดถึงรากฐาน อิทธิพลของสามตระกูลใหญ่ด้อยกว่าสี่สำนักใหญ่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่ยังคงเป็นขุมอำนาจทรงอิทธิพลของแคว้นวิญญาณอัคนี
งานประลองใหญ่รวมสำนักครั้งนี้เริ่มขึ้นโดยสี่สำนักสามตระกูล เป็นการฝึกฝนและแข่งขันที่ให้ผู้ฝึกปราณรุ่นเยาว์เข้าร่วม
สถานที่ก็คือภูเขาโคม่วง
ระยะเวลาคือหนึ่งเดือน
เนื้อหาเรียบง่ายมาก นั่นคือล่าสังหารสัตว์ปีศาจในภูเขาเพื่อช่วงชิงจิตวิญญาณ!
เมื่อผลการทดสอบออกมา ก็จะจัดอันดับตามจำนวนของจิตวิญญาณสัตว์ปีศาจที่ลูกศิษย์แต่ละฝ่ายได้มา
อันดับของลูกศิษย์ยิ่งสูง รางวัลที่จะได้ก็ยิ่งมาก
สำหรับบรรดาลูกศิษย์ที่เข้าร่วมการทดสอบในครั้งนี้ อับดับสูงต่ำไม่เพียงจะได้รับรางวัล ยังเป็นเกียรติยศอย่างหนึ่งด้วย เพียงพอจะทำให้ชื่อเสียงของตนดังไปทั่วทั้งแคว้นวิญญาณอัคนี!
เมื่อได้รู้เรื่องพวกนี้หลินสวินก็พอจะเข้าใจแล้ว เพียงแต่เขาไม่เข้าใจว่า นี่เป็นการทดสอบของผู้ฝึกปราณรุ่นเยาว์จากสี่สำนักสามตระกูล
แล้วซย่าเสี่ยวฉงที่มาจากสำนักยุทธ์กลุ่มดาว ไม่ถือว่าเป็นลูกศิษย์ของเจ็ดขุมอำนาจนี้ เช่นนั้นจะร่วมการทดสอบได้อย่างไร
“อาจารย์ของข้าให้ข้ามาเข้าร่วม ข้าจึงมา” ซย่าเสี่ยวฉงท่าทางดูเลอะเลือนมาก นางเองก็ไม่เข้าใจเรื่องพวกนี้นัก
หลินสวินพูดไม่ออก ในใจกลับเดาได้เป็นส่วนใหญ่ว่า อาจารย์ของซย่าเสี่ยวฉงคงใช้วิธีอะไรสักอย่าง ทำให้ซย่าเสี่ยวฉงได้สิทธิ์เข้าร่วมการทดสอบในครั้งนี้
และการที่อาจารย์ของซย่าเสี่ยวฉงสามารถทำได้ถึงขั้นนี้ แน่นอนว่าต้องไม่ใช่คนธรรมดา
“ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็เป็นตัวแทนเพียงคนเดียวของสำนักยุทธ์กลุ่มดาว ไปประลองกับอีกเจ็ดขุมอำนาจงั้นหรือ”
สีหน้าของหลินสวินดูแปลกพิกลอยู่บ้าง
“อื้ม” ซย่าเสี่ยวฉงพยักหน้า ไม่ได้รู้สึกถึงความผิดปกติอะไร
‘เด็กนี่เป็นหนอนน้อยเลอะเลือนโดยแท้’ หลินสวินยิ้มน้อยๆ
ใครๆ ก็ดูออกว่าในการทดสอบครั้งนี้ ซย่าเสี่ยวฉงไม่มีทางได้ผลลัพธ์ที่ดี ถึงอย่างไรนางก็หัวเดียวกระเทียมลีบ และพลังปราณก็อยู่ในระดับมหาสมุทรวิญญาณขั้นสมบูรณ์เท่านั้น
