ตอนที่ 969 เขี้ยวดำน้อย

Apocalypse Meltdown โลกาวินาศล่มสลาย

ท่าทางขัดเขินของเจียงเหว่ยทำให้หลายคนหัวเราะออกมาเสียงดังอย่างไม่คิดรักษามารยาทอีกต่อไปความกดดันในใจของเจียงเหว่ยยิ่งพุ่งขึ้นสูงทะยานฟ้า เหมิงชีเหว่ยเป็นคนที่หัวเราะเสียงดังสุด ในใจของเขานั้นยินดีเหลือเกินเพราะหน่วยข่าวกรองลับของเขานั้นที่คือคนที่ทำงานลับใต้ดินมาตลอด ไม่เคยได้รับความชื่นชมหรือชื่อเสียงแต่ที่จริงแล้วพวกเขาคือรากฐานสำคัญที่สร้างอำนาจให้กับชูฮันและเขี้ยวหมาป่า และเขาคือคนที่ฝึกฝนลูกน้องทั้งหมดที่คอยสร้างผลงานยอดเยี่ยมตลอดระยะเวลายาวนาน
  ชูฮันเองก็ยิ่งภูมิใจที่หน่วยข่าวกรองลับพัฒนาความเก่งกาจที่แสนจะพิเศษขึ้นมาได้มากขนาดนี้เขารู้ดีว่าเป็นเพราะเหมิงชีเหว่ย ชูฮันตบมือหนึ่งครั้งทำให้ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบทันที จากนั้นก็แสร้งทำเป็นล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าราวกับหาบางอย่าง หากแท้จริงแล้วคือเขากำลังล้วงเข้าไปในประตูมิติและหยิบกริชสีดำด้านออกมา
  ในตอนที่กริชถูกชักออกมามันก็ดึงดูดสายตาของทุกคนภายในห้องทันที เกิดเสียงร้องอุทานตกใจดังไล่ตามกันมา เหล่าทหารทีมความลับของพระเจ้านั้นคุ้นเคยกับกริชที่ชูฮันหยิบขึ้นมาตรงหน้าดีกว่าใคร
  มันคือกริชสีดำด้านรูปลักษณ์เรียบง่าย โครงสร้างที่แสนจะธรรมดา แต่ตัวใบมีดสีดำสนิทของมันกลับสะท้อนความเย็นชาออกมา ทำให้คนที่เห็นนั้นรู้สึกเสียววูบและรับรู้ได้ดีถึงความคมกริบของมัน
  เหมิงชีเหว่ยที่เห็นชูฮันชักกริชเล่มนี้ออกมาก็เอ่ยขึ้นอย่างตื่นเต้น”หัวหน้า นี้คือกริชที่อาจารย์หลูฮงเชิงตีขึ้นมาที่ค่ายเขี้ยวหมาป่าใช่มั้ยครับ?”
  ชูฮันควงกริชในมืออยู่ครู่หนึ่งสบตากับเจียงเหว่ย “แล้วถ้านี้…คือเป็นรางวัลล่ะ?”
  เจียงเหว่ยกระพริบตาปริบๆในใจกรีดร้องสุดโต่ง ภาพที่เกิดขึ้นทำให้เหล่าทหารทีมความลับของพระเจ้าทั้งหลายได้แต่ส่งสายตาอิจฉามายังเจียงเหว่ยเป็นตาเดียว
  มีหรือที่ทุกคนจะไม่รู้ที่มาของกริชเล่มนี้หลูฮงเชิงที่ทำคะแนน S+ ได้ในการประเมิณพิเศษระยะ 2 ของเสาหินทำให้ชื่อเสียงของหลูฮงเชิงโด่งดังไปทั่ว
  หลายคนพยายามจะติดต่อหลูฮงเชิงเป็นการส่วนตัวอย่างลับๆเพื่อว่าจ้างให้หลูฮงเชิงผลิตอาวุธขึ้นให้เนื่องจากหลูฮงเชิงนั้นเป็นลูกศิษย์ของคนที่สร้างขวานซิ่วโหลของชูฮัน มันเป็นเรื่องที่รู้กันในค่ายเขี้ยวหมาป่า ตลอดหลายเดือนที่ผ่านมาตั้งแต่หลูฮงเชิงมาที่ค่ายเขี้ยวหมาป่าทุกคนต่างต้องการให้เขาผลิตอาวุธให้ตัวเองกันทั้งนั้น
  ตั้งแต่นั้นมาหลูฮงเชิงได้เปิดร้านขายอาวุธของเขาเองขึ้นในเมืองโรแมนติกซึ่งจัดตั้งโดยชูฮัน อาวุธในร้านถูกขายในราคาสูงลิ่ว หากตัวหลูฮงเชิงไม่เคยปรากฏตัวให้ใครเห็น ไม่เคยไปที่ร้าน อีกทั้งอาวุธทั้งหมดที่ขายในร้านเป็นผลงานคือเหล่าลูกศิษย์ที่หลูฮงเชิงกำลังสอนวิชาให้อยู่ ทั้งๆที่หน้าตาของอาวุธทุกนั้นแสนจะธรรมดาและไม่มีชิ้นไหนที่ผลิตขึ้นจากมือของหลูฮงเชิงเองเลยแต่มันกลับถูกขายในราคาสูงลิ่ว
  ถึงกระนั้นคนพวกนั้นก็ยินยอมที่จะใช้เงินจำนวนมากเพื่อซื้ออาวุธที่ทำจากเศษเหล็กเศษทองแดงพวกนี้เพื่อที่จะหาโอกาสในการขอร้องให้หลูฮงเชิงผลิตอาวุธจากมือให้
  ดังนั้นในตอนที่ชูฮันดึงกริชนี้ออกมาทุกคนในห้องนี้จึงตาวาววับราวกับหมาที่เห็นเนื้อสด โดยเฉพาะเหล่าทีมความลับของพระเจ้าที่รู้ดีว่ากริชเล่มนี้เป็นผลงานจากหลูฮงเชิง
  และที่ยิ่งกว่านั้นทีมความลับของพระเจ้าและทีมนักฆ่าขนนกอิจฉาเรื่องนี้กว่าใครโดยเฉพาะความจริงที่เมื่อครั้งที่ชูฮันได้ขยายจำนวนสมาชิกของทีมพิเศษเพิ่มเป็นทีมละ 100 คน และให้ทหารที่ถูกเกณฑ์เข้ามาใหม่ในตอนนั้นมีสิทธิเลือกได้เองว่าจะเข้าร่วมกับทีมพิเศษทีมไหน ทีมที่ผลงานต่ำสุดและมีชื่อเสียงต่ำสุดอย่างกุ้งเสือดำนั้นกลับได้กริชไป!   มันไม่ใช่ความลับชูฮันทำอย่างโจ่งแจ้ง เขาแจกจ่ายกริชให้ทีละคน มีเพียงแค่ทีมกุ้งเสือดำเท่านั้นที่ได้ไป แม้แต่กัปตันเหอเฟิงที่มีอำนาจคุมทั้งสามทีมก็ยังไม่มีสิทธิได้
  มันเป็นความรู้สึกที่ทุกคนแสนจะเสียใจต่อการตัดสินใจของตัวเองในตอนนั้นพวกเขาส่วนใหญ่เลือกที่จะเข้ากับทีมนักฆ่าขนนกและทีมความลับของพระเจ้า เพราะมองว่าทีมกุ้งเสือดำนั้นไม่เป็นที่รู้จักและไม่มีอะไรโดดเด่น หลายคนจึงไม่อยากเข้าร่วม แม้ว่าในที่สุดหลังจากการตัดสินใจอันเด็ดขาดของชูฮัน ทีมกุ้งเสือดำทำภารกิจได้สำเร็จและได้รางวัลตอบแทนไป ในขณะที่คนที่เลือกเข้าทีมความลับของพระเจ้าและทีมนักฆ่าขนนกต่างรู้สึกเสียดายการตัดสินใจของตัวเอง
  พวกเขามารู้ทีหลังว่าทีมกุ้งเสือคือทีมนักฆ่าที่ชูฮันตั้งและฝึกฝนเองกับมือดังนั้นทุกคนจึงต้องมีอาวุธสำหรับการลอบสังหารที่ดีที่สุดเอาไว้ใช้…พวกเขาน่าจะตัดสินใจเลือกเข้าทีมกุ้งเสือดำตั้งแต่แรก!   ความเงียบและการไร้ตัวตนเปรียบเสมือนวิญญาณที่ล่องลอยไปมาคือความสามารถของทีมกุ้งเสือดำโดยที่คนอื่นไม่รู้แต่เมื่อครั้งล่าสุดที่พวกเขาได้แสดงความสามารถในค่ายหนานตู้ ชื่อเสียงของทีมกุ้งเสือดำก็ได้รับรู้ไปทั่วทุกคนในค่ายเขี้ยวหมาป่า
  ดังนั้นในสายตาของทุกคนในตอนนี้…เจียงเหว่ยแสนจะตื่นเต้นจนแทบจะกระโดดโลกเต้นซะให้ได้เขารีบรับกริชมาจากชูฮันและกำไว้แน่นอย่างไม่คิดปล่อยเด็ดขาด
  ชูฮันไม่สนใจสายตาอิจฉาทั้งหลายคู่ที่มองมาและเลือกที่จะพูดขึ้น”ฉันยังมีเขี้ยวดำน้อยเหลืออยู่ไม่กี่เล่ม ฉันจะคอยดูว่าใครสมควรที่จะได้รับรางวัลตอบแทน”
  คำกล่าวของชูฮันนั้นกระตุ้นความฮึกเหิมในใจของทุกคนทันทีหัวหน้าพูดแบบนี้มันทำให้พวกเขาเลือดร้อนพร้อมจะสู้เต็มที่แล้ว!
  ทว่า…  ”เขี้ยวดำน้อย?”เหมิงชีเหว่ยทวนคำสามคำอย่างสงสัย
  ”ใช่เขี้ยวดำน้อยคือชื่อของกริชนี้” ชูฮันยิ้มกว้าง “มีเพียงแค่คนที่มีความสามารถของเขี้ยวหมาป่าเท่านั้นที่มีคุณสมบัติจะครอบครอง”
  ชูฮันมักแยกแบ่งแยกคนของเขาออกจากคนอื่นชัดเจนอย่างหลูฮงเชิงที่แม้จะเป็นช่างตีอาวุธฝีมือเลิศ แต่มีเพียงแค่สมาชิกระดับสูงและใกล้ชิดกับชูฮันเท่านั้นที่ถูกจะมอบอาวุธที่หลูฮงเชิงผลิตขึ้นมากับมือให้ ส่วนคนเหลือนั้นจะต้องไปหาซื้อเอาจากลูกศิษย์ของหลูฮงเชิงอีกที แม้ว่าจะมีหลูฮงเชิงเป็นอาจารย์ก็จริงแต่ก็ใช้ว่าหลูฮงเชิงจะคอยยืนควบคุมการผลิตทุกชิ้นและทุกคนตลอดได้ที่ไหน
  ดังนั้นอาวุธที่หลูฮงเชิงทำขึ้นมากับมือเองนั้นจึงเป็นของที่มีค่ามากที่สุด ความคมกริบของใบมีดนั้นไม่ใช่สิ่งที่หาได้ทั่วไป ไหนจะความทนทานแข็งแกร่งที่น่าเหลือเชื่อ และเพราะแก่นแท้จริงที่ซ่อนอยู่ในอาวุธจนได้ชื่อว่าเขี้ยวดำน้อย หรือมันอาจจะเป็นเพราะชูฮันขี้เกียจคิดชื่ออื่นก็เลยใช้ชื่อเดียวกับค่ายเลยเพื่อความสะดวก
  ”เขี้ยวดำน้อยก็เหมาะดี” เหมิงชีเหว่ยมองไปที่กริชที่เจียงเหว่ยได้จากชูฮันอีกครั้ง “ขนาดเหมาะกับฝ่ามือพอดี ทั้งตัวกริชสีดำสนิท ใบมีดคมกริบสามารถตัดได้ทุกอย่าง เหมือนกับเขี้ยวหมาป่า!”
  เจียงเหว่ยหัวใจกระตุกก้มลองกริชในมืออย่างอึ้ง สีหน้าลังเล หลังจาากทำประโยชน์มากมายให้กับค่ายเขี้ยวหมาป่าและได้กริชเขี้ยวดำน้อยมาเป็นรางวัล ซึ่งถือเป็นตัวแทนของเขี้ยวหมาป่า เจียงเหว่ยไม่รู้ว่าจะบรรยายความรู้สึกตอนนี้ออกมาอย่างไรดี
  ชูฮันยิ้มออกมาขณะนึกถึงเรื่องราวความตั้งใจของหยางเทียนตั้งแต่แรกที่ตั้งค่ายขึ้นมา ตอนแรกที่พวกเขาวางแผนอนาคตของค่าย จนในที่สุดพวกเขาก็ตั้งชื่อมันขึ้นว่าเขี้ยวหมาป่าจนกลายเป็นอย่างทุกวันนี้  ตอนนั้นเขาพูดว่าอะไรน่ะ?
  ที่นี้เป็นเหมือนป่าและเขาเป็นราชาหมาป่าที่จะออกเดินไปทุกที่เพื่อล่าเหยื่อ!
  ชูฮันเอนตัวผิงหลังกับกำแพงบ้านแววตาแน่วแน่ “อีกสองชั่วโมงจะรุ่งสาง และมันก็จะเข้าสู่วันที่ 6 แผนการของวันนี้ พวกนายจำได้ใช่มั้ย?”
  ขณะที่ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบเหมิงชีเหว่ยเป็นคนแรกที่พูดขึ้นมา “หัวหน้ามั่นใจได้ครับ หลังจากปฏิบัติตามแผนการที่วางไว้ทั้งหมด ในวันที่ 7 ค่ายจินหยางจะหายไปจากจีนครับ!”