ตอนที่ 148 คำชมของฝ่ายตรงข้าม

เล่ห์รักกลกาล [ส่วนที่ 1]

เป่ยเฉินอี้หลับตาลง รถม้ายังคงวิ่งช้าๆ 

 

 

   …… 

 

 

เยี่ยเม่ยอยู่ระหว่างทางไปค่ายทหาร บังเอิญพบซินเยว่เยี่ยนกับซือหม่าหรุ่ยพอดี คนทั้งสองอยู่ในสวนทำเรื่องน่าเบื่อมากอยู่  

 

 

กระโดดเชือก 

 

 

เยี่ยเม่ยใช้สายตาราวกับมองเด็กนักเรียนประถม มองไปที่ทั้งสองอยู่ครู่หนึ่ง ทันใดนั้นซือหม่าหรุ่ยที่จับจังหวะยามกระโดดได้ไม่ดี ขาติดอยู่ที่เชือก 

 

 

เพราะระหว่างกระโดด เชือกหมุนแรงมาก ชั่วครู่ฟาดใส่ขานาง สีหน้าของซือหม่าหรุ่ย บิดเบี้ยวเพราะความเจ็บปวด  

 

 

แต่ว่าภาพนี้ทำให้เยี่ยเม่ยได้รับแรงบันดาลใจ พลันเกิดความคิดดีๆ ขึ้นมาได้ สายตาของนางวาวโรจน์ขึ้น 

 

 

ในขณะที่เยี่ยเม่ยจมอยู่ในห้วงความยินดี ซินเยว่เยี่ยนตามองเยี่ยเม่ย เอ่ยทักทายด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “แม่นางเยี่ยเม่ย เจ้ามาเล่นด้วยกันไหม” 

 

 

เยี่ยเม่ยมุมปากกระตุก  

 

 

พูดไม่ออกจริงๆว่าในศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ด กระโดดเชือกเป็นกิจกรรมของเด็กนักเรียนชั้นประถม หรือบอกได้ว่า….นักเรียนประถมจำนวนมากก็ไม่เล่นแล้ว นางไม่อยากเป็นเพื่อนเล่นกับแม่นางน้อย 

 

 

ดังนั้นเยี่ยเม่ยโบกมือ “ไม่ล่ะ ข้ายังมีเรื่องต้องทำ พวกเจ้าเล่นต่อเถอะ”  

 

 

ซือหม่าหรุ่ยก็มองเยี่ยเม่ย นางยกเชือกในมือเดินเข้ามา หัวเร่าะเอ่ยปากว่า “เจ้ามีเรื่องอะไรหรือ ลองเอ่ยมา ไม่แน่พวกเราอาจช่วยเจ้าได้” 

 

 

เยี่ยเม่ยเพิ่งเตรียมตัวจากไป คิดๆ ดูแล้ว แม่นางทั้งสอง หากให้พวกนางจับตาดูเรื่องนี้ ไม่แน่อาจได้ผลกว่า 

 

 

ดังนั้น เยี่ยเม่ยพยักหน้า “ก็ดี ข้ามีเรื่องรบกวนพวกเจ้าจริงๆ” 

 

 

จากนั้น เยี่ยเม่ยหันกลับมองหลูเซียงฮั่ว  

 

 

นางเอ่ยตอบเสียงเย็นชาว่า “พวกเจ้าสามคนยื่นหูมานี่” 

 

 

ท่าทางลับๆ ล่อๆ ของเยี่ยเม่ย คนทั้งสามยื่นหูไป ตอนที่ฟังเยี่ยเม่ยใบหน้าของหลูเซียงฮั่วบูดเบี้ยว 

 

 

ส่วนใบหน้าของ ซือหม่าหรุ่ย และ ซินเยว่เยี่ยนกลับเต็มไปด้วยความตื่นเต้น  

 

 

ทั้งสองตื่นเต้นเป็นอย่างมาก แววตาของทั้งสองทอประกายวาวไปตามคำพูดของเยี่ยเม่ย  

 

 

รอจนทุกอย่างเอ่ยจบ 

 

 

เยี่ยเม่ยมองพวกเขาสามคน เอ่ยว่า “อีกเรื่องหนึ่ง ข้าให้เซียวเยว่ชิงไปจัดการแล้ว เรื่องนี้มอบให้พวกเจ้าทั้งสาม ห้ามผิดพลาดเด็ดขาด” 

 

 

 “อืม” เป็นครั้งแรกที่เยี่ยเม่ยมอบหมายภารกิจสำคัญให้ซือหม่าหรุ่ย นางเข้าใจดีว่า นี่คือการแสดงออกว่าเยี่ยเม่ยเชื่อใจนาง ดังนั้นนางต้องฉวยโอกาสนี้เอาไว้ให้ได้ 

