บทที่ 676 เคืองโกรธ

บัลลังก์พญาหงส์

เห็นถาวจวินหลันรับคำ ใบหน้าของไทเฮาก็ปรากฏรอยยิ้มเล็กน้อย “เจ้าทำได้แน่” หยุดไปครู่หนึ่งเหมือนว่ากำลังร้อยเรียงความคิด ไทเฮาถึงได้พูดต่อไปว่า “ข้าคิดว่าหากข้าจากไปแล้ว จะให้เจ้าเป็นคนเลี้ยงเซิ่นเอ๋อร์ แล้วจดเซิ่นเอ๋อร์ไว้ใต้ชื่อเจ้า”

 

 

ถาวจวินหลันนิ่งไป ขมวดคิ้วโต้กลับทันที “นี่ไม่เหมาะสมกระมัง? แม่แท้ๆ ของเซิ่นเอ๋อร์ก็ยังอยู่นะเพคะ แล้วตอนนี้ไม่ได้จดอยู่ใต้ชื่อพระชายาหรือเพคะ”

 

 

“เจ้ากับข้าล้วนรู้ดีแก่ใจ นั่นเพียงเพื่อให้เจียงซื่อตกใจเท่านั้น” ไทเฮาไม่ได้เคืองที่นางปฏิเสธแม้แต่น้อย แต่กลับอธิบายอย่างใจเย็น สุดท้ายก็พูดว่า “เจ้าเองก็รู้ดีว่าหลิวซื่อตายไปแล้ว แม้จะถูกจดไว้ใต้ชื่อของนาง แต่สำหรับเจียงซื่อที่จริงก็ไม่ได้แตกต่างเท่าไรนัก อย่างไรนางก็เป็นมารดาของเซิ่นเอ๋อร์ หากใกล้ชิดกันขึ้นมา สายเลือดที่ข้นกว่าน้ำคงไม่มีใครไปเปลี่ยนแปลงได้”

 

 

ถาวจวินหลันรู้ว่าสิ่งที่ไทเฮาพูดเป็นความจริง แต่เรื่องนี้นางรับไม่ได้ ครุ่นคิดดูแล้วนางก็ถอนหายใจ “แต่หม่อมฉันมีซวนเอ๋อร์แล้ว อีกทั้งยังอยู่ในครรภ์อีกคน หม่อฉันว่าคงไม่เหมาะสม เจียงซื่อไม่มีทางเห็นด้วยเป็นแน่”

 

 

นางไม่รู้ว่า ไทเฮายกเรื่องนี้ขึ้นมาพูดกะทันหันเพราะเหตุใดกันแน่ แต่ไม่ว่าอย่างไรนางก็ไม่ยินยอม แม้เลี้ยงเซิ่นเอ๋อร์ไม่ได้ทำให้นางเหน็ดเหนื่อยเท่าไร อย่างไรนางกำนัลก็ต้องดูแลเซิ่นเอ๋อร์เป็นอย่างดี แต่นางรู้สึกว่า ถ้าเอามาจดไว้ใต้ชื่อของนางจริง หากนางไม่อาจรักใคร่หรือให้ความรักได้เหมือนกับที่ให้กับลูกของตัวเอง ก็ถือว่าทำร้ายเซิ่นเอ๋อร์

 

 

แต่เซิ่นเอ๋อร์ไม่ใช่ลูกของนาง อ้อมอกของนาง…ไม่ได้กว้างขนาดนั้น

 

 

“ข้ารู้ว่าเจ้าต้องไม่ยอมเป็นแน่” ไทเฮาถอนหายใจ แต่ก็ไม่เห็นว่าจะไม่พอใจ เพียงอธิบายต่อไป “เจ้าอย่าเพิ่งปฏิเสธไป ฟังข้อดีข้อเสียก่อนจะดีกว่า เรื่องนี้เป็นสิ่งที่ข้าเก็บไปครุ่นคิดอย่างดีแล้วถึงได้เสนอ ไม่ได้เป็นการตัดสินใจอย่างฉุกละหุก” ไทเฮาพูดเช่นนี้แล้ว ดังนั้นถาวจวินหลันจึงได้แต่กลืนคำปฏิเสธลงคอไปอีกครั้ง

 

 