ส่วนลูกศิษย์ของเจ็ดขุมอำนาจที่เข้าร่วมการทดสอบรวมตัวกันเป็นกลุ่มก้อน และคนที่พลังปราณสูงกว่าซย่าเสี่ยวฉงก็มีไม่น้อย เมื่อเทียบกันแล้วซย่าเสี่ยวฉงเสียเปรียบในการประลองครั้งนี้ตั้งแต่แรกแล้ว
“อาจารย์บอกว่า ขอเพียงแค่ข้าสามารถรวบรวมจิตวิญญาณให้เต็มมุกควบรวมจิตระดับกลางในมือก่อนการทดสอบจะสิ้นสุดลงก็พอแล้ว ตอนแรกข้าคิดว่าง่ายมาก ไม่คิดว่า… ไม่คิดว่า…”
ซย่าเสี่ยวฉงเศร้าใจมาก
‘ดูเหมือนอาจารย์ของนางก็รู้ว่าการประลองในครั้งนี้สร้างความลำบากให้นาง จึงเสนอข้อเรียกร้องต่ำเช่นนี้’
หลินสวินคิดถึงตรงนี้พลันพูดว่า “อีกตั้งสิบวันกว่าการทดสอบจะสิ้นสุด ข้าช่วยเจ้าเอง”
เหนือความคาดหมาย ซย่าเสี่ยวฉงกลับส่ายหน้า “อาจารย์ของข้าบอกว่า เรื่องของตัวเองก็ต้องทำเองเท่านั้น”
หลินสวินอึ้งไป แล้วยิ้มพูด “ได้ งั้นเจ้าตามข้าคงได้นะ”
“ได้แน่นอนอยู่แล้ว”
ซย่าเสี่ยวฉงเงยดวงหน้าเล็กใสซื่อขึ้น เผยรอยยิ้มอย่างเบิกบาน สุกสว่างไร้พิษสง
ภูเขาโคม่วงทอดยาวเหยียดติดต่อกันเป็นพันลี้ เก่าแก่และกว้างใหญ่
จากที่ซย่าเสี่ยวฉงพูด ภูเขาโคม่วงนี่ก็นับว่าเป็นแดนสมบัติที่สมบูรณ์แห่งหนึ่ง เพียงแต่ในป่ามีสัตว์ปีศาจมากมาย และไม่ขาดพวกสิ่งมีชีวิตน่าสะพรึงที่ดุร้าย ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันไม่เคยถูกขุมอำนาจมนุษย์ยึดครอง
ลูกศิษย์ที่เข้าร่วมการทดสอบในครั้งนี้ได้รับคำเตือนตั้งแต่ตอนมาแล้ว ว่าอนุญาตให้ล่าสัตว์ได้เพียงรอบนอกเท่านั้น ห้ามเข้าไปลึก
เพราะในส่วนลึกของภูเขาโคม่วงมีราชันอสูรมารที่แท้จริงยึดครองอยู่ เป็นระดับที่สูงว่าราชันกึ่งระดับ พลังน่าหวาดหวั่นยิ่ง
‘มิน่าตลอดทางจึงไม่เจอสัตว์ปีศาจเลย ต้องถูกพวกลูกศิษย์สำนักอื่นที่เข้าร่วมการทดสอบฆ่าไปหมดแล้วแน่…’
หลินสวินเพิ่งจะฉุกคิดขึ้นได้ อีกทั้งระหว่างทางเขาเห็นร่องรอยการต่อสู้อยู่บ้าง มีคราบเลือดของสัตว์ปีศาจอสูรมารและซากศพระเกะระกะ
“เจ้าเดินหน้าต่อไปเช่นนี้ไม่มีทางล่าเหยื่อได้หรอก”
หลินสวินอดเตือนไม่ได้
“หา?”