 

 

ซินเยว่เยี่ยนยังใคร่ครวญอยู่ในสมอง นางคิดจับเยี่ยเม่ยกลับไปเป็นน้องสะใภ้ เวลานี้ย่อมพยักหน้ารัวๆ ยินดีช่วยเยี่ยเม่ยทำงานเป็นอย่างมาก 

 

 

หลูเซียงฮั่วประสานมือ “แม่นางเยี่ยเม่ยวางใจ เรื่องนี้ข้าต้องทำให้สำเร็จแน่ เชื่อว่าความคิดของแม่นาง จะทำให้พวกต้ามั่วเสียเปรียบครั้งใหญ่” 

 

 

   …… 

 

 

ค่ายทหารต้ามั่ว  

 

 

นอกกระโจม เซียวชินสวมหน้ากากยื่นเอามือไพล่หลัง ทอดสายตามองทะเลทราย 

 

 

ในเวลานี้เบื้องหลังเขามีเสียงฝีเท้าดังขึ้น 

 

 

เซียวชินหันหน้ากลับมอง เห็นจิวมั่วเหอในชุดนักบวชเดินเข้ามา 

 

 

จิวมั่วเหอกวาดสายตามองเซียวชิน ยิ้มเอ่ยว่า “จั่วอี้อ๋องในวันนี้ไฉนสวมหน้ากากอีกแล้วเล่า ได้ยินก่อนหน้านี้ จั่วอี้อ๋องถูกเยี่ยเม่ยฟันหน้ากากแตกในสนามรบ เผยโฉมหน้าสง่างามออกมา ใช้หน้ากากปกปิดใบหน้าไว้ จั่วอี้อ๋องไม่รู้สึกเสียดายหรอกหรือ” 

 

 

เซียวชินฟังแล้ว ไม่โกรธเลยสักน้อย เอ่ยตอบเรียบๆ “ตัวข้าไม่เคยสงสัยว่าไฉนท่านต้องสวมชุดนักบวชด้วย ท่านก็มิต้องสงสัยว่าไฉนข้าต้องสวมหน้ากาก คนเรามีชีวิตอยู่ ใส่ใจเรื่องของตัวเองก็ไม่ง่ายแล้ว ไยต้องสงสัยเรื่องผู้อื่น” 

 

 

 “ฮ่าๆๆๆ…” จิวมั่วเหอหัวเราะเสียงดัง 

 

 

เขาย่อมรู้ว่าคำพูดของ เซียวชินแฝงความนัย ทั้งรู้ว่าอีกฝ่ายเสียดสีเขาสวมชุดนักบวช ความจริงแล้วมีใจทะเยอทะยาน เพียงใช้ชุดนักบวชปกปิดความต้องการตำแหน่งราชาต้ามั่วของเขา 

 

 

ส่วนจิวมั่วเหอก็ไม่กลัดกลุ้ม พยักหน้าเอ่ยว่า “จั่วอี้อ๋องเอ่ยไม่ผิด คนเรามีชีวิตอยู่ ใส่ใจเรื่องของตัวเองก็ไม่ง่ายแล้ว ดังนั้นนอกจากตัวจั่วอี้อ๋อง เรื่องอื่นๆ ข้าน้อยหวังว่าท่านจะไม่ยุ่งเกี่ยว” 

 

 

 “ท่านวางใจได้” เซียวชินถอนใจ หันมองจิวมั่วเหอ “ข้าตัดสินใจแล้ว พรุ่งนี้จะเดินทางออกจากต้ามั่ว” 

 

 

จิวมั่วเหออึ้งไป คิดไม่ถึงว่า เซียวชินจะเอ่ยออกมาเช่นนี้ 

 

 

เซียวชินกวาดตามอง จิวมั่วเหอ ยิ้มเอ่ยว่า “ท่านกับบิดาลอบถามข้ามาหลายครั้งแล้ว คงไม่เชื่อใจในตัวข้า กังวลว่าข้าจะเป็นหินขวางทางพวกท่าน วันนี้ข้าไม่มีอำนาจทางทหารอีกแล้ว ท่านมีเจตนาร้ายกับข้าเช่นนี้ หากข้ารั้งอยู่ต่อไป เกรงว่าไม่ช้าจะตายอยู่ที่นี่” 

 

 

การคาดเดาของเซียวชิน จิวมั่วเหอไม่ปฏิเสธเลยสักนิด กลับมีสีหน้ายิ้มแย้ม มองไปรอบด้านที่ไร้ผู้คน 

