ยึดราชบัลลังก์และสถาปนากษัตริย์พระองค์ใหม่ แม้ไม่ทำเช่นนั้น ตระกูลของมหาเสนาบดีที่ยืนอยู่ตรงจุดสูงสุดของอำนาจก็จะมีอำนาจและอิทธิพลที่เทียบเคียบกับกษัตริย์ได้อยู่ดี เนื่องจากการก่อกบฏของอดีตองค์รัชทายาท ดังนั้นแม้ว่าบุตรสาวของครอบครัวจะเป็นภรรยาของชายสองคนก็ตาม แต่สุดท้ายนางก็ได้ครอบครองวังจานยองอย่างสง่างาม แล้วใครจะมาว่าอะไรได้ 

 

 

“พระมเหสี พระราชาเสด็จเพคะ” 

 

 

รยูฮาในชุดผ้าฝ้ายสีขาวต่างกับสมัยเป็นพระชายาโดยสิ้นเชิงเหลียวหลังมองฮอน แม้จะไม่ใช่ยิ้มกว้าง แต่ริมฝีปากที่ยกขึ้นเล็กน้อยก็แสดงถึงความรู้สึกของนางได้เพียงพอแล้ว 

 

 

“รับชาไหมเพคะ” 

 

 

คำถามที่ไม่นุ่มนวลทำให้ฮอนยิ้มออกมาเล็กน้อยและยื่นมือที่อยู่ด้านหลังออกมาข้างหน้า ในตอนนั้นเองรอยยิ้มสดใสก็แต่งแต้มบนริมฝีปากของรยูฮาราวกับดอกไม้ แม้แต่เสียงเปิดฝาขวดสีขาวที่เขานำมาด้วยก็ไพเราะ ไม่นานนักกับแกล้มเบาๆ ก็ถูกนำเข้ามาวางเรียงไว้บนโต๊ะ เหล้าที่เติมลงในแก้วสองใบเอ่อล้นอย่างงดงาม 

 

 

“ข้าให้คำมั่นไว้แล้วนะพ่ะย่ะค่ะ ว่าจะมาพร้อมกับเหล้าที่ดีกว่าสองขวด” 

 

 

“ทำไมจู่ๆ ถึงพูดจาสุภาพเช่นนั้นล่ะเพคะ ขนลุกนะเพคะ” 

 

 

รยูฮาขมวดคิ้วเล็กน้อยเพราะรู้สึกเสียบรรยากาศเล็กน้อย ฮอนจึงยื่นมือออกไปถูบนริ้วรอยนั้น  

 

 

“ตอนนี้เจ้าคือพระมเหสีของประเทศแล้ว จะให้ข้าพูดจากับเจ้าอย่างไรเล่า” 

 

 

“ถ้างั้นหม่อมฉันจะลาออกจากการเป็นพระมเหสีเพคะ ขอให้มีชีวิตที่อยู่ดีกินดีนะเพคะ” 

 

 

รยูฮาตบไหล่ของฮอนเบาๆ ด้วยความจริงใจ ก่อนจะยกแก้วเหล้าขึ้นมาใส่ปาก คงจะไม่ได้ดื่มเหล้ามานานสินะ รยูฮาย่นจมูกพร้อมกับส่งเสียงถอนหายใจออกมา ส่วนฮอนก็หยิบกับแกล้มชิ้นหนึ่งใส่ปาก 

 

 

“ถ้าอย่างนั้นข้าก็จะลาออกจากการเป็นพระราชาด้วย เราจะไปใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขกันที่ไหนดีพ่ะย่ะค่ะ พระมเหสี” 

 

 

“มีเงินไหมเพคะ” 

 

 

“มีเยอะมาก” 

 

 

“ที่ไม่ใช่เงินของประเทศน่ะ” 

 

 

ดวงตาของฮอนสั่นไหวอย่างรุนแรง เงินที่ไม่ใช่เงินของประเทศน่ะหรือ เขาไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้เลยสักครั้ง 

 

 

“…ไม่มี” 

 

 

“ไม่มีเงิน แล้วจะกินดีอยู่ดีได้อย่างไรกัน” 

 

 

รยูฮาหัวเราะเยาะเขาอย่างเปิดเผย แต่เขาก็ไม่มีอะไรจะพูดต่อ เพราะเห็นอย่างชัดเจนว่าภายใน**บเงินของนางที่เคยเห็นเมื่อก่อนนั้นเต็มไปด้วยทองคำและเงินมากมาย ถ้ายกเว้นเงินของประเทศฮอนก็แพ้อย่างราบคาบเลยไม่ใช่หรือ นอกจากนั้นแล้วรยูฮาก็ยังอยู่ในครอบครัวที่มีอำนาจสูงที่สุดในประเทศอีกด้วย 

