หนึ่งในแปดของหัวงูที่ถูกตัดลงของเซียงหลิ่วไม่ได้ตายในทันที ส่วนคอซึ่งเชื่อมติดกันดิ้นรนอยู่บนพื้น แต่ก็เพียงไม่นานดวงตาของหัวงูที่ถูกตัดลงมานี้ก็หลับลงไปตลอดกาล
สุดท้ายหัวงูก็กลายเป็นกองเลือด ส่งกลิ่นเหม็นและกัดกร่อนทุกอย่างรอบตัวมัน
นี่เป็นความเจ็บปวดเหนือกว่าความเจ็บปวดจากการโดนตัดนิ้ว แสดงให้เห็นได้ชัดว่าเส้นประสาทละเอียดอ่อนของเขารวมกันอยู่บนหัวงูทั้งแปด
ส่วนความเจ็บปวดนี้ก็เพียงพอให้เซียงหลิ่วบ้าคลั่งและดุร้ายขึ้นอย่างควบคุมไม่ได้
หัวงูอีกเจ็ดหัวของเชียงหลิ่วเล็งเป้าหมายไปยังหญิงสาวผู้สร้างความเจ็บปวดให้กับเขา เขาไม่รู้ว่าผู้หญิงที่ปรากฏตัวขึ้นอย่างกะทันหันนี้มีที่มาอย่างไร แต่เขาต้องแก้แค้นศัตรูที่ตัดหัวของเขาให้ได้
แค้นที่ไม่สามารถอดทนรอได้
หัวงูขนาดยักษ์ทั้งเจ็ดหัวยาวมาก ขยับไปมาอย่างต่อเนื่อง รายล้อมอยู่รอบกายโยวเย่ หัวงูเหล่านี้พ่นของเหลวสีเขียวเข้มออกมาไม่หยุด
ของเหลวที่มีพลังกัดกร่อนสูง เมื่อพวกมันตกลงพื้นก็เหมือนกับแมกม่าตกลงบนโฟมทำให้จมลงไปในทันที
ปัง ปัง ตูม!
เซียงหลิ่วบ้าคลั่งเหมือนกำลังทำลายทุกอย่างที่หัวงูขนาดยักษ์ของมันสามารถพุ่งชนได้
แต่ไม่ว่ามันจะบ้าคลั่งอย่างไร มันก็ไม่สามารถแตะต้องคุณหนูสาวใช้ของสมาคมได้เลยแม้แต่ชายเสื้อ
เปลวไฟสีดำโผล่ออกมาจากสองมือของโยวเย่ กลายเป็นกระบี่เพลิง
คุณหนูสาวใช้วิ่งไปมาบนพื้นอย่างมั่นคง…วิ่งวนไปมารอบคอยาวของเซียงหลิ่ว
กระบี่เพลิงสีดำตัดเป็นรอยแผลสีดำออกมาจากร่างกายของเซียงหลิ่วได้อย่างง่ายดาย…เสียงคำรามเจ็บปวดดังออกมาจากปากของเซียงหลิ่วอย่างต่อเนื่อง
เสียงร้องที่ชวนให้หวาดผวา
…
ทันใดนั้นลั่วชิวก็รู้สึกว่ามือของเส้นสายจิตวิญญาณกระชับขึ้นเล็กน้อย
เขารู้ว่ามันกังวลใจเรื่องอะไร
ลั่วชิวกางอีกมือหนึ่งของเขาออก มีของบางอย่างกำลังหมุนเบาๆ อยู่บนกลางมือของเขา…มันเหมือนกับลูกบอลกึ่งโปร่งแสง
เป็นเหมือนกับฟองอากาศจากน้ำสบู่
จิตวิญญาณของเส้นสายจิตวิญญาณรู้สึกได้จึงเงยหน้าขึ้น ลั่วชิวก็ก้มหน้ามองมันแล้วยิ้ม ลูกบอลในมือค่อยๆ ลอยขึ้น จากนั้นก็ยิงพุ่งขึ้นไปกลางอากาศ
มันขยายตัวออกนับสิบเท่า ร้อยเท่า พันเท่า…จนกระทั่งมันสามารถครอบคลุมทุกอย่างตรงหน้าได้อย่างสมบูรณ์
“อย่างน้อยจากมุมมองภายนอก ที่นี่จะดูเงียบมาก วางใจเถอะ เป็นอย่างที่คุณต้องการ จะไม่ทำให้เมืองแห่งนี้เกิดความตื่นตระหนก”
ในตอนที่ลูกบอลครอบคลุมไปครึ่งหนึ่งของเขตอุตสาหกรรมรกร้างแล้ว จิตวิญญาณของเส้นสายจิตวิญญาณก็ได้ยินเสียงของลั่วชิว…พูดรับรอง
หากบอกว่าคุณหนูสาวใช้มีพลังต่อสู้ที่แข็งแกร่ง เช่นนั้นสำหรับเจ้าของสมาคมลั่วแล้วเขาชอบสิ่งที่เรียกว่าทักษะมากกว่า
สำหรับเรื่องกำลังรบของเจ้าของสมาคมนั้น…ก็ต้องรอให้ใครผ่านคุณหนูสาวใช้ได้ก่อนแล้วค่อยว่ากัน
“ไม่มีอะไรแล้ว ทุกอย่างทำตามความต้องการของคุณ”
ลั่วชิวจูงมือของเส้นสายจิตวิญญาณ พามันก้าวไปตรงหน้าของซูจื่อจวินและกุยเชียนอี
ซูจื่อจวินเคยพบ…และเป็นลูกค้าของเจ้าของสมาคมผู้นี้
แต่กุยเชียนอีไม่เคยเห็น…แต่คนแก่นั้นเคยรู้เคยเห็นมาเยอะ นับประสาอะไรกับเขา เต่าที่ไม่รู้อยู่มากี่ปีแล้ว
ลั่วชิวกวาดตามองผ่านร่างของกุยเชียนอี ทันใดนั้นก็พูดขึ้นว่า “ผมเคยเห็นสิ่งมีชีวิตอายุยืนยาวกว่าคุณ”
“อะไร?”
กุยเชียนอีชะงัก เต่าเฒ่าคิดไม่ถึงว่าคนลึกลับคนนี้จะพูดกับตนเองเป็นคนแรก เพราะสิ่งที่เขาสัมผัสได้ก็คือ องค์หญิงซูจื่อจวินข้างกายของเขานั้นรู้จักผู้มีรูปลักษณ์เหมือนชายหนุ่มตรงหน้า
ผู้จัดการกุยแห่งเอลิเซียมบาร์ไม่คิดว่าคนหนุ่มตรงหน้าจะเป็นคนหนุ่มจริงๆ
“เจ้า…เจ้ามาทำอะไร?” ซูจื่อจวินกลับรู้สึกไม่มั่นใจ น้ำเสียงแฝงด้วยความตกใจ
น้ำเสียงที่ออกมาจากปากของซูจื่อจวินทำให้กุยเชียนอีคิดบางอย่างได้ ลอบคาดเดาถึงที่มาของกระบี่ตรงหน้า…แต่เมื่อเขาเหมือนจะค้นพบอะไรบางอย่าง เขากลับรู้สึกกลัวขึ้นในพริบตา…ภายในกระดองของกุยเชียนอีจึงมีเหงื่อซึมขึ้น!
ชั่วขณะนั้น ซูจื่อจวินดูทั้งการต่อสู้ระหว่างเซียงหลิ่วกับคุณหนูสาวใช้ ทั้งต้องคอยระวังพ่อค้าลึกลับตรงหน้าด้วย
ความเป็นไปได้มากมายเกิดขึ้นในหัวของเธอ
เธออดคิดถึงความเป็นไปได้ที่แย่ที่สุดไม่ได้ ถ้าหากเซียงหลิ่วก็เคยพูดคุยแลกเปลี่ยนอะไรกับเขาล่ะ
แน่นอนว่าเรื่องที่คุณหนูสาวใช้ต่อสู้กับเซียงหลิ่วจะลบความเป็นไปได้นี้ไป แต่ยังมีอีกความเป็นไปได้ นั่นก็คือหากเซียงหลิ่วเสนอข้อแลกเปลี่ยนอะไรออกมาในตอนนี้…
ซูจื่อจวินไม่คิดว่าสมาคมนี้จะมีจุดยืนอะไร หากพูดถึงหลักการที่ใกล้เคียงงกับจุดยืนแล้วก็คือ ใครยินดีขาย มันก็ยินดีซื้อ
“ก็ต้องมาทำตามปรารถนาของลูกค้าสิครับ”
…
แน่นอนว่ามาเพื่อทำให้ความต้องการของลูกค้าเป็นจริง
เจ้าของสมาคมมอบคำตอบเช่นนี้ออกไป ต่อหน้าลูกค้าเขาทำได้เพียงให้คำตอบที่ใกล้เคียงที่สุดเท่านั้น…ซูจื่อจวินคาดเดาคำตอบได้แล้ว
เป็นอย่างนี้จริงๆ!
“เจ้าอย่าทำอะไรเหลวไหลนะ…” ซูจื่อจวินสูดลมหายใจเข้าลึกๆ “หากเจ้ากล้าทำอะไรเหลวไหล ข้าก็จะ…”
ลั่วชิวส่ายหน้าและพูดขึ้นว่า “ให้ผมดูคุณหลงเถอะ”
พูดไป ลั่วชิวก็จูงมือของเส้นสายจิตวิญญาณเดินผ่านซูจื่อจวินไปข้างกายของหลงซีรั่ว ชั่วขณะนั้นซูจื่อจินก็รู้สึกหวาดกลัว ทั้งหวาดกลัวและตกตะลึง “เจ้าอย่าทำอะไร…เหลวไหล…นี่!”
ทำไมเธอต้องกลัว? กลัวและสับสนวุ่นวาย?
ตอนนี้เธอไม่สามารถขยับได้! เหมือนว่าร่างกายถูกอะไรกักขังไว้!
แต่เพียงพริบตาเดียวเธอก็รู้สึกได้ถึงพลังวิญญาณอันยิ่งใหญ่ไหลจากตำแหน่งที่เธอยืนอยู่ วิ่งจากสองขาของเธอเข้าไปในร่างกายอย่างต่อเนื่อง ทำให้พลังปีศาจที่เกือบจะแห้งผากของเธอเริ่มฟื้นฟูขึ้นมา…ฟื้นฟูอย่างรวดเร็วเหนือความคาดหมาย!
ลั่วชิวเพียงลูบกลางฝ่ามือของหลงซีรั่วเบาๆ ดูเหมือนมีบางอย่างเปล่งประกายขยับเคลื่อนไหวกลางมือของเขาและเธอ
ท่าทีของซูจื่อจวินดูซับซ้อนขึ้น พูดว่า “เจ้า…ทำไมเจ้าถึงทำแบบนี้?”
“ไม่ใช่ผม” ลั่วชิวส่ายหน้าและพูดเบาๆ ว่า “สัมผัสไม่ได้งั้นหรือ นี่เป็นของขวัญที่มันมอบให้”
มัน…
เงาแสงเด็กตรงหน้าที่มีเพียงดวงตาสีทองคู่เดียว แต่กลับเผยแววตาโศกเศร้าออกมา
ความรู้สึกคุ้นเคยพลันปรากฏขึ้นในการรับรู้ของซูจื่อจวิน เธอมองมันเหมือนสูญเสียสติและมีความรู้สึกซับซ้อนยากจะอธิบาย
ส่วนหลงซีรั่วก็ค่อยๆ ลืมตาขึ้น…ลมหายใจของเธอดูดีขึ้นกว่าเดิม
“เป็นเจ้า…” หลงซีรั่วมองเห็นลั่วชิวแล้วค่อยๆ ขมวดคิ้วขึ้น
“เจ้าคือ…” จากนั้นเธอก็มองไปยังเงาแสงเด็ก ความสงสัยวาบผ่านขึ้นมาในหัว จากนั้นก็เผยสีหน้าตกตะลึง พูดอย่างไม่อยากจะเชื่อว่า “เป็นเจ้า…เป็นเจ้างั้นหรือ?”