ซย่าเสี่ยวฉงอึ้ง ดวงหน้าเล็กงามเต็มไปด้วยความงงงวย
“เลอะเลือนจริงๆ เลย…”
หลินสวินกุมหน้าผากถอนหายใจเบาๆ ยัยหนูคนนี้ช่างเป็นพวกมองโลกในแง่ดี ไร้ความกังวล ไม่มีอุบายอย่างแท้จริง
“ไป ข้าจะพาเจ้าไปหาสัตว์ปีศาจ”
หลินสวินตัดสินใจนำทาง
“แต่ท่านรู้ได้อย่างไรว่าล่าสัตว์ไม่ได้” ซย่าเสี่ยวฉงรีบตามขึ้นมา ถามเหมือนเป็นเจ้าหนูขี้สงสัย
“เหตุผลง่ายมาก ระหว่างทางเจ้าก็เห็นว่ามีซากศพและคราบเลือดของสัตว์ปีศาจไม่น้อย นี่เป็นการยืนยันว่ามีคนมากมายลงมือก่อนหน้าเราแล้ว ตามหลังพวกเขาไป เจ้าคิดว่าจะยังล่าสัตว์ปีศาจได้อีกหรือ” หลินสวินอธิบายอย่างใจเย็น
“ที่ท่านพูดมีเหตุผลมากเลย สุดยอดจริงๆ!” ดวงตาคู่โตสดใสของซย่าเสี่ยวฉงทอประกาย ชื่นชมอย่างมาก
หลินสวินร้องไห้ไม่ได้หัวเราะไม่ออก แค่นี้สุดยอดที่ไหนกัน ขอเพียงเป็นผู้ฝึกปราณที่มีประสบการณ์หน่อย แวบเดียวก็ดูออกแล้ว
เห็นได้ชัดว่าซย่าเสี่ยวฉงเป็นเด็กสาวไร้เดียงสาไม่รู้ความ และที่ผ่านมาคงไม่เคยเจอเรื่องแบบนี้
ระหว่างพูด หลินสวินก็เร่งความเร็วมุ่งหน้าไป
ไม่นานตรงหน้าเทือกเขาสูงชันที่อยู่เบื้องหน้าก็มีเสียงต่อสู้ดังออกมา ฟังดูดุเดือดอย่างมาก แสงสมบัติเป็นประกายเปี่ยมล้น
หนุ่มสาวกลุ่มหนึ่งกำลังกระตุ้นสมบัติ ปิดล้อมโจมตีแรดทองทลายเกราะสามตัวอย่างดุเดือดมาก
แรดทองทลายเกราะรูปร่างคล้ายช้างยักษ์ รอบกายปกคลุมด้วยเกล็ดสีทองอร่าม ระหว่างที่ทะยานตัว หินภูเขาสั่นสะเทือนต้นไม้ถล่ม ดุร้ายยิ่ง หากพูดถึงพลัง ย่อมไม่ด้อยไปกว่าผู้แข็งแกร่งระดับหยั่งสัจจะ
“ที่แท้ก็เป็นพวกเขา”
หลินสวินจำได้ทันที หนุ่มสาวกลุ่มนั้นคือกลุ่มที่ได้เจอกันก่อนหน้านี้ มาจากสำนักมุกวิญญาณ หนึ่งในสี่สำนักใหญ่แห่งแคว้นวิญญาณอัคนี ชายหนุ่มที่เป็นหัวหน้าชื่อโม่เฟิง เป็นคนโดดเด่นที่อยู่ในระดับหยั่งสัจจะขั้นสูง
“ทางนี้”
หลินสวินคิดๆ แล้วเปลี่ยนเส้นทาง พาซย่าเสี่ยวฉงออกไปหมายจะอ้อมบริเวณนี้
โฮก!
เพียงแต่ในสนามรบที่ห่างออกไปเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นฉับพลัน จู่ๆ แรดทองทลายเกราะตัวหนึ่งก็คำรามอย่างเดือดดาล พุ่งตัวออกจากการปิดล้อมแล้ววิ่งมาทางพวกหลินสวิน
แทบจะในเวลาเดียวกัน ในลานมีเสียงคำรามอย่างเกรี้ยวโกรธ ลูกศิษย์สำนักมุกวิญญาณหลายคนตามมาลงมืออย่างเต็มกำลัง หมายจะหยุดแรดทองทลายเกราะนั่น
ตู้ม!
แสงสมบัติหลากสีพรั่งพรู โหมกระหน่ำราวกับกระแสน้ำ
หลินสวินหรี่ตา ความเย็นเยียบแวบผ่านหว่างคิ้ว เขากับซย่าเสี่ยวฉงยืนอยู่ในทิศทางนี้พอดี เดิมทีคิดว่าจะหลบหลีกไป
แต่ตอนนี้กลับไม่สามารถหลบได้แล้ว ยามลูกศิษย์สำนักมุกวิญญาณลงมือนั้น หยิ่งผยองไร้ความกลัว ปกคลุมพื้นที่แห่งนี้เอาไว้ จะหลบได้อย่างไร
หากไม่ได้ตั้งใจก็ช่างเถอะ สิ่งที่ทำให้หลินสวินขมวดคิ้วคือ เห็นได้ชัดว่าบรรดาลูกศิษย์สำนักมุกวิญญาณเองก็เห็นเขากับซย่าเสี่ยวฉง แต่กลับดื้อดึงเลือกจะลงมือ ท่าทีนี้มีปัญหามาก!