 

 

“ทรงทำอาหารเป็นไหมเพคะ” 

 

 

“ไม่มีทาง” 

 

 

“เฮอะ จะซื้อใจหม่อมฉันด้วยการบอกว่าไปใช้ชีวิตด้วยกัน แต่ยังหุงข้าวไม่เป็นเลยเนี่ยนะ ก่อนที่จะออกจากการเป็นพระราชา ไปเรียนทำอาหารก่อนเถอะเพคะ เพราะหม่อมฉันจะต้องได้ทานข้าวกับเนื้อ หลังจากที่เสร็จงานกลับมา” 

 

 

ฮึ เสียงหัวเราะระเบิดออกมาจากปากฮอน เหล้าหนึ่งแก้วที่ดื่มในขณะที่นั่งหันหน้าเข้าหากันช่างหอมหวาน เขาวางแก้วเหล้าลงและเท้าคางบนโต๊ะมองดูรยูฮาเคี้ยวกับยุกจอน[1]ตุ้ยๆ 

 

 

“หากข้าทำอาหารเก่ง พระมเหสีจะเลี้ยงดูข้าหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ” 

 

 

“คิดว่าหม่อมฉันเป็นผู้หญิงแล้วจะเลี้ยงผู้ชายคนเดียวไม่ได้หรือเพคะ” 

 

 

“ถ้าอย่างนั้นก็อยู่ที่นี่เถอะ ข้าจะเลี้ยงเจ้าเอง” 

 

 

“เอาอย่างนั้นแล้วกันเพคะ” 

 

 

เหล้าอีกแก้วหมดไปอีกครั้ง กับแกล้มที่เข้าปากของรยูฮาในคราวนี้ไม่ใช่ทั้งยุกจอนทั้งผักปรุงรส แต่เป็นรอยยิ้มที่คลี่ออกระหว่างริมฝีปากทั้งสองที่ประกบกันที่บอกให้ทั้งคู่ได้รู้ว่าตอนนี้ไม่ได้อยู่ในความฝัน ฮ้า ต่อมารยูฮาจึงพ่นลมหายใจออกมาและผละริมฝีปากออกก่อน 

 

 

“พอไม่ได้ชิมนานก็รู้สึกว่ารสชาติจะดีขึ้นนะเพคะ” 

 

 

“ระ…รสชาติ?” 

 

 

รยูฮาแลบลิ้นออกมาเลียริมฝีปากของฮอนอีกครั้ง 

 

 

“รสชาติ ช่างมีเสน่ห์เหลือเกินเพคะ จริงๆ…” 

 

 

“ข้าคิดถึงเจ้า” 

 

 

ฮอนดึงรยูฮาเข้ามากอดจนตัวแทบจะหักพลางกระซิบกระซาบ รู้สึกขอบคุณ สงสารและเอ็นดูไหล่บอบบางนั่น จิตนาการไม่ออกเลยว่าที่ผ่านมานางใช้เวลาอย่างไรในพระราชวังแห่งนี้ 

 

 

“ข้าได้ยินเสียงเจ้าทุกครั้งที่จะสิ้นลม เจ้าจับมือข้าและบอกให้ลืมตา แต่มันกลับลืมไม่ขึ้น” 

 

 

ได้ยินสินะ คำพูดต่างๆ ที่รยูฮากระซิบพร้อมกับจับมือของเขาซึ่งหมดสติอยู่ไม่ได้ลอยหายไปในอากาศสินะ ในขณะที่ฮอนกำลังอดทนอยู่กับช่วงเวลาอันยาวนานโดยปราศจากยาถอนพิษ เสียงของนางได้ดึงเขาเอาไว้ไม่ให้ไปจากโลกนี้ 

 

 

“ทรงน่าชื่นชมจริงๆ ทรงทำได้ดีมากเพคะ ฝ่าบาท” 

 

 

ฮอนก้มหน้าและสบตากับรยูฮา 

 

 

“เอ่ยชมข้าเป็นครั้งแรกเลยนะเนี่ย” 

 

 

“อย่างนั้นหรือเพคะ” 

 

 

ริมฝีปากมีเสน่ห์ขยับเข้ามาใกล้อีกครั้ง แต่รยูฮากลับเอียงหัวหลบไปด้านข้างอย่างชำนาญ 

 

 

“พระมเหสี!” 

 

 

“เหล้าชืดหมดแล้วเพคะ” 

 

 

รยูฮาหันกลับไปอย่างเย็นชา พอนางนั่งลงที่เดิมและรินเหล้าใส่แก้ว ฮอนจึงเขยิบมานั่งข้างๆ 

 

 

“เหล้าหรือสามีสำคัญกว่า บอกมาสิ” 

 

 

“ดูพูดเข้า…” 

 

 

รยูฮารู้สึกขนลุกไปทั้งตัวพร้อมกับกำหมัดและจ้องฮอนเขม็ง 

 

 

“ทรงเรียนรู้มาจากโฮจินใช่ไหมเพคะ” 

 

 

“อย่างนั้นหรือ จะว่าไป เพียงแค่ลืมตาตื่นขึ้นมา สิ่งที่เห็นก็คือหน้าของเขาและสิ่งที่ได้ยินก็คือเสียงของเขานะ” 

 

 

“เพียงแค่ได้ยินอะไรแบบนั้น มือของหม่อมฉันก็จะพุ่งออกไปเองแล้ว เพราะฉะนั้นถ้าเป็นไปได้ก็อย่าตรัสแบบนี้อีกเพคะ” 

 

 

ภาพฮาแบคที่ใช้ช้อนตีหน้าผากโฮจินเมื่อเขาแค่พูดอะไรบางอย่างโผล่ขึ้นมา ช่างเหมือนกันจริงๆ ฮอนหัวเราะคิกคักคนเดียว 

 

 

“แล้วยอนฮวาเดินทางไปอย่างปลอดภัยไหมเพคะ” 

 

 

“นางมาขอร้องในวันก่อนที่จะลงจากภูเขา ข้าจึงส่งนางไปหลังจากที่นางมาขอออกจากพระราชวังน่ะ” 

 

 

แต่เขาไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องที่กอดเป็นครั้งสุดท้าย แม้จะไม่ได้มีความชอบพอส่วนตัว แต่ไม่รู้ทำไมถึงรู้สึกว่าควรจะที่ปกปิดมันเอาไว้ 

 

 

“หม่อมฉันทำสิ่งที่ไม่สมควรทำกับเด็กคนนั้น นางคงจะร้องไห้หนักน่าดูนะเพคะ” 

 

 

“หนึ่งเดือนที่ข้าเห็นนาง นางดูมีความสุขยิ่งกว่าตอนที่อยู่ในวังเสียอีกนะ นางมักจะยิ้มแย้มอยู่เสมอ” 

 

 

“…อย่างนั้นสินะเพคะ” 

 

 

รยูฮายิ้มอย่างนิ่งๆ เด็กขี้แยที่เพียงแค่พูดอะไรนิดหน่อยก็น้ำตาคลอและร้องตะโกนว่าพระชายาๆ อยู่เสมอ เด็กคนนั้นบอกปฏิเสธตำแหน่งนางสนมแล้วไปอยู่ที่ไหนกันนะ ถ้ารู้ว่าจะเป็นแบบนี้ก็คงจะให้ทรัพย์สินติดตัวไปเล็กน้อยด้วย 

 

 

“หลังจากบ้านเมืองสงบเรียบร้อยแล้ว ข้าว่าจะเรียกแชยอนกลับมา แต่ถ้าหากว่าเจ้าไม่ชอบล่ะก็…” 

 

 

“หม่อมฉันไม่เป็นไรเพคะ หลังจากเรียกมาแล้วก็จัดพิธีสมรสอย่างยิ่งใหญ่ให้ทั้งคู่ด้วยเลยสิเพคะ” 

 

 

แก้วเหล้าสองใบกระทบกันพร้อมกับส่งเสียงใสออกมา รยูฮากับฮอนดื่มเหล้าร่วมกันและจูบกันอีกครั้ง ตอนนี้ก็ถึงคราวที่จะพูดคุยกันเรื่องที่เคร่งเครียดกว่าเดิมแล้ว ทั้งสองคนจ้องมองกันและกันอย่างนิ่งๆ ก่อนจะเริ่มพูดขึ้นมาพร้อมกัน 

 

 

“คือว่า…” 

 

 

“ฝ่าบาท” 

 

 

“เจ้าพูดก่อนเลย” 

 

 

“ทรงต้องไว้ชีวิตองค์ชายสองนะเพคะ” 

 

 

ไม่ใช่ โปรดไว้ชีวิตเขาหรือไว้ชีวิตเขาเถอะ แต่เป็นต้องไว้ชีวิตเขางั้นหรือ การแสดงออกที่สมกับเป็นรยูฮาทำให้ฮอนไม่สามารถรักษาความเคร่งขรึมไว้ได้และระเบิดหัวเราะออกมาอีกครั้ง 

 

 

“หัวเราะทำไมหรือเพคะ” 

 

 

“ไม่มีอะไรหรอก จากที่ข้ารู้ ในพจนานุกรมของเจ้านั้นไม่มีคำว่าให้อภัย แล้วทำไมถึงได้?” 

 

 

“แน่นอนว่า ถึงแม้ว่าจะฆ่าเขาให้ตายและทำให้ฟื้นขึ้นมาใหม่เป็นร้อยรอบก็ยังไม่สะใจ แต่เขาคือคนรักของมินอาเพคะ หม่อมฉันจะไว้ชีวิตองค์ชายและให้เขาออกไปจากพระราชวังด้วยกันกับมินอาเพคะ” 

 

 

ฮอนส่ายหัวช้าๆ รอยยิ้มบนริมฝีปากเขาเลือนหายไปโดยไม่รู้ตัว 

 

 

“หลังจากบ้านเมืองเริ่มสงบเรียบร้อย ข้าจะกำหนดวันประหารชีวิต พระศพจะถูกเก็บรักษาไว้โดยสมบูรณ์ แต่ข้าไม่สามารถไว้ชีวิตเขาได้” 

 

 

“นางเป็นเด็กที่ใช้ชีวิตเพื่อข้ามาทั้งชีวิตเพคะ และเขาคือคนที่เด็กคนนั้นรักและถวิลหาเป็นคนแรกในชีวิตด้วยเพคะ” 

 

 

“เราต้องฆ่าเสด็จพี่อำนาจของกษัตริย์จึงจะศักดิ์สิทธิ์ เจ้าเองก็รู้มิใช่หรือ” 

 

 

“อำนาจของกษัติรย์คือสิ่งที่ฝ่าบาททรงสร้างขึ้นมาเองเพคะ ฝ่าบาทควรดูแลราษฎรที่ยากลำบากและครองใจราษฎรด้วยการยึดมั่นในการปกครองของกษัตริย์ผู้มีเมตตาและปรีชาสามารถสิเพคะ!” 

 

 

ความคิดเห็นที่ไม่ลงรอยกันเป็นครั้งแรกทำให้น้ำเสียงของรยูฮาสูงขึ้นเล็กน้อย ฮอนจึงทำหน้านิ่วคิ้วขมวด แม้จะคิดว่าเสียงนั้นก็ยังคงอ่อนหวานอยู่เหมือนเดิมก็ตาม 

 

 

“ข้าไม่สามารถให้อภัยและปล่อยทุกคนไปได้ จะให้ข้าให้อภัยผู้ชายที่ฆ่าข้าและหมายจะครอบครองเจ้าได้อย่างไร เพราะเขา เจ้าถึงได้ประสบกับความเจ็บปวดทรมาน แล้วจะให้ข้าลืมได้อย่างไร! ฆ่าให้ตายและทำให้ฟื้นขึ้นมาร้อยรอบอย่างนั้นหรือ จะร้อยรอบหรือพันรอบ ข้าก็จะฆ่าเสด็จพี่ ข้าจะให้เขาชดใช้บาปที่ได้ทำไปด้วยความตาย” 

 

 

“ฮอน” 

 

 

มือบางและอบอุ่นลูบใบหน้าของฮอนและเชยขึ้น ดวงตาที่ทำให้เขารู้สึกปลอดภัยอยู่เสมออยู่ตรงหน้าพอดิบพอดี 

 

 

“หากฆ่าเขาแล้วสบายใจก็ทำเช่นนั้นเถอะ แต่ถ้าความตายของเขาทำให้ท่านเจ็บปวดก็อย่าทำเช่นนั้นเลย เพื่อหม่อมฉัน หม่อมฉันไม่อยากเห็นท่านต้องทนทุกข์ทรมาน” 

 

 

  

 

 

* * * 

 

 

  

 

 

[1] ยุกจอน เนื้อวัวขนาดพอดีคำปรุงรสด้วยเกลือและพริกไทย จากนั้นชุบแป้งกับไข่แล้วนำลงไปทอด