“เซิ่นเอ๋อร์เป็นลูกชายคนรองขององค์รัชทายาท ไม่ต้องพูดถึงความสำคัญ หรือในท้องของเจ้าเป็นเด็กชายหรือเด็กหญิง พูดแค่ว่าต่อให้เจ้าคลอดเด็กผู้ชายออกมาจริงก็แค่มีลูกจากชายาเอกเพิ่มมาอีกคน เพิ่มกำแพงป้องกันอีกชั้นหนึ่งเท่านั้น และเซิ่นเอ๋อร์ก็ยังคงสำคัญเหมือนเดิม เขาเองก็เป็นเด็กฉลาด เรื่องนี้ข้ารู้ดี หากเลี้ยงเด็กฉลาดไปผิดทางแม้แต่นิดเดียว เขาคิดทำเรื่องอะไรขึ้นมาก็น่าหวาดกลัวนัก เจ้าว่าจริงหรือไม่?” ไทเฮาพูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึม แต่อาจเพราะรู้สึกได้ ไทเฮาถึงยิ้มบางๆ ให้บรรยากาศผ่อนคลายลง

 

 

ถาวจวินหลันต้องยอมรับว่าที่จริงแล้วไทเฮาพูดถูกต้อง มีหลายครั้งที่ยิ่งคนฉลาด ยิ่งคิดมาก ก็ยิ่งก่อเรื่องได้ง่ายมากขึ้น โดยเฉพาะคนอย่างพวกเขา อย่างไรตำแหน่งฮ่องเต้ก็เป็นสิ่งที่น่ายั่วยวน บางทีอาจจะน่าไขว่คว้าที่สุดในใต้หล้าแล้ว คนที่ต้านทานได้มีไม่เยอะนัก

 

 

ไทเฮาเห็นถาวจวินหลันเห็นด้วยกับคำพูดนี้ จึงพูดต่อไป “องค์รัชทายาทก็มีลูกอยู่เพียงเท่านั้น ข้าก็หวังจากใจจริงว่าเด็กทุกคนจะได้ดี หวังว่าพวกเขาจะไม่แย่งชิงกันเอง ดังนั้นข้าถึงอยากให้เจ้ารับเซิ่นเอ๋อร์ไปเลี้ยง หากเลี้ยงไว้ใต้ชื่อของเจ้า ซวนเอ๋อร์ก็ดี เซิ่นเอ๋อร์ก็ดี หรือเด็กๆ ในอนาคตก็ดี ก็จะเป็นพี่น้องแม่เดียวกันทั้งหมด แม้ไม่ได้รักใคร่สนิทสนมมาก แต่ก็ยังมีสายสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ข้าเชื่อใจเจ้า คิดว่าเจ้าไม่มีทางปล่อยให้เซิ่นเอ๋อร์โตไปในทางที่ผิดเป็นแน่”

 

 

ถาวจวินหลันขมวดคิ้ว “ต่อให้คนอื่นเลี้ยง หม่อมฉันก็ไม่ยอมให้เลี้ยงเซิ่นเอ๋อร์ไปในทางที่ผิดเพคะ อีกทั้งไม่ต้องจดไว้ใต้ชื่อของหม่อมฉัน หม่อมฉันก็ดูแลเซิ่นเอ๋อร์ได้เพคะ”

 

 

“ถ้าอย่างนั้นเจ้าคิดว่าวังตวนเปิ่นยังมีใครที่เลี้ยงเซิ่นเอ๋อร์ได้?” ไทเฮาถามถาวจวินหลันกลับ พร้อมกับยกถ้วยชาขึ้นมาจิบช้าๆ เหมือนไม่กังวลที่ถาวจวินหลันจะพูดถึงคนอื่น

 

 

ถาวจวินหลันนิ่งเงียบไปครู่ใหญ่ สุดท้ายก็อดหัวเราะขมขื่นไม่ได้ นอกจากนางแล้ว ในวังตวนเปิ่นก็ไม่มีตัวเลือกเหมาะสมอีก เจียงอวี้เหลียนเห็นชัดว่าไม่เหมาะสม เช่นนั้นที่เหลือนอกจากถาวจือกับจิ้งหลิงแล้ว ก็ยังมีกู่อวี้จือ…นี่ไม่จำเป็นต้องพูดถึง ถาวจือยิ่งเป็นไปไม่ได้ ส่วนจิ้งหลิง…

