ภายในห้องแยกบนชั้นที่สองของโรงประมูล ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือนั่งอยู่ด้วยกันอย่างใกล้ชิดขณะเอ่ยถามฉินอี้เฟยและเสี่ยวโร่วเกี่ยวกับสิ่งที่ต้องการทราบ
“ข้าไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับตระกูลลับมากนัก พวกเขาเหล่านั้นลึกลับและเก็บตัวเงียบเกินไป แม้ข้าเคยพยายามสืบข้อมูลมาตลอดหลายปีก็ไม่เคยได้เบาะแสใด ๆ ที่เป็นประโยชน์”
ฉินอี้เฟยส่ายศีรษะเบา ๆ อย่างจนปัญญาเมื่อได้ยินคำถามจากน้องสาวเกี่ยวกับตระกูลหาน—หนึ่งในตระกูลลับของดินแดนเทพมายา
นับตั้งแต่ทราบว่าเสี่ยวโร่วเป็นสมาชิกของหนึ่งในสี่ตระกูลลับ เขาก็ได้ทำการสืบหาข้อมูลอย่างจริงจัง อย่างไรก็ตาม ตระกูลลับทั้งสี่ก็ลึกลับสมดังคำเล่าลือและชื่อของมัน แม้หลังจากพยายามสืบหาเบาะแส เขาก็แทบจะไม่ได้ข้อมูลใดที่เป็นประโยชน์มา
หากมิใช่เพราะเสี่ยวโร่วเดินทางมาพบเขาด้วยตัวเองในครานั้น เกรงว่าฉินอี้เฟยคงต้องใช้เวลาอีกนานกว่าจะทราบได้ว่าเสี่ยวโร่วอยู่ที่ใด
แน่นอนว่าฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือก็ทราบถึงความลึกลับพิศวงของตระกูลลับเหล่านั้นเช่นกัน และยังตระหนักดีว่าการสืบข่าวคราวของตระกูลทั้งสี่มิใช่เรื่องง่าย
อย่างไรก็ตาม เสี่ยวโร่วก็เป็นคุณหนูใหญ่ของตระกูลเหมยซึ่งเป็นหนึ่งในสี่ตระกูลลับและนางอาจทราบข้อมูลเกี่ยวกับตระกูลหานก็เป็นได้
“คุณหนู ข้าพอจะรู้ข้อมูลเกี่ยวกับตระกูลหานอยู่บ้างเจ้าค่ะ”
เสี่ยวโร่วพยักศีรษะและเริ่มกล่าวข้อมูลที่นางทราบเกี่ยวกับตระกูลหาน
ผู้นำตระกูลหานคนปัจจุบันมีนามว่า ‘หานชาง’ หากนับตามลำดับญาติแล้วเขาน่าจะเป็นลุงใหญ่ของหานโม่ฉือ อย่างไรก็ตาม มีความเป็นไปได้สูงว่าลุงใหญ่ผู้นี้คือผู้ที่เล่นงานและสร้างปัญหาให้กับบิดามารดาของหานโม่ฉือในตอนนั้นส่งผลให้พวกเขาตกอยู่ในสถานการณ์อันตรายหลายครั้งหลายคราและต้องพลัดพรากจากหานโม่ฉือ ซึ่งเวลานี้ก็ไม่อาจทราบได้ว่าพวกเขาเป็นตายร้ายดีอย่างไร
ตระกูลหานมีผู้อาวุโสสี่คนซึ่งทั้งหมดล้วนแต่ทรงพลังอย่างยิ่ง เสี่ยวโร่วไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับผู้อาวุโสทั้งสี่นักโดยทราบเพียงว่าพวกเขามักจะเก็บตัวเงียบและแทบไม่ปรากฏตัวให้เห็น
ในบรรดาจอมยุทธ์รุ่นเดียวกับหานชางก็ยังมีน้องชายของเขาอีกคนหนึ่งนามว่า ‘หานหยวน’ และเป็นนายรองของตระกูลหาน
หากเปรียบเทียบกับหานชาง หานหยวนผู้นี้เหมือนไม่ใช่น้องชายแท้ ๆ ของเขาด้วยซ้ำ
หานชางมีทั้งพลังที่แข็งแกร่ง ความสามารถอันโดดเด่นและกุศโลบายความคิดที่ล้ำลึกซึ่งทำให้สมาชิกของตระกูลต่างก็เคารพและชื่นชมต่อเขา ในขณะที่หานหยวนมีความแข็งแกร่งเพียงระดับกลาง ๆ และมีพลังเพียงขอบเขตพสุธาเซียนขั้นสูงเท่านั้น ทว่าด้วยความยโสโอหังและไม่เห็นหัวผู้ใด มันจึงทำให้เขาไม่เป็นที่เคารพชื่นชอบในตระกูลหานนัก
อย่างไรก็ตาม หานชางก็ไม่ได้ชิงชังหรืออคติต่อน้องชายของตน ในทางกลับกัน เขาปฏิบัติต่อหานหยวนเป็นอย่างดี เพราะเหตุนั้น แม้การประพฤติตนของหานหยวนจะไม่เหมาะสมนัก แต่สถานะของเขาในตระกูลก็ไม่ต่ำต้อยแม้แต่น้อย
หานชางมีบุตรชายสองคน คนแรกบุตรชายคนโต—หานเฟย เขาเป็นจอมยุทธ์ที่มากพรสวรรค์ซึ่งมีพลังความแข็งแกร่งอยู่ในขอบเขตพสุธาเซียนขั้นสูงสุดและอาจทะลวงพลังไปสู่ขอบเขตนภาเซียนในไม่ช้า หานเฟยเป็นคนเย็นชายิ้มยากและแทบไม่ออกไปปรากฏตัวให้ผู้ใดพบเห็น โดยปกติแล้วเขามักเก็บตัวฝึกวิชาอยู่เสมอ กล่าวได้ว่าเขาชื่นชอบการฝึกยุทธ์เป็นชีวิตจิตใจจนถึงขั้นคลั่งไคล้เลยก็ว่าได้
บุตรชายคนเล็กของหานชางและเป็นคุณชายรองของตระกูล—หานซื่อ แม้เป็นพี่น้องกัน ทว่าลักษณะนิสัยของเขากลับตรงกันข้ามกับพี่ชายอย่างหานเฟยอย่างสิ้นเชิง
หานซื่อมิได้มีพลังความแข็งแกร่งที่มากเท่ากับหานเฟย ทว่าก็มีพรสวรรค์ที่ถือว่าไม่ธรรมดาเช่นกัน คาดว่าเขาน่าจะมีพลังไม่ต่ำกว่าขอบเขตพสุธาเซียนขั้นสูง เขาเป็นคนชาญฉลาดและภายนอกดูสุภาพอ่อนโยน ทว่าแท้จริงกลับเคลือบแฝงไปด้วยเล่ห์เหลี่ยมและมีจิตใจที่ชั่วร้ายไร้ความปรานี ตัวตนที่แท้จริงของเขาคือคนใจหยาบโหดเหี้ยมดี ๆ นี่เอง
ภายในตระกูลหาน ใครก็ตามที่ทำให้หานซื่อไม่พอใจ แม้ภายนอกอาจดูเหมือนเขาไม่คิดแค้น ทว่าในใจของเขาหมายมั่นที่จะทำให้ชีวิตของคนผู้นั้นเผชิญชะตากรรมที่เลวร้ายยิ่งกว่าความตายเสียอีก
คุณชายรองของตระกูลหานผู้นี้ชอบออกไปท่องเที่ยวทั่วดินแดนเพื่อหาเรื่องสนุก ๆ บันเทิงใจและมักไม่อยู่ในจวนตระกูล อย่างไรก็ตาม มีคนเพียงไม่มากที่เคยพบเขาและจดจำเขาได้
ยิ่งไปกว่านั้น ลักษณะนิสัยของหานซื่อผู้นี้มีส่วนคล้ายคลึงกับผู้เป็นบิดาซึ่งยอมทำทุกอย่างเพื่อให้บรรลุเป้าหมายของตนเองไม่ว่าจะต้องใช้วิธีการใดก็ตาม และเป็นเพราะลักษณะนิสัยเช่นนี้เองที่ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างเขาและพี่ชายอย่างหานเฟยไม่ลงรอยกันนัก หานเฟยไม่ชอบนิสัยของน้องชายเท่าใดนักในขณะที่หานซื่อริษยาในความสามารถอันเก่งกาจของพี่ชายและความรักที่บิดามีต่อหานเฟย
นอกเหนือจากหานเฟยและหานซื่อ ตระกูลหานยังมีบุรุษหนุ่มรุ่นเยาว์อีกสองคนและสตรีอีกหนึ่งคนซึ่งทั้งหมดเป็นบุตรของน้องชายของหานชาง—หานหยวน
บุรุษหนุ่มทั้งสองและสตรีล้วนมีอายุไม่มากนัก โดยบุรุษมีอายุไล่เลี่ยกับหานโม่ฉือและสตรีมีอายุใกล้เคียงกับฉินอวี้โม่
บุตรทั้งสามคนของหานหยวนมิได้มีพรสวรรค์มากนัก แม้หลังจากฝึกวิชามานานหลายปี เวลานี้พวกเขาก็เพิ่งบรรลุขอบเขตพสุธาเซียนขั้นต้นเท่านั้น พวกเขาเป็นคนใสซื่อไร้เล่ห์เหลี่ยมและสถานะของพวกเขาในตระกูลหานก็ไม่ถือว่าสูงนัก อย่างไรก็ตาม ด้วยการปกป้องคุ้มครองจากบิดาผู้ทะนงตนอย่างหานหยวน พวกเขาจึงไม่ต้องกังวลในสิ่งใด
หานเยียน—สตรีเพียงคนเดียวในตระกูลหานเป็นคนเรียบง่าย จิตใจดี มองโลกในแง่ดีและร่าเริงแจ่มใส เสี่ยวโร่วก็เคยพบนางหลายครั้งหลายคราและรู้สึกถูกชะตาเป็นอย่างมาก
ความแข็งแกร่งโดยรวมของตระกูลหานยังคงจัดอยู่ในอันดับต้น ๆ ของสี่ตระกูลลับ อย่างไรก็ตาม ความเจริญรุ่งเรืองอย่างรวดเร็วของตระกูลไป่หลี่ตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้ก็ทำให้ฝ่ายตระกูลหานหวั่นใจเล็กน้อย
หลังจากฟังเสี่ยวโร่วเล่าข้อมูลเกี่ยวกับตระกูลหาน ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือก็หันมองหน้ากันและพยักศีรษะอย่างเข้าใจกันโดยไม่ต้องเอ่ย
ดูเหมือนว่าตระกูลหานจะไม่ได้สงบราบเรียบอย่างที่เห็นภายนอก หากหานชางเป็นตัวการที่ลงโทษบิดามารดาของหานโม่ฉือในอดีตจริง หานชางก็อาจจะหวาดระแวงหานหยวนอยู่ไม่น้อยเช่นกัน
การที่หานหยวนอยู่ที่ตระกูลหานมาได้อย่างเนิ่นนานเช่นนี้ บางทีความโอหังที่แสดงออกมาอาจเป็นการแสดงตบตาเพื่อปกปิดบางอย่าง
ความบาดหมางไม่ลงรอยกันระหว่างสองพี่น้องหานเฟยและหานซื่อก็อาจเกี่ยวข้องกับบิดาของพวกเขาอย่างหานชางเช่นกัน
และก็เป็นดังที่คิดไว้ ความแข็งแกร่งของตระกูลหานเป็นสิ่งที่ไม่อาจประมาทได้เลย เพราะเหตุนั้น หากต้องการเดินทางไปเยือนตระกูลหาน ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือก็จะต้องหารือกันเพื่อคิดค้นแผนการที่ดีขึ้นมาก่อน
“เสี่ยวโร่ว นอกจากคนเหล่านี้ที่เจ้ากล่าวมา ยังมีคนอื่นในตระกูลหานอีกรึไม่ ? อย่างเช่นใครบางคนที่ถูกกักขังไว้เพราะเหตุผลบางอย่าง หรือบุคคลลึกลับที่แทบจะไม่มีใครรู้จัก ?”
เสี่ยวโร่วและฉินอี้เฟยเป็นคนที่ไว้วางใจได้ แน่นอนว่าฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือจะไม่ปิดบังความจริงจากคนทั้งสอง ฉินอวี้โม่กล่าวถามสิ่งที่นางและหานโม่ฉือกังวลมากที่สุดอย่างตรงไปตรงมา
เสี่ยวโร่วไตร่ตรองครู่หนึ่งก่อนส่ายศีรษะเบา ๆ
“ข้าไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้มาก่อน”
ตระกูลลับทั้งสี่ก็ลึกลับสมชื่ออย่างแท้จริงและข้อมูลเหล่านี้นางก็ทราบมาจากท่านปู่ของนางเท่านั้น
“ในตระกูลหานมีพื้นที่ต้องห้ามใดรึไม่ ?”
หานโม่ฉือเอ่ยถามเสียงเบาทว่าฉินอวี้โม่สัมผัสได้ว่าหัวใจของบุรุษข้างกายมิได้ใจเย็นอย่างที่เขาแสดงออก
เมื่อได้ยินคำถามดังกล่าว เสี่ยวโร่วก็เริ่มนึกข้อมูลที่มีอีกครั้ง
“ดูเหมือนจะมีอยู่ที่หนึ่งเจ้าค่ะ”
หลังจากพยายามไตร่ตรองดูอีกครั้ง ดวงตาของเสี่ยวโร่วก็เป็นประกายราวกับนึกบางอย่างขึ้นมาได้และกล่าวตอบทันที
“ภายในเขตจวนตระกูลหานมีหอคอยเจ็ดชั้นอยู่แห่งหนึ่ง หอคอยสูงนั่นเป็นเขตต้องห้ามของตระกูลหานซึ่งมีทั้งข่ายอาคมและผนึกมากมายอยู่รอบมัน เราไม่อาจทราบได้ว่ามีสิ่งใดอยู่ข้างในนั้น ข้าเพียงคาดเดาว่ามันอาจมีบางอย่างซ่อนอยู่ ในอดีตก็เคยมีคนที่ต้องการแอบลักลอบเข้าไปในหอคอยเพื่อสำรวจด้วยตัวเอง ทว่าพวกเขาก็ฝ่าทะลวงผ่านข่ายอาคมที่ซับซ้อนไปไม่ได้ด้วยซ้ำ”
หอคอยสูงตระหง่านแห่งนี้เป็นพื้นที่ต้องห้ามของตระกูลหาน แต่ละตระกูลลับล้วนมีความลับบางอย่างซ่อนไว้ ทว่าเมื่อเปรียบเทียบกับตระกูลอื่น ดูเหมือนว่าความลับของตระกูลหานจะล้ำลึกและเป็นที่น่าสนใจกว่าผู้ใด ด้วยหอคอยสูงที่โดดเด่นเช่นนั้น ต่อให้ไม่ต้องการสังเกตเห็น มันก็คงยากที่จะรอดพ้นจากสายตาไปได้
ในการรวมตัวครั้งก่อนของทั้งสี่ตระกูลลับ คนจากตระกูลเหมยเดินทางไปที่ตระกูลหานและสนใจในหอคอยแห่งนั้นเป็นอย่างมาก อย่างไรก็ตาม รอบ ๆ หอคอยสูงตระหง่านก็เต็มไปด้วยข่ายอาคมและอันตรายมากมาย แม้สงสัยใคร่รู้เพียงใดก็ไม่มีใครที่กล้าเข้าไปสำรวจมัน
เมื่อฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือได้ยินเรื่องหอคอยสูงดังกล่าว จิตใจของทั้งสองก็สั่นไหวเล็กน้อย บางทีบิดามารดาของหานโม่ฉืออาจถูกจับขังไว้ที่นั่นก็เป็นได้… แม้ไม่ทราบสถานการณ์ปัจจุบันของทั้งสอง หากเพียงได้ทราบว่าพวกเขายังมีชีวิตอยู่ นั่นก็เพียงพอที่จะทำให้ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือมีความสุขแล้ว
“คุณหนู คุณชาย เหตุใดท่านทั้งสองจึงสนใจเรื่องตระกูลหานมากถึงเพียงนี้รึเจ้าคะ ?”
เสี่ยวโร่วเอ่ยถามด้วยความสงสัย แม้นางพอจะสันนิษฐานได้แล้วว่ามันน่าจะเกี่ยวข้องกับหานโม่ฉือ นางก็ยังเอ่ยถามเพื่อยืนยันความจริง
“อันที่จริง… พวกเราได้ข่าวมาว่าพ่อแม้แท้ ๆ ของโม่ฉืออาจถูกจับขังไว้ในที่ใดสักแห่งภายในตระกูลหาน”
แน่นอนว่าฉินอวี้โม่ไม่ต้องการโกหกต่อเสี่ยวโร่วและฉินอี้เฟย การบอกความจริงออกไปตามตรงเช่นนี้จะทำให้เสี่ยวโร่วช่วยสืบหารายละเอียดข้อมูลได้มากขึ้น
“พ่อแม่แท้ ๆ ของโม่ฉืองั้นรึ ?”
ฉินอี้เฟยประหลาดใจไม่น้อยเมื่อได้ยินเช่นนี้ มีเพียงน้อยคนเท่านั้นที่จะทราบว่าหานโม่ฉือมิใช่บุตรชายแท้ ๆ ของหานปิงเซียน
“ใช่”
หานโม่ฉือพยักหน้าตอบตามตรงก่อนเริ่มกล่าวอธิบายเรื่องราว
“ไม่คิดเลยว่าเรื่องราวชีวิตของคุณชายจะซับซ้อนถึงเพียงนี้”
หลังจากฟังเรื่องราวของหานโม่ฉือ เสี่ยวโร่วก็รู้สึกชื่นชมเขาจับใจ ด้วยประสบการณ์ชีวิตที่ซับซ้อนวุ่นวายเช่นนั้น ทว่าเขาก็ยังฝึกวิชาอย่างขยันขันแข็งและไม่ย่อท้อ คงมิใช่เรื่องง่ายเลยที่หานโม่ฉือจะมาถึงจุดนี้ได้
“คุณชาย ไม่ต้องห่วงเจ้าค่ะ เมื่อกลับไปที่ตระกูล ข้าจะช่วยสืบข่าวอีกแรง ต่อให้ไม่สามารถค้นพบว่ามีใครถูกขังอยู่ในหอคอยรึไม่ อย่างน้อยเราก็น่าจะค้นพบข้อมูลบางอย่างในอดีต ข้าเชื่อว่าท่านลุงและท่านป้าจะต้องไม่เป็นอะไรและกำลังรอให้คุณชายและคุณหนูตามหาจนพบ เมื่อถึงตอนนั้น ท่านทั้งสองจะได้อุ้มหลานน่ารักน่าชังทั้งสองคนอย่างแน่นอน”
เสี่ยวโร่วยิ้มและกล่าวปลอบใจหานโม่ฉือเพื่อให้เขาวางใจและคลายกังวล เมื่อทราบว่านี่เป็นเรื่องสำคัญสำหรับคุณชายที่เรียกได้ว่าเป็นพี่เขย แน่นอนว่าเสี่ยวโร่วจะตั้งใจสืบเบาะแสอย่างเต็มที่ เมื่อนางกลับไปที่ตระกูลเหมยครานี้ นางจะไปถามข้อมูลจากท่านปู่ด้วยหวังว่าจะได้รับเบาะแสที่เป็นประโยชน์
“ขอบคุณเจ้าเป็นการล่วงหน้า”
หานโม่ฉือยิ้มบาง ๆ การได้ทราบว่ามีคนเป็นห่วงและสนใจความรู้สึกของตนมากมายเช่นนี้ทำให้เขาสุขใจอย่างยิ่ง
“โม่ฉือ ไม่ต้องขอบคุณหรอก อย่างไรเราก็เป็นครอบครัวเดียวกัน”
ฉินอี้เฟยกล่าวพร้อมรอยยิ้ม ทว่าเสี่ยวโร่วหน้าแดงระเรื่อทันที
“ใช่แล้ว เราเป็นครอบครัวเดียวกัน อีกไม่นานคงจะได้เรียกว่าพี่ใหญ่และพี่สะใภ้แล้วสินะ”
ฉินอวี้โม่ยิ้มและกล่าวเพื่อตั้งใจเย้าแหย่เสี่ยวโร่วโดยตรง
“คุณหนู หากท่านล้อข้าเล่นอีกครั้งละก็ ข้าจะ… ข้าจะ…”
พวงแก้มขาวเนียนของเสี่ยวโร่วในตอนนี้ชมพูระเรื่ออย่างเห็นได้ชัด ทว่านางไม่อาจสรรหาคำพูดตอบโต้กลับได้เลย
“เจ้าจะทำไมรึ ?”