 

 

จิวมั่วเหอพยักหน้าเอ่ย “หากคนที่จั่วอี้อ๋องภักดีไม่ใช่ท่านข่าน จิวมั่วเหออยากเป็นสหายกับท่าน น่าเสียดาย…” 

 

 

คำพูดของเซียวชินไม่ผิด 

 

 

คนที่อีกฝ่ายภักดีคือท่านข่าน อีกทั้งความสามารถของอีกฝ่ายก็ไม่มีอะไรให้กังขา หากตัวเองขึ้นตำแหน่งราชาต้ามั่ว ไม่อาจไม่กำจัดเซียวชิน 

 

 

จิวมั่วเหอเอ่ยต่อว่า “จิวมั่วเหอหาได้ไร้เดียงสาเช่นท่านพ่อ เมื่อได้รับคำสัญญาว่าจะไม่ขัดขวางจากจั่วอี้อ๋อง ก็คลายความระวังต่อท่าน อย่างไรสิ่งที่อันตราย ยังไงก็ต้องฆ่า ถึงจะปลอดภัย จั่วอี้อ๋องท่านว่าอย่างไร”  

 

 

 “ข้าเข้าใจ” เซียวชินรีบพยักหน้า ทั้งยังชื่นชมจากใน “จิตใจเช่นนี้ของท่าน มีคุณสมบัติเป็นราชา” 

 

 

เทียบกับบิดาของจิวมั่วเหอแล้ว ตัวจิวมั่วเหอเหมาะสมกับตำแหน่งราชามากกว่า 

 

 

หากเขาเซียวชินอยู่ในจุดยืนเดียวกับจิวมั่วเหอ คนแรกที่ต้องกำจัดก็คือตัวเอง 

 

 

เซียวชินเอ่ยออกมาเช่นนี้ จิวมั่วเหอก็ยิ้มออกมา “ฟังออกว่าคำพูดของจั่วอี้อ๋องเป็นคำชมที่มาจากใจ อย่างนั้นจิวมั่วเหอขอรับไว้แล้ว ความจริงจั่วอี้อ๋องก็ไม่จำเป็นต้องจากไป หากท่านยินดีรั้งอยู่ เปลี่ยนจุดยืนของตนช่วยจิวมั่วเหอทำการใหญ่…” 

 

 

เซียวชินมองจิวมั่วเหอ เลิกคิ้ว “ข้าภักดีต่อท่านข่าน ไม่อาจภักดีต่อท่าน จุดยืนของบุรุษผู้หนึ่ง หากเปลี่ยนแปลงได้ง่ายเช่นนี้ จะต่างอะไรกับการขายนายเพื่อความสูงศักดิ์อีกเล่า”  

 

 

จิวมั่วเหอฟังแล้ว จากนั้นก็ถามเซียวชินอีกประโยคว่า “อย่างนั้น ภายหน้าจั่วอี้อ๋องจะเป็นศัตรูกับต้ามั่วหรือไม่”  

 

 

เซียวชินเงียบไปครู่หนึ่ง ในที่สุดก็เอ่ยว่า “ชั่วชีวิตนี้ข้าจะไม่เกี่ยวพันกับการศึกใดๆ ของต้ามั่วและเป่ยเฉินอีกแล้ว” 

 

 

ถัดมา เซียวชินเอ่ยว่า “เชื่อว่าท่านก็เข้าใจ คิดสังหารข้า สำหรับพวกท่านแล้วก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ในเมื่อข้ายินดีจากไป ไม่กลับมาอีก ข้าก็ขอแนะนำท่านว่าอย่าได้สร้างปัญหาแทรกขึ้นมาอีก มิเช่นนั้นข้าก็มิใช่คนที่จะถูกรังแก ในที่สุดแล้วข้าเลือกออกจากต้ามั่ว หรือจะเป็นศัตรูกับตระกูลท่าน ข้าก็คงไม่กล้ารับรอง” 

 

 

นี่คือคำขู่ของของเซียวชิน  

 

 

จิวมั่วเหอหัวเราะ ประสานมือเอ่ยว่า “ข้าเชื่อว่าท่านเป็นคนที่เชื่อถือได้ ย่อมไม่ก่อปัญหาแน่ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ขอให้ท่านเดินทางโดยราบรื่น” 

 

 

           “ขอบคุณมาก” เซียวชินพยักหน้า “อย่างนั้นขอเตือนท่านหน่อย การทำศึกกับเยี่ยเม่ย ต้องระวังให้ดี มิเช่นนั้น ท่านอาจจะเสียเปรียบในการศึกเป็นครั้งแรก”