 

 

จิ้งหลิงฐานะต่ำเกินไป นี่เป็นเรื่องที่จนปัญญา จิ้งหลิงเลี้ยงกั่วเจี่ยเอ๋อร์ก็ได้รับคำติฉินนินทาแล้ว อีกอย่างการที่จิ้งหลิงไม่ได้รับความโปรดปรานนั้นเป็นสิ่งที่ทุกคนรู้กันทั่ว รวมทั้งชาติกำเนิดของนางก็ไม่ได้สูงส่ง เลี้ยงลูกสาวคนเดียวก็แล้วไป จะให้เลี้ยงลูกชายด้วยอีกคนก็ถือว่าไร้คุณสมบัติ

 

 

ถาวจวินหลันถอนหายใจ ไม่รู้ว่าต้องรับมือกับคำถามของไทเฮาอย่างไร แต่ในเมื่อคนอื่นไม่เหมาะสม หรือว่าจะต้องเป็นนางเท่านั้นที่เลี้ยงเซิ่นเอ๋อร์?

 

 

พอคิดถึงตรงนี้ ถาวจวินหลันก็เริ่มหงุดหงิด

 

 

ไทเฮาก็ไม่รีบเอ่ยปาก ไม่นานบรรยากาศก็เริ่มกดดัน ภายในห้องจึงเงียบสงบจนน่ากลัว

 

 

“นอกจากเจ้าจะยอมหาสตรีที่มีชาติกำเนิดสูงให้องค์รัชทายาท มิเช่นนั้นจะเอาเซิ่นเอ๋อร์ให้ใครก็ไม่เหมาะสมทั้งนั้น” หลังจากนิ่งเงียบไปนาน ตอนที่รอจนถาวจวินหลันรู้สึกประหม่า ไทเฮาถึงได้เอ่ยพูดเช่นนี้ช้าๆ

 

 

“ที่จริงแล้วเจ้าเองก็เข้าใจดี ว่าคนที่เหมาะสมที่สุดคือเจ้า” ไทเฮาตบมือของถาวจวินหลันเบาๆ เอ่ยประหนึ่งปลอบโยน “ข้ารู้ว่าเจ้ายังทำใจรับทันทีไม่ได้ อย่างไรข้าเองก็เป็นแม่คนเช่นเดียวกัน ข้าเข้าใจดี ดังนั้นเรื่องนี้ข้าเองก็ไม่ได้รีบจะบีบบังคับเจ้า เจ้ากลับไปคิดให้ดีก่อนเถิด”

 

 

ถาวจวินหลันพยักหน้า รู้สึกเหนื่อยล้าอย่างมาก เอาเข้าจริงแล้ว นางแค่คิดว่าหลังจากนี้เซิ่นเอ๋อร์จะต้องเรียกนางว่าเสด็จแม่ นางเองก็ยอมรับไม่ได้และกระอักกระอ่วนแล้ว

 

 

แต่เพิ่งจะเดินไปได้สองก้าว ถาวจวินหลันก็หันไปมองไทเฮา “ถ้าหม่อมฉันรับปากเรื่องนี้ ไทเฮาคิดจะจัดการกับเจียงซื่ออย่างไรเพคะ?”

 

 

เรื่องนี้ถือเป็นปัญหาใหญ่เช่นกัน และเป็นปัญหาที่สำคัญที่สุด หากเจียงอวี้เหลียนยังมีชีวิตอยู่ นางเอาเซิ่นเอ๋อร์มาจดไว้ใต้ชื่อของนาง สุดท้ายแล้วก็จะถูกกล่าวหาว่าแย่งลูกคนอื่นมาอยู่ดี แต่หาก…เช่นนั้นเจียงอวี้เหลียนก็มีแต่ต้องตายไปก่อน หรือออกจากวังหลวงไป

 

 

อย่างไรก็คือต้องหาเหตุผลที่เปิดเผยตรงไปตรงมา เพื่อให้เจียงอวี้เหลียนสูญเสียคุณสมบัติในการเลี้ยงลูก

 

 

“ถึงข้าแก่แล้วจะใจอ่อนมีเมตตาไปบ้าง แต่เพื่อแผ่นดินนี้ เพื่อความสงบของลูกหลานรุ่นหลัง ต่อให้มือของข้าต้องเปื้อนเลือดแล้วอย่างไร?” ไทเฮาหัวเราะ สีหน้าเปิดเผยและเรียบนิ่ง เหมือนว่าสิ่งที่พูดออกมานั้นเป็นเพียงคำพูดธรรมดาเท่านั้น

 

 

ถาวจวินหลันได้ยินก็นิ่งอึ้งไป

 

 

ไทเฮามองถาวจวินหลันอีกครั้ง ก่อนพูดเนิบๆ ว่า “ที่จริงแล้ว เจ้าเป็นชายาองค์รัชทายาทได้ดีมากแล้ว แต่เจ้ายังขาดสิ่งหนึ่งไปนั่นก็คือความเ**้ยมโหด คนที่อยู่เหนือผู้อื่น มีใครใจอ่อนมีเมตตาจริงๆ บ้าง? แม้แต่ข้าเองก็เคยมือเปื้อนกลิ่นคาวเลือดมาไม่น้อย หลังจากฮ่องเต้องค์ก่อนสวรรคตไป ข้าถึงไม่ได้สัมผัสสิ่งเหล่านั้นอีก”

 

 

“จะต้องปกป้องคนที่เจ้าใส่ใจ ไม่โหดเ**้ยมบ้างจะปกป้องได้อย่างไร” คำพูดของไทเฮายังคงดังอยู่ข้างหูของถาวจวินหลันไม่หยุด ตั้งแต่นางออกมาจากวังหย่งโซ่วจนกลับถึงวังตวนเปิ่น

 

 

ถาวจวินหลันขังตัวเองอยู่ในห้องครุ่นคิดเรื่องนี้อยู่นาน เรื่องนี้คนอื่นไม่อาจช่วยนางออกความเห็นได้ และยิ่งไม่มีทางกล่อมนางได้ นางทำได้แค่ตัดสินใจด้วยตนเองเท่านั้น

 

 

ไทเฮาย่อมไม่บีบบังคับให้นางตอบตกลงเรื่องนี้ แต่ถาวจวินหลันก็อดคิดไม่ได้ว่า หากนางไม่รับปาก แล้วเซิ่นเอ๋อร์จะเป็นอย่างไร? แม้จะบอกว่านางไม่เลี้ยงเซิ่นเอ๋อร์ เซิ่นเอ๋อร์ก็ไม่เห็นว่าจะโตไปในทางที่ผิด แต่ถ้ามีสักวันที่เซิ่นเอ๋อร์โตไปในทางที่ผิดเล่า? ถึงเวลานั้นควรทำเช่นไร?

 

 

วิธีของไทเฮาถือว่าเตรียมพร้อมไว้ล่วงหน้า เป็นการเตรียมพร้อมเอาไว้ก่อนหน้านั้น พยายามป้องกันไม่ให้เรื่องเช่นนี้ แม้จะบอกว่านางเอามาเลี้ยงเองแล้วก็ยังไม่อาจรับประกันได้ว่าเซิ่นเอ๋อร์จะไม่โตไปในทางที่ผิด แต่อย่างน้อยเมื่อเทียบกับวิธีอื่นแล้ว ความเป็นไปได้ก็น้อยลงไปเยอะ

 

 

ต่อให้เซิ่นเอ๋อร์โตไปในทางที่ผิดจริง หรือคิดเรื่องเกินตัว นางก็จะต้องจับสังเกตได้ในทันใดเป็นแน่ นางจะหาวิธีป้องกันที่เหมาะสม และหลังจากนางได้กลายเป็นมารดาที่ถูกต้องตามทำนองคลองธรรมของเซิ่นเอ๋อร์แล้ว ไม่ว่าจะเป็นการควบคุมอำนาจของเซิ่นเอ๋อร์ในอนาคต หรือจัดการคนสอดแนมไว้ข้างกายเซิ่นเอ๋อร์ หรือหาชายาเอกไร้อำนาจให้เขา นั่นก็ถือเป็นเรื่องที่ทำได้ง่ายดายที่สุด

 

 

ไทเฮามองการณ์ไกลจริงๆ

 

 

แต่ถาวจวินหลันไม่อาจพูดกล่อมตัวเองได้ง่ายๆ ดังนั้นนางถึงได้ถอนหายใจ

 

 

นางเอาแต่คิดเรื่องนี้ จนดูเหม่อลอย ใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว นางเป็นเช่นนี้ย่อมดึงดูดความสนใจของหลี่เย่ “นี่เป็นอะไรไปหรือ? ท่าทางมีเรื่องให้คิด”

 

 

ถาวจวินหลันฝืนยิ้ม “ก็มีบางเรื่องเพคะ”

 

 

หลี่เย่เดินมานั่งข้างกายนาง เอื้อมมือมาจับมือนางไว้ “เรื่องอะไร บอกข้าได้หรือไม่?”

 

 

ถาวจวินหลันลังเลอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายก็ไม่อาจทัดทานแววตาอบอุ่นและรักใคร่ของหลี่เย่ได้ “ไทเฮาอยากให้หม่อมฉันเลี้ยงเซิ่นเอ๋อร์เพคะ”

 

 

หลี่เย่นิ่งไป จากนั้นก็ถามว่า “เจ้าคิดว่าอย่างไรเล่า?”

 

 

ถาวจวินหลันส่ายหน้า “ข้านั้นไม่ค่อยเห็นด้วยเท่าไร เซิ่นเอ๋อร์ยังมีแม่แท้ๆ ของเขา นี่ถือเป็นเรื่องอะไรกัน? อีกอย่างหม่อมฉันก็ยังมีซวนเอ๋อร์กับหมิงจู อีกไม่นานก็จะเพิ่มมาอีกคนหนึ่ง ที่จริงก็…”

 

 

“ในเมื่อไม่ยินยอม ก็ปล่อยเรื่องนี้ไปเถิด” หลี่เย่หลุบตาลง พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

 

 

ถาวจวินหลันอยากจะวิเคราะห์ข้อดีข้อเสียกับเขา แต่ยังไม่ทันได้พูดออกไป ก็คิดขึ้นมาได้ หรือว่าหลี่เย่จะรู้เรื่องนี้อยู่นานแล้ว

 

 

ท่าทีของนางจึงเปลี่ยนไป “ท่านเสนอเรื่องนี้กับไทเฮาใช่หรือไม่?”

 

 

หลี่เย่ตกใจ ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แต่ไม่ได้ปฏิเสธ

 

 

ถาวจวินหลันเห็นเขานิ่งเงียบ ก็ไม่รู้ว่ารู้สึกอย่างไร นางคิดว่าไทเฮาพูดเรื่องนี้อย่างฉุกละหุก แต่คิดไม่ถึงว่า…มากไปกว่านั้นคือความผิดหวังอย่างหนึ่ง นางกับหลี่เย่เป็นสามีภรรยากัน มองหน้ากันทุกวัน นอนร่วมเรียงเคียงหมอนกันทุกคืน หลี่เย่ย่อมมีโอกาสมาปรึกษาเรื่องนี้กับนางหลายครั้ง แต่หลี่เย่กลับไม่เคยเอ่ยปากพูดมาก่อน แล้วยังไปหาไทเฮา…

 

 

ความผิดหวังเช่นนี้ทำให้ถาวจวินหลันรู้สึกเศร้าใจ ผ่านไปครู่ใหญ่นางถึงได้เอ่ยปากอย่างยากลำบาก “ท่านออกไปก่อนเถิด ขอข้าอยู่เงียบๆ”

 

 

หลี่เย่ได้ยินเช่นนี้ก็ร้อนใจ รีบอธิบาย “เจ้าฟังข้าพูด…”

 

 

“ออกไป!” ถาวจวินหลันทนไม่ไหว ลุกสะบัดมือออกอย่างแรง พูดด้วยเสียงโกรธเคือง “ข้าบอกว่าอยากอยู่เงียบๆ คนเดียวเพคะ! หรือว่าท่านอยากทะเลาะกับข้า?”

 

 

หลี่เย่ไม่เคยเห็นถาวจวินหลันเป็นเช่นนี้มาก่อน จึงตกใจจนนิ่งไป สับสนมึนงงทำอะไรไม่ถูก