จิตวิญญาณของเส้นสายจิตวิญญาณพยักหน้า
มันยื่นมือออกมาหาหลงซีรั่ว ส่วนหลงซีรั่วก็ยื่นมือออกมาโดยไม่รู้สึกตัว
“ขอบคุณ” จิตวิญญาณของเส้นสายจิตวิญญาณขอบคุณหลงซีรั่ว
“ข้าไม่ได้ทำอะไร” หลงซีรั่วส่ายหน้า หันกลับไปมองมือของตนเองที่ยังถูกเจ้าของสมาคมจับเอาไว้แล้วพูดอย่างไม่พอใจว่า “เจ้าไม่กลัวคนใช้ผู้จงรักภักดีของเจ้าจะหึงงั้นหรือ?”
“เสียมารยาทแล้ว”
ลั่วชิวค่อยๆ ปล่อยมือ
แม้หลงซีรั่วจะรู้ว่าหากไม่มีการเคลื่อนไหวนี้ของเจ้าของสมาคม เกรงว่าเธอคงจะไม่ฟื้นตื่นขึ้นมาได้เร็วขนาดนี้…แต่ความขุ่นแค้นที่เคยผ่านมา แค้นที่โดนตบในครั้งนั้นยังอยู่ในความทรงจำของใต้เท้าหลงแห่งโลกปีศาจผู้นี้
“ใต้เท้าหลง ท่านไม่เป็นไรใช่ไหม!” กุยเชียนอีดีใจขึ้นมา
หลงซีรั่วพยักหน้า พูดขึ้นว่า “ไม่เป็นอะไรแล้ว กุยเชียนอี ครั้งนี้ลำบากเจ้าแล้ว มีเรื่องอะไรเอาไว้ค่อยพูดทีหลัง”
พูดแล้วหลงซีรั่วก็หรี่ตาลงอย่างกะทันหัน “นี่เป็นรากเหง้าแห่งปัญหาที่ข้าเหลือทิ้งเอาไว้ในครั้งนั้น เมื่อปลูกปัญหาก็ต้องรับผลลัพธ์ของมันและแก้ไขเอง”
เธอยืนขึ้นมา
สายตามองไปด้านหน้า
ด้านหน้า คุณหนูสาวใช้เดินมาด้วยความสงบ ส่วนในมือของเธอกลับลากเงาร่างหนึ่งมาด้วย ซึ่งก็คือเซียงหลิ่ว!
ไม่รู้ว่าการต่อสู้จบลงตั้งแต่เมื่อไหร่ ร่างขนาดใหญ่ที่เคยมีแปดหัวและน่าหวาดกลัวของเซียงหลิ่ว มาตอนนี้กลับเป็นเหมือนโคลนที่สามารถลากไปมาได้ตามใจชอบ
นี่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อไหร่กัน?
ซูจื่อจวินตกตะลึงอยู่ในใจ…เป็นตอนที่เธอซึมซับพลังวิญญาณและพลังปีศาจเริ่มฟื้นฟู? หรือว่าเป็นตอนที่เธอกำลังกังวลใจเกี่ยวกับสถานการณ์ของหลงซีรั่วจนละเลย?
ภายในเวลาสั้นๆ…แทบไม่มีเสียงอะไรเลยงั้นหรือ?
เธอไม่มีปัญญาจัดการเซียงหลิ่ว แต่หากจะให้ถึงขั้นนั้นแล้ว…ดูเหมือนต้องพัฒนาขึ้นอีกไม่น้อย
แต่คุณหนูสาวใช้ผู้เอาชนะในการต่อสู้กลับไม่ได้สนใจกับความตกตะลึงของเหล่าปีศาจ เธอเพียงโยนเซียงหลิ่วที่เหมือนดินโคลนในมือออกไป แล้วมายืนอยู่ด้านหลังของเจ้าของสมาคมลั่วเงียบๆ
เพียงแค่ยืนเฉยๆ ก็ดีแล้ว