เหวินเอ้อร์พูดจบ สายตาเย็นชาและอำมหิตจ้องไปที่เมิ่งเชี่ยนโยว อยากเห็นอาการตกใจลนลานจากใบหน้าของนาง
ใจของเมิ่งเชี่ยนโยวเต้นแรงขึ้น จนเกือบจะแสดงอาการตกใจออกมา แต่นางใช้ความพยายามเป็นอย่างมากเพื่อข่มเอาไว้
ดังนั้นสีหน้าของเมิ่งเชี่ยนโยวจึงไม่ได้เปลี่ยนไป แล้วยิ้มอย่างสบายๆ “ไม่ว่าเมื่อใดชีวิตของอี้เซวียนก็เป็นของข้าอยู่แล้ว ข้อเสนอนี้ของคุณชายเหวินเอ้อร์ช่างน่าขันนัก”
เมื่อไม่ได้เห็นถึงความกังวลลนลานจากใบหน้าของนาง รอยยิ้มบนใบหน้าของเหวินเอ้อร์ก็เริ่มจางลง และถามอย่างอดไม่ได้ว่า “สิ่งที่ข้าพูดนั้นคือชีวิตของหวงฝู่อี้เซวียน เจ้าจะไม่ยอมแลกจริงหรือ”
“ข้าจะไม่พูดคำเดิมเป็นครั้งที่สอง คุณชายเหวินเอ้อร์เปลี่ยนเป็นข้อต่อรองอย่างอื่นจะดีกว่า”
“เจ้า…” เหวินเอ้อร์โดนแบบนี้ จึงพูดไม่ออกไปชั่วขณะ
“ทำไมกัน คุณชายเหวินเอ้อร์ไม่มีแผนอื่นแล้วอย่างนั้นหรือ ถ้าอย่างนั้นก็ต้องขออภัยด้วย ข้าจะไม่ทำการค้าที่ขาดทุน” เมื่อพูดจบ นางลุกขึ้นยืน ปัดฝุ่นที่อยู่บนตัวออก แล้วเดินมุ่งหน้าไปหาม้า พลางออกคำสั่งว่า “พักผ่อนพอแล้ว ก็รีบขี่ม้าไปกันเถอะ”
เหวินเอ้อร์แสยะยิ้ม “แม่นางเมิ่ง ข้าอุตส่าห์ให้โอกาสเจ้าแล้ว แต่เจ้ากลับไม่คว้ามันไว้ และตั้งตนเป็นศัตรูกับข้า คืนนี้ เจ้าไม่รอดแน่…” ยังพูดไม่ทันจบ เมิ่งเชี่ยนโยวที่เพิ่งจะเดินผ่านเขาไปก็หันตัวกลับมาทันที ในมือมีแสงสะท้อนเงาจากกริชแนบอยู่ที่ข้างลำคอของเขา ตามมาด้วยเสียงอันเยือกเย็น “สิ่งที่ข้าเกลียดที่สุดในชีวิตก็คือการถูกข่มขู่ คุณชายเหวินเอ้อร์ทำผิดมหันต์ต่อข้าเสียแล้ว ไม่ทราบว่าอยากจะตายแบบไหนดีล่ะ”
สองครั้งก่อนหน้านี้ เหวินเอ้อร์ไม่เคยมีเรื่องกับเมิ่งเชี่ยนโยวมาก่อน ให้ตายอย่างไรเขาก็ไม่เคยรู้ว่าเมิ่งเชี่ยนโยวมีฝีมือขนาดนี้ ดังนั้นเขาจึงไม่ทันได้ระวังตัว ตอนนี้มีกริชอยู่ที่คอ จึงตื่นตระหนกอย่างมาก “นี่เจ้า…”
“ทางที่ดีคุณชายเหวินเอ้อร์อย่าพูดจะดีกว่า หากข้าเผลอสติหลุด จะปาดคอเจ้าขาดได้” เมิ่งเชี่ยนโยวเตือนเขา
จากนั้น ก็ตะโกนเข้าไปในป่า “ท่านที่คอยแอบดูอยู่ในป่านั่นน่ะ เอาแต่ลอบมองเช่นนี้ไม่ดีหรอกนะ ปรากฏตัวออกมาเสียเลยเถิด”
เมื่อพูดจบ ไม่มีเสียงตอบรับ
เมิ่งเชี่ยนโยวก็ไม่รีรอ ออกแรงไปในมือที่ถือกริชอยู่ ปาดคอของเหวินเอ้อร์ จนมีเลือดสีแดงสดไหลออกมาทันที
เหวินเอ้อร์เจ็บปวดจนร้องออกมา
แล้วก็มีคนเสื้อดำจำนวนมากออกมาจากป่านั่น คนที่เดินนำเผยสีหน้าที่กระวนกระวาย และร้องออกมาว่า “ปล่อยนายท่านของพวกเรา!”
