บทที่ 736 ขุนนางที่อยู่ใต้กระโปรง

องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ

องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ บทที่ 734 ขุนนางที่อยู่ใต้กระโปรง

แม่ทัพฉีจำสิ่งที่อวิ๋นจิ่นพูดไม่ได้จริง ๆ ดังนั้นเขาจึงมองอวิ๋นจิ่นอย่างเหม่อลอย

อวิ๋นจิ่นกล่าวว่า:“ในเวลานั้นท่านแม่ทัพยังหนุ่ม สำหรับอวิ๋นจิ่นแล้ว ยัวไม่รู้ว่าความชอบคืออะไร แต่เมื่ออวิ๋นจิ่นโตขึ้น สิ่งเดียวที่อวิ๋นจิ่นต้องการคือการได้พบกับท่านแม่ทัพฉี แม้ว่าเป็นเพียงการมองก็ตาม

อวิ๋นจิ่นไม่ได้คิดเลยเถิด แต่เมื่ออวิ๋นจิ่นได้ยินว่าท่านแม่ทัพกำลังจะจากไป อวิ๋นจิ่นก็กลัวว่าท่านแม่ทัพจะไม่กลับมา”

“เจ้ายังเป็นเด็ก อย่าพูดจาเหลวไหล ในสายตาของข้าแล้ว เจ้าก็เป็นเหมือนเช่นอวิ๋นอวิ๋น ทำไมเจ้าถึงได้เลอะเลือนเช่นนี้ เจ้ารีบลุกขึ้นมา”

แม่ทัพฉีโกรธ นี่ไม่ใช่เรื่องเหลวไหล

ฉีเฟยอวิ๋นและหนานกงเย่ยืนดูอยู่ไม่ไกล หนานกงเย่ประหลาดใจ:“คนที่อวิ๋นจิ่นชอบคือท่านพ่อตา?”

“อืม” ฉีเฟยอวิ๋นไม่รู้สึกอะไร

หนานกงเย่แปลกใจ:“เหตุใดเจ้าถึงไม่แปลกใจเลยแม้แต่น้อย?”

“หม่อมฉันรู้เรื่องนี้มานานแล้วเพคะ มีอะไรน่าแปลกกัน?”

“เจ้ารู้มานานแล้วว่าอวิ๋นจิ่นชอบท่านพ่อตา?”

“ไปกันเถอะเพคะ” ฉีเฟยอวิ๋นดึงหนานกงเย่ออกไป และไม่นานอวิ๋นจิ่นก็ออกมา ในขณะนี้ทั้งสองรออยู่บนม้าแล้ว ตอนที่แม่ทัพฉีออกมา ใบหน้าของเขาดูไม่ค่อยน่ามองมากนัก อวิ๋นจิ่นเดินตามหลังมาและร้องไห้เหมือนคนเจ้าน้ำตา

หนานกงเย่นั่งลงบนรถม้าและโอบฉีเฟยอวิ๋นไว้ด้วยความประหลาดใจ:“อวิ๋นจิ่นชอบอะไรท่านพ่อตานะ?”

ฉีเฟยอวิ๋นไม่สบอารมณ์:“ท่านพ่อของหม่อมฉันดีทุกอย่าง มีตรงไหนไม่น่าชอบกัน?ในตอนนั้นท่านพ่อของหม่อมฉันยังหนุ่ม และมีหลายคนที่ชอบท่านพ่อของหม่อมฉัน”

“……”

แม่ทัพฉีขึ้นไปบนม้าและจากไปก่อน หนานกงเย่ตามหลังไป และหลังสุดก็คือเฟิงอู๋ชิงและอู๋ซัง

ครั้งนี้พวกเขาไปด้วยกันห้าคน แม้กระทั่งอาอวี่ก็ไม่ได้ไป

เมื่อเห็นว่าทุกคนจากไปแล้ว อวิ๋นจิ่นจึงกลับเข้าไป

ระหว่างทางในตอนกลางคืน ฉีเฟยอวิ๋นง่วงนอน หนานกงเย่จึงให้นางอยู่ข้างหลัง เขาห่อตัวนางด้วยเสื้อคลุมและผูกติดไว้กับตัวเอง จากนั้นก็เดินทางต่อไป

ม้าของพวกเขาเดินทางหลายพันลี้ต่อวัน และเดินทางตลอดทั้งคืน หลังจากผ่านไปครึ่งค่อนวันก็หาที่พักสองชั่วยาม แล้วเดินทางต่อไป

หารเดินทางครั้งนี้มีคนของเฟิงอู๋ชิงคอยเปิดทางให้อยู่ข้างหน้า และผ่านไปได้อย่างราบรื่น ไม่ทันได้พบนักฆ่า พวกเขาก็ถูกกวาดล้างไปเสียแล้ว

คนของหอทิงเฟิงกวาดล้างข่าวของชาวยุทธภพที่แพร่กระจายออกไปในทันที และยุทธภพก็สั่นสะเทือน

ได้ยินมานานแล้วว่าเฟิงอู๋ชิงทำเรื่องที่แปลกประหลาด และสามารถสังหารได้อย่างรวดเร็ว อยู่ที่ว่าเขาพอใจหรือไม่ ดังนั้นจึงได้ยินมาว่าเฟิงอู๋ชิงฆ่าคนมาแล้วนับไม่ถ้วน ไม่มีใครออกมาหยุดเขาและไม่กล้าถาม

ไม่กี่วันต่อมา พวกเขาก็มาถึงชายแดนของแคว้นเฟิ่ง

เพื่อที่จะได้ไม่ดึงดูดความสนใจเมื่อเข้าไปในแคว้นเฟิ่ง และฉีเฟยอวิ๋นสามารถติดตามทุกคนได้อย่างง่ายดาย นางจึงเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชาวแคว้นเฟิ่งและเข้าไปข้างใน

ระหว่างที่เข้าไปในแคว้นเฟิ่งก็ได้ยินเรื่องราวมากมาย และฉีเฟยอวิ๋นก็ได้ยินมาว่าจักรพรรดินีแห่งแคว้นเฟิ่งเป็นผู้ที่ชอบความอิสระ ผู้คนในท้องตลาดต่างก็รู้เรื่องนี้ดี

แต่บางคนก็บอกว่าจักรพรรดินีเป็นจักรพรรดิที่ดีคนหนึ่ง ดูแลปกครองบ้านเมืองและประชาชนเป็นอย่างดี และยังก่อตั้งแคว้นเฟิ่งจนเจริญรุ่งเรืองมาเป็นเวลาร้อยปีแล้ว

ดังนั้นผู้คนในแคว้นเฟิ่งจึงสนับสนุนจักรพรรดินี

ในแคว้นเฟิ่ง แม้ว่าสตรีจะเป็นจักรพรรดิ แต่บุรุษและสตรีล้วนเป็นที่ปรึกษาอยู่นอกแคว้น แต่สตรีมีสถานะที่สูงกว่าเมื่ออยู่ในแคว้นเฟิ่ง ตำแหน่งบรรดาศักดิ์ในตระกูลจะส่งต่อไปยังสตรี ไม่ใช่บุรุษ กล่าวอีกนัยหนึ่งคือสตรีในแคว้นเฟิ่งได้รับการปฏิบัติอย่างสูงส่ง แต่บุรุษนั้นไม่มี

เมื่อมาถึงเมืองหลวงของแคว้นเฟิ่ง ฉีเฟยอวิ๋นก็ตามเฟิงอู๋ชิงและคนอื่น ๆ เข้าไปพักที่โรงเตี๊ยม เมื่อคนสี่คนเข้ามาที่หน้าประตู เสี่ยวเอ้อร์ก็คิดว่านางเป็นเจ้านายและถามนางว่า:“ลูกค้า เอากี่ห้องขอรับ?”

“สองห้อง” หนานกงเย่ไม่ยอม

เสี่ยวเอ้อร์ตกใจและกล้ำกลืน คนผู้นี้พูดจาเสียงดังมาก

“เช่นนั้นจะพักอย่างไร?” เสี่ยวเอ้อร์รับผิดชอบเรื่องการเข้าพัก ช่างเถอะ เขาเพียงแค่อยากรู้เท่านั้น

ฉีเฟยอวิ๋นกล่าวอย่างราบเรียบว่า:“เขาเป็นสามีของข้า และที่เหลือก็เป็นคนในครอบครัวของข้า พวกเขาพักอยู่ในห้องเดียวกัน และพวกเราก็พักอยู่ห้องเดียวกัน”

เสี่ยวเอ้อร์เหลือบมองไปที่หนานกงเย่ หน้าตาก็ดี แต่อารมณ์ร้ายไปหน่อย

“ได้ขอรับ ตามข้ามา”

เสี่ยวเอ้อร์พาพวกเขาไปที่ชั้นสองของโรงเตี๊ยม

หลังจากเข้าไปในห้องแล้ว ฉีเฟยอวิ๋นก็ถามว่า:“เหนื่อยหรือไม่เพคะ?”

“ข้าปวดกระดูก บีบนวดหน่อย!”

หลังจากที่พูดจบแล้ว หนานกงเย่ก็นอนลง และฉีเฟยอวิ๋นก็ไปบีบกระดูกให้หนานกงเย่ เขาแบกนางและกอดนางไว้ตลอดทาง เป็นเรื่องปกติที่จะต้องเหนื่อย

ในขณะที่ฉีเฟยอวิ๋นกำลังบีบนวดให้หนานกงเย่ เสี่ยวเอ้อร์ที่อยู่หน้าประตูก็มองเข้ามาตามรอยแยกของประตู สีหน้าของหนานกงเย่ทรุดตัวและมองไปที่ประตู เสี่ยวเอ้อร์ตกใจกลัวและรีบเดินออกไป

ฉีเฟยอวิ๋นไม่สนใจ นางจึงเทน้ำและเช็ดตัวให้หนานกงเย่ หนานกงเย่พอใจมาก เขากอดฉีเฟยอวิ๋นและนอนหลับไป

ในตอนกลางคืนมีคนมาเยี่ยมเยือน หนานกงเย่ลืมตาขึ้นและฉีเฟยอวิ๋นก็ตกใจตื่น มีหลายสิ่งหลายอย่างเกิดขึ้นระหว่างทาง

แม้ว่าในห้องจะมืด แต่มีคนยืนอยู่ตรงข้าม ชายชุดดำก้มตัวลงเล็กน้อย:“คารวะนายท่าน”

“เฟิงเอ๋อร์?”

ในขณะนี้หนานกงเย่นึกขึ้นได้แล้ว ผ้าห่มถูกดึงออกไป เขานั่งลงบนขอบเตียง เดิมทีเขาไม่ได้ถอดเสื้อผ้าอยู่และลุกขึ้น

แต่ฉีเฟยอวิ๋นถอดเสื้อคลุมออก เมื่อได้ยินว่าเป็นผู้หญิง นาก็ไม่ได้กังวลมากนัก นางหยิบเสื้อผ้ามาสวม และยืนอยู่ข้าง ๆ หนานกงเย่ด้วยความงุนงง

เฟิงหลงมองผู้หญิงที่อยู่ข้างหลังหนานกงเย่ ราวกับว่ามองโสเภณีคนหนึ่ง ผู้หญิงเช่นนั้นจะหลบอยู่หลังผู้ชาย และเพียงแค่มานอนด้วยเท่านั้น

สตรีในแคว้นเฟิ่งมีเกียรติมาก และในนั้นก็รวมถึงเฟิงหลงด้วย

“นายท่าน ท่านมาที่นี่ เฟิงเอ๋อร์ไม่ได้ไปต้อนรับ เป็นเฟิงเอ๋อร์ที่สะเพร่า เฟิงเอ๋อร์มีจวนอยู่ที่นี่ เชิญนายท่านไปที่นั่น”

หนานกงเย่กล่าวว่า:“ไม่จำเป็น อยู่ที่นี่ก็เหมือนกัน เรื่องของจักรพรรดินีแห่งแคว้นเฟิ่งที่ข้าให้เจ้าไปสืบ เจ้าสืบชัดเจนแล้วหรือไม่?”

เฟิงหลงกล่าวว่า:“สืบแล้วเจ้าค่ะ นางออกไปเมื่อสิบเจ็ดปีก่อน และในอีกหนึ่งปีต่อมาก็กลับมาขึ้นครองราชย์ หลังจากขึ้นครองราชย์แล้ว นางก็ดูแลปกครองบ้านเมืองและประชาชนเป็นอย่างดี แต่นางเป็นจักรพรรดินีที่ชอบความอิสระ และเป็นจักรพรรดินีที่ชอบความอิสระมากกว่าจักรพรรดินีองค์ก่อน ๆ จึงมีข่าวลือว่านางแย่งชิงสามีของผู้อื่นเข้าไปในวังและแต่งตั้งให้เป็นขุนาง”

ฉีเฟยอวิ๋นจับแขนของหนานกงเย่ จริง ๆ แล้วข่าวลือก็ไม่ค่อยดีนัก

แต่ในเมื่อสามารถให้กำเนิดเจ้าของร่างเดิมได้ ฉีเฟยอวิ๋นเชื่อว่าข่าวลือนี้ต้องเป็นการเข้าใจผิด

“นายท่าน เชิญไปที่เฟิงเอ๋อร์เถอะเจ้าค่ะ เฟิงเอ๋อร์ไม่ได้พบนายท่านมานานหลายปีแล้ว และคิดถึงนายท่านมาก คืนนี้ให้เฟิงเอ๋อร์ได้อยู่เป็นเพื่อนนายท่าน”

“……”

เมื่อเฟิงเอ๋อร์เอ่ยปาก ในสมองของฉีเฟยอวิ๋นมีช่องว่าง หญิงผู้นี้ช่างบังอาจนัก

สีหน้าของหนานกงเย่ทรุดลง แม้ว่าจะอยู่ในความมืด แต่ความเยือกเย็นบนร่างกายของเขายัคงกระจัดกระจายไปทั่วห้อง

“เฟิงหลง!” น้ำเสียงของหนานกงเย่เย็นชา เฟิงหลงก็คุกเข่าลงในทันที

“นายท่าน ไม่ทราบว่าเฟิงเอ๋อร์ผิดตรงไหนหรือเจ้าคะ?”

“ข้ารู้ว่าสตรีในแคว้นเฟิงมีเกียรติ สตรีมีอำนาจมาก และเมื่อชอบบุรุษผู้ใดก็สามารถนำกลับไปได้ ขอเพียงแค่บุรุษผู้นั้นพยักหน้า แต่ข้าเป็นคนของแคว้นต้าเหลียง และไม่มีวันเห็นเจ้าอยู่ในสายตา เจ้าไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงมากเกินไปแล้ว”

ทันใดนั้นหนานกงเย่ก็เย็นชามากยิ่งขึ้น เฟิงหลงก้มหน้าลง:“นายท่าน แต่สตรีผู้นี้ดีกว่าเฟิงเอ๋อร์ตรงไหน?”

“เฟิงหลง เจ้าอยู่ในแคว้นเฟิ่งมานานแล้ว และไม่รู้เรื่องของข้าเลยแม้แต่น้อย เจ้าเห็นว่าข้าเป็นคนที่คอยปรนนิบัติเจ้าหรือ?”

“เฟิงเอ๋อร์มิกล้า เฟิงเอ๋อร์เพียงต้องการปลอบประโลมความคิดเท่านั้น”

“ช่างเป็นการปลอบประโลมที่ดียิ่งนัก ข้าคิดว่าข้าเป็นขุนนางที่อยู่ใต้กระโปรงของเจ้าเสียแล้ว?”

หนานกงเย่ขยับเท้า มีกาน้ำชาและถ้วยชาสองใบวางอยู่บนเก้าอี้ข้างเตียง ถ้วยชาใบหนึ่งพุ่งออกไปชนกับหน้าผากของเฟิงหลง จนเฟิงหลงล้มลง

ฉีเฟยอวิ๋นตกตะลึง การลงมือครั้งนี้โหดเหี้ยมมากเกินไป ถึงอย่างไรก็เป็นคนของตนเอง ทำไม?