“อ๊าก…”
ซย่าเสี่ยวฉงกรีดร้อง เห็นได้ชัดว่าการตอบสนองของนางช้าไปก้าวหนึ่ง ตอนที่พบความผิดปกติ พลันเห็นแรดทองทลายเกราะตัวนั้นกำลังพุ่งเข้ามาอย่างรุนแรง พละกำลังดุดันน่าหวาดหวั่น
และด้านหลังก็มีการโจมตีที่มืดฟ้ามัวดินปกคลุมราวกับกระแสน้ำกระหน่ำ…
สวบ!
สุดท้ายหลินสวินก็อดกลั้น ลงมืออย่างรวดเร็ว คว้าแขนซย่าเสี่ยวฉงแล้วใช้ก้าวย่างชือน้ำแข็งหายไปจุดเดิม ไปอยู่ด้านหลังทันที
ตู้ม!
แทบจะในเวลาเดียวกัน ภายใต้การโจมตีที่ปกคลุมฟ้า ท้ายที่สุดแรดทองทลายเกราะนั่นก็หนีไม่พ้น ถูกสังหารคาที่ สุดท้ายศีรษะล้มลงในตำแหน่งที่ห่างจากหลินสวินไม่ถึงจั้ง ร่างอันใหญ่ยักษ์ทรุดล้มลงพื้น เลือดสดไหลพรู
ฟิ้ว!
พร้อมกันนั้นลูกศิษย์สำนักมุกวิญญาณคนหนึ่งก็พุ่งเข้ามา งัดมุกควบรวมจิตสีฟ้าอ่อนเม็ดหนึ่งออกมากวาดเบาๆ รุ้งศักดิ์สิทธิ์สีฟ้าจางม้วนตัวออกมา
พลันเห็นในศพแรดทองทลายเกราะ ภาพมายาจิตวิญญาณกลุ่มหนึ่งถูกสูบออกมา ม้วนตัวเข้าไปในมุกควบรวมจิตเม็ดนั้น
“โอ้ เสี่ยวฉงจื่อจากสำนักยุทธ์กลุ่มดาวอีกแล้ว ฮ่าๆๆ ดูหน้าเล็กๆ ของเจ้าสิ ตกใจจนซีดเซียวหมดแล้ว ไม่เคยเห็นภาพนองเลือดเช่นนี้มาก่อนล่ะสิ”
ลูกศิษย์สำนักมุกวิญญาณคนนั้นเก็บมุกควบรวมจิต พอเห็นซย่าเสี่ยวฉงก็พลันส่งเสียงหัวเราะเกรียว สีหน้ายั่วโทสะเต็มประดา
“ข้าไม่กลัวเสียหน่อย” ซย่าเสี่ยวฉงเงยหน้าขึ้นพูดเสียงดัง
แต่หลินสวินกลับขมวดคิ้วพูด “สหาย เจ้าไม่รู้สึกว่าควรขอโทษพวกเราหรือ”
“ขอโทษหรือ”
ลูกศิษย์สำนักมุกวิญญาณคนนั้นใช้มือแคะหู ท่าทางดูประหลาดใจ “แล้วเจ้าเป็นใคร มีสิทธิ์อะไรมาให้ข้าขอโทษ”
ตอนนี้แรดทองทลายเกราะอีกสองตัวก็ถูกฆ่าแล้ว จิตวิญญาณถูกสูบออกมา โม่เฟิงนำบรรดาลูกศิษย์สำนักมุกวิญญาณเข้ามาใกล้
“มีอะไรรึ” โม่เฟิงถาม
“เจ้าหมอนี่บอกให้พวกเราขอโทษ ข้ากำลังสงสัยว่าสมองเขาเพี้ยนหรืออย่างไร ถึงได้พูดจาตลกเช่นนี้” ลูกศิษย์สำนักมุกวิญญาณยิ้มพูด
“ขอโทษงั้นหรือ” โม่เฟิงเลิกคิ้ว “ฮ่าๆ สหายคนนี้เข้าใจผิดหรือเปล่า เราล่าสังหารสัตว์ปีศาจอยู่ที่นี่ แต่ไม่เคยล่วงเกินเจ้าเลยนะ”
“พูดเช่นนี้ พวกเจ้ากล้าทำไม่กล้ารับงั้นหรือ”
หลินสวินถามนิ่งๆ เมื่อครู่นี้หากเขาไม่อยู่ข้างๆ แม้ซย่าเสี่ยวฉงจะหลบการจู่โจมของแรดทองทลายเกราะพ้น ก็ไม่รอดการโจมตีของลูกศิษย์สำนักมุกวิญญาณเหล่านั้น
แต่ตอนนี้แค่ให้ขอโทษเท่านั้น เจ้าหมอนี่กลับไม่ยอมรับ!
“เหอะๆ สหาย ดูเหมือนว่าเจ้าจะมีปัญหากับพวกเรามาก” ประกายเย็นเยียบแวบผ่านในตาของโม่เฟิง
สีหน้าของลูกศิษย์สำนักมุกวิญญาณคนอื่นๆ ก็ดูไม่เป็นมิตรขึ้นมา
เด็กหนุ่มที่ดูไม่คุ้นหน้ามากๆ คนหนึ่งเท่านั้น กลับกล้าพูดจาเช่นนี้กับพวกเขา หรืออยากรนหาที่ตาย
กลับเห็นหลินสวินพูดสบายๆ “คงไม่ถึงกับมีปัญหา เพียงต้องการคำอธิบายก็เท่านั้น ในเมื่อพวกเจ้าไม่ยอมขอโทษงั้นก็ไม่เป็นไร เสี่ยวฉง พวกเราไปกันเถอะ”
พูดถึงตรงนี้เขาก็พาซย่าเสี่ยวฉงหมุนตัวเดินไป
นี่เหนือความคาดหมายของพวกโม่เฟิง คิดไม่ถึงเลยว่าหลินสวินที่มีท่าทีแข็งกระด้างขนาดนั้น ทำไมตอนนี้จู่ๆ กลับ ‘ขี้ขลาด’ ซะแล้ว
“ฮ่าๆๆ ข้างนอกสุกใสข้างในเป็นโพรง ภายนอกดูเข็มแข็ง แต่ภายในจิตใจกลับขี้ขลาดตาขาว ที่แท้เจ้าหมอนี่เพียงฝืนขู่ขวัญตบตา อ่อนหัดเกินไปแล้ว”
ทันใดนั้นเหล่าศิษย์สำนักมุกวิญญาณต่างหัวเราะเกรียวกราวขึ้นมา คิดว่าหลินสวินถอยเพราะกลัว
ลูกศิษย์หญิงคนหนึ่งยิ่งส่ายหน้าพูดอย่างผิดหวัง “คิดไม่ถึงเลย ภายนอกของเขาดูไม่ธรรมดา ที่แท้กลับเป็นแค่คนขี้ขลาด หากเมื่อครู่นี้เขาสู้สักหน่อย บางทีข้าอาจจะนับถือเขาสักสามส่วน แต่ตอนนี้ดูแล้วเจ้าหมอนี่ก็เหมือนเสี่ยวฉงจื่อ ขี้ขลาดใจปลาซิว น่ามองแต่ไร้ประโยชน์”
“คนแบบนั้นไม่มีค่าให้สนใจ เรารีบลงมือกันเถอะ”
โม่เฟิงยิ้มเยาะส่ายหน้า ก่อนหน้านี้เขาดูตื้นลึกหนาบางของหลินสวินไม่ออกนัก ในใจจึงระแวงอยู่บ้าง แต่ตอนนี้เมื่อเห็นหลินสวินอดทนอดกลั้นพาซย่าเสี่ยวฉงออกไป เขาก็ตระหนักได้ว่าตนคิดมากไป
เด็กหนุ่มที่มั่วสุมอยู่กับซย่าเสี่ยวฉง จะเป็นคนที่เก่งกาจอะไรได้
…………………