เมื่อเห็นว่าไม่ใช่คนของเฮ่อจาง เมิ่งเชี่ยนโยวก็โล่งอก จึงพูดเสียดสีไปว่า “นายเป็นอย่างไรบ่าวก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ ชอบทำตัวหลบๆ ซ่อนๆ แอบวางแผนทำเรื่องชั่วช้า”
นี่เป็นถ้อยคำที่เหน็บแนมพวกเขาที่แอบซ่อนอยู่ในป่าเพื่อเตรียมลอบโจมตี คนเสื้อดำที่เดินนำออกมาหน้าแดงขึ้น อยากจะอ้าปากพูด แต่เมิ่งเชี่ยนโยวพูดขัดขึ้นมาก่อนว่า “ในเมื่อพวกเจ้าก็รู้ว่าจุดมุ่งหมายของข้านั้นคืออะไร เช่นนั้นข้าก็จะไม่พูดพร่ำทำเพลงแล้ว เปิดทางให้ข้า แล้วนายท่านของพวกเจ้าจะปลอดภัย มิเช่นนั้นล่ะก็…” พูดไป มีดพกที่อยู่ในมือก็ปาดต่อไปอีก
เหวินเอ้อร์เจ็บปวดมาก จนร้องออกมาอีกครั้ง
“นายท่าน!” คนเสื้อดำได้ร้องขึ้นมา แล้วรีบโบกมือ คนเสื้อดำรีบสั่งให้คนไปล้อมเอาไว้
“ปล่อยนายท่านของพวกข้า แล้วข้าจะลองคิดเรื่องที่จะปล่อยเจ้าไป มิเช่นนั้น…” คนเสื้อดำพูดแสร้งทำเป็นวางมาดพูดอย่างไม่เกรงกลัว
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดแทรกขึ้นด้วยน้ำเสียงดุดัน “มิเช่นนั้นจะทำไม จะตายพร้อมกันอย่างนั้นหรือ ถ้าหากว่านายท่านของพวกเจ้าไม่เสียดายชีวิต ข้าพร้อมสนองให้โดยทันที”
นึกไม่ถึงว่าคนที่จะเอาเรื่องความเป็นความตายมาพูดอย่างไม่รู้สึกรู้สาแบบนี้ จะเป็นเพียงหญิงสาวคนหนึ่ง…
ต่อให้เป็นผู้ชาย ก็หาได้ยากที่จะมีคนกล้าพูดจาแบบนี้ เมื่อคนเสื้อดำได้ฟังก็หยุดชะงักไป ขณะที่กำลังจะอ้าปากอยากพูดอะไรสักอย่าง กลับโดนเมิ่งเชี่ยนโยวพูดแทรกขึ้นมาว่า “เลิกพูดจากไร้สาระเสียที จะเปิดทางหรือไม่เปิดทาง ตอบมาให้สิ้นเรื่องเสียที!”
คนเสื้อดำพูดไม่ออก มองไปที่เหวินเอ้อร์ แล้วถามกลับไปว่า “นายท่านขอรับ?”
เหวินเอ้อร์รู้นิสัยของเมิ่งเชี่ยนโยว พูดคำไหนต้องเป็นคำนั้น เขาจึงกัดฟัน แล้วพูดทีละคำออกมา “ปล่อยพวกนางไป”
คนเสื้อดำโบกมือ คนอื่นก็ถอยกลับไปที่ข้างกายเขา
“ยังดีที่คุณชายเหวินเอ้อร์รู้ว่าอะไรเป็นอะไร แต่ข้าไม่ไว้ใจคนของเจ้า เอาอย่างนี้แล้วกัน สั่งให้คนของเจ้าห้ามขยับ รอให้พวกเราออกไปก่อนสิบลี้ แล้วข้าจะปล่อยเจ้าเอง” เมิ่งเชี่ยนโยวพูดออกมาอย่างสบายๆ
เหวินเอ้อร์กัดฟันแน่น “เจ้าอย่าได้คืบจะเอาศอก”
เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะเบาๆ ว่า “ตอนนี้ข้าเป็นมีดกับเขียง ส่วนเจ้าเป็นเนื้อปลา คุณชายเหวินเอ้อร์มีทางเลือกอื่นอีกหรือ”
เหวินเอ้อร์โกรธจนพูดไม่ออก เส้นเลือดเขียวที่หน้าผากปูดออกมาจนเห็นชัด
เมิ่งเชี่ยนโยวร้อนใจเป็นอย่างมาก ไม่อยากเสียเวลากับเขาแล้ว จึงพูดว่า “คุณชายเหวินเอ้อร์วางใจเถิด ข้าพูดคำไหนคำนั้น ขอแค่เพียงเจ้าให้ความร่วมมือกับข้า ข้าก็จะไม่แตะต้องเจ้าแม้แต่ปลายเล็บ”
ชีวิตอยู่ในมือของนางแล้ว ไม่อยากตกลงก็ต้องตกลง เหวินเอ้อร์หลับตา แล้วออกคำสั่งด้วยสีหน้าไม่พอใจเป็นอย่างมาก “พวกเจ้ายืนอยู่กับที่”
เมื่อเขาพูดออกไป เมิ่งเชี่ยนโยวก็ไม่รีรอ พูดออกคำสั่งกัวเฟย “ดูเหวินเอ้อร์ไว้ให้ดี ห้ามทำร้ายเขา พวกเราไปเถอะ!”
กัวเฟยตอบรับ เดินมาข้างหน้า ในมือถือมีดสั้นจี้อยู่ที่ข้างลำคอของเหวินเอ้อร์ แล้วลากเขาขึ้นม้าไป
เมิ่งเชี่ยนโยวก็โดดขึ้นหลังม้า ตีบังเ**ยนม้า แล้วมุ่งหน้าออกไป
ทุกคนตามติดนางอยู่ด้านหลัง
ออกไปได้สิบลี้ จนกระทั่งมาถึงบริเวณหน้าผืนป่าแห่งหนึ่ง เมิ่งเชี่ยนโยวหยุดม้า สั่งกัวเฟย “ปล่อยคุณชายเหวินเอ้อร์ไปเถอะ”
กัวเฟยเก็บมีดที่จี้อยู่ที่ข้างลำคอของคุณชายเหวินเอ้อร์
เหวินเอ้อร์ถูกปล่อยลงจากหลังม้า แล้วมองเมิ่งเชี่ยนโยวด้วยสายตาเคียดแค้นดังอสรพิษ แต่ใบหน้ากลับยิ้มแย้มอย่างประหลาด “แม่นางเมิ่ง ตราบใดที่ฟ้าดินยังไม่สลาย พวกเราก็จะได้พบกันอีก หวังว่าเจอกันคราวหน้าเจ้าจะยังสุขสบายเช่นนี้อยู่”
เมิ่งเชี่ยนโยวก็ยิ้มอ่อน และตอบเหน็บแนมกลับไปว่า “ไม่ว่าจะเวลาใด สถานที่แห่งใด เมื่ออยู่ต่อหน้าคุณชายเหวินเอ้อร์ ข้าก็จะยังสุขสบายเช่นนี้แน่นอน”
เมื่อพูดจบ ก็ไม่สนใจเขาอีก แล้วควบม้ามุ่งหน้าต่อไป
เหวินเอ้อร์มองเงาของพวกเขาที่กำลังลับหายไปกับความมืด สีหน้าท่าทางก็เปลี่ยนแปลงไม่หยุด
ผ่านไปชั่วเวลาจิบชาหนึ่งถ้วยกลุ่มคนเสื้อดำที่อยู่ข้างหลังก็ตามมาทัน ทุกคนลงจากม้า แล้วยืนนิ่งอยู่กับที่
เหวินเอ้อร์เอาม้าที่ชายเสื้อดำจูงอยู่มาจูงแทน แล้วออกคำสั่งว่า “ส่งจดหมายไปที่ฝ่ายหน้า บอกว่าพวกเราทำพลาด ให้พวกเขาลงมืออย่างระมัดระวังด้วย”
คนเสื้อดำตอบรับ
เหวินเอ้อร์ขึ้นม้า หันหัวม้ามุ่งหน้ากลับไปทางเดิมที่พวกเขามา
เมื่อปล่อยเหวินเอ้อร์ทิ้งไว้ข้างหลังแล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวก็ควบม้ามุ่งหน้าต่อไป ทว่าสมองกลับครุ่นคิดอยู่ตลอดเวลา เร่งเดินทางได้หนึ่งวัน ทั้งคนและม้าก็เหนื่อยล้าอย่างมาก นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมนางถึงปล่อยเหวินเอ้อร์ไป ถ้าหากว่าใช้ไม้แข็งกับพวกคนเสื้อดำนั้น ดูจากสถานการณ์ตอนนี้ คนของนางต้องบาดเจ็บล้มตายเป็นแน่ นางไม่สามารถเพิกเฉยต่อพวกเขาได้ แล้วก็ไม่สามารถหยุดเพื่อช่วยรักษาพวกเขาได้ เช่นนั้นก็จะทำให้การเดินทางล่าช้าไปอีก แต่ว่าขนาดเหวินเอ้อร์ยังรู้ข่าวที่นางออกจากเมือง เฮ่อจางไม่มีทางไม่รู้แน่ แล้วก็เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่ส่งคนมาขัดขวางนางอีก คิดได้เช่นนี้ จึงออกคำสั่งอย่างเด็ดขาดว่า “เมื่อไปถึงด้านหน้าแล้ว หาโรงเตี๊ยมสักแห่งเพื่อพักหนึ่งคืน แล้วค่อยเดินทางต่อในวันรุ่ง”
แล้วจึงเดินทางไปอีกประมาณสิบลี้ ตอนที่ทุกคนอ่อนล้ากันอย่างมากแล้ว ในที่สุดก็มาถึงหมู่บ้านเล็กๆ แห่งหนึ่ง