ฉินอวี้โม่ยังคงเย้าแหย่นางต่อไป ไม่บ่อยเลยที่จะได้เห็นเสี่ยวโร่วเขินอายจนตัวแทบม้วนเช่นนี้
“ข้าจะร้องไห้จริง ๆ ด้วย !”
ในที่สุดเสี่ยวโร่วก็ตอบกลับพร้อมแค่นเสียงในลำคอเบา ๆ ขณะแสร้งทำท่าทางเป็นโกรธเคือง
“โอ๋… เสี่ยวโร่วที่รัก พี่สะใภ้คนดีของข้า ข้ามิบังอาจ… หากเจ้าร้องไห้ พี่ใหญ่คงไม่สบายใจ เมื่อถึงตอนนั้นพี่ใหญ่คงจะโกรธข้าและนั่นจะเป็นบาปติดค้างอยู่ในใจข้าแน่ ๆ”
ฉินอวี้โม่จับมือเสี่ยวโร่วและกล่าวด้วยน้ำเสียงหยอกเย้าด้วยใบหน้ายิ้มแย้มไม่เปลี่ยนแปลง
เสี่ยวโร่วไม่รู้เลยว่าควรหัวเราะหรือร้องไห้กับการแสดงท่าทางและวาจาของฉินอวี้โม่ นางลุกขึ้นวิ่งไล่ฉินอวี้โม่และเริ่มทำท่าทะเลาะต่อยตีกันทันที
ในเวลานี้ฉินอวี้โม่มีความสุขมาก มีเพียงเวลาที่นางอยู่กับเสี่ยวโร่วเท่านั้นที่ท่าทางร่าเริงแบบเด็ก ๆ เช่นนี้จะเผยออกมา
บุรุษหนุ่มทั้งสองอย่างฉินอี้เฟยและหานโม่ฉือก็นั่งมองการหยอกเย้าล้อเล่นกันของสตรีทั้งสองด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
“โม่ฉือ การที่มีเจ้าคอยดูแลเสี่ยวโม่เอ๋อร์อยู่ ข้าก็สามารถวางใจได้”
เขาเพียงกล่าวสั้น ๆ ด้วยน้ำเสียงซาบซึ้งโดยไม่กล่าวอะไรให้มากความ ฉินอี้เฟยเชื่อมั่นและไว้วางใจน้องเขยคนนี้อย่างแท้จริง
“พี่ใหญ่ ไม่ต้องห่วง การที่มีข้าอยู่ทั้งคน โม่เอ๋อร์จะไม่เผชิญเรื่องเลวร้ายหรือภยันตรายใด ๆ อย่างแน่นอน”
หานโม่ฉือยิ้มและกล่าวอย่างหนักแน่นขณะแววตามองไปที่ฉินอวี้โม่ด้วยความรักที่เต็มเปี่ยม
“อีกอย่าง ข้าได้ยินมาว่าครานี้หานซื่อ—คุณชายรองของตระกูลหานมาที่เมืองซิ่งหัวแห่งนี้เช่นกัน เจ้าคิดว่าเราควรลงมือทำอะไรรึไม่ ?”
ฉินอี้เฟยนึกบางอย่างขึ้นมาได้และกล่าวพร้อมรอยยิ้ม
เมื่อได้ยินเช่นนั้น หานโม่ฉือก็กระตุกยิ้มมุมปากและกล่าวเพียงสั้น ๆ “ถ้าเช่นนั้นเราก็ต้องต้อนรับเขาสักหน่อย”