ตอนที่ 469 อู่เยวี่ยผู้ตกลงไปในโคลนตม + ตอนที่ 470 กองไฟในหน้าหนาว โดย Ink Stone_Romance
ตอนที่ 469 อู่เยวี่ยผู้ตกลงไปในโคลนตม
ทางด้านอู่เหมยเต็มไปด้วยความปลื้มปีติยินดี ส่วนทางด้านอู่เยวี่ยกลับเงียบสงัด วันนี้เธอก็กลับไปที่โรงเรียนเอาใบแจ้งผลการเรียนเช่นกัน ท่ามกลางความคาดหวังของอาจารย์และเพื่อนนักเรียน คะแนนของอู่เยวี่ยกลับไม่เป็นที่พึงพอใจ แม้ห้าสิบอันดับแรกของทั้งโรงเรียนเธอก็ยังไม่ได้
ได้อันดับหกสิบแปดของทั้งโรงเรียน ก็เป็นตัวเลขที่ดีมากแล้ว!
แต่สำหรับเหอปี้อวิ๋นสองแม่ลูกและอู่เจิ้งซือแล้ว ตัวเลขนี้เป็นตัวเลขที่ขวางหูขวางตาอย่างไม่มีอะไรจะเปรียบ ยิ่งทำให้พวกเขารู้สึกอัปยศอดสูมากขึ้นไปอีก
ตั้งแต่ที่อู่เยวี่ยได้รับใบแจ้งผลการเรียนมาจากมือของของอาจารย์ประจำชั้น สายตาของอาจารย์ประจำชั้นก็เปลี่ยนเป็นเย็นชา อีกทั้งยังมีความผิดหวังเป็นอย่างมาก เห็นกับตาตัวเองว่านักเรียนยอดเยี่ยมคนหนึ่ง จากอันดับหนึ่งของทั้งโรงเรียน ก้าวเดินทีละก้าวทีละก้าวลดลงไปถึงอันดับที่หกสิบแปดของทั้งโรงเรียน ไม่รู้เลยว่าอาจารย์ประจำชั้นของอู่เยวี่ยถอนหายใจอยู่ลับหลังไปมากเท่าไร
ช่างน่าเสียดายเป็นอย่างมากจริงๆ!
แต่สิ่งที่ทำให้อาจารย์ประจำชั้นยิ่งรู้สึกเสียดายมากที่สุดก็คือ ความประพฤติของอู่เยวี่ยเด็กคนนี้!
เธอสามารถทนต่อนักเรียนที่สอบตกแล้วก็สามารถทนกับนักเรียนที่ดื้อดึงสร้างความวุ่นวายได้ แต่เธอไม่สามารถทนกับนักเรียนที่มีความประพฤติที่เลวร้ายได้อย่างเด็ดขาด ประจวบเหมาะกับที่อู่เยวี่ยทำความผิด นั่นทำให้เธอกลัวเป็นอย่างมาก
แม้กระทั่งน้องสาวแท้ๆ ของตัวเองก็ยังลอบทำร้ายได้ นักเรียนแบบนี้ต่อให้คะแนนดีแค่ไหน เธอก็ไม่สามารถรักใคร่เอ็นดูได้จริงๆ
ยิ่งไปกว่านั้นอู่เยวี่ยยังมีปัญหาเรื่องโรคประสาท ได้ยินมาว่าเป็นโรคประสาทที่มีผลกระทบร้ายแรงถ่ายทอดกรรมพันธุ์ส่งต่อให้กับคนในครอบครัวที่สืบเชื้อสายร่วมกัน ตอนที่อาจารย์ประจำชั้นได้ยินข่าวนี้ เธอตกใจเสียยิ่งกว่าใคร แต่หลังจากได้เห็นผ้าพันแผลอยู่รอบหัวอู่เยวี่ยตอนที่มาเรียน เธอจะไม่เชื่อก็ไม่ได้
แม้กระทั่งลูกสาวแท้ๆ เหอปี้อวิ๋นยังลงมือได้โหดเหี้ยมขนาดนี้ แสดงว่าโรคประสาทนี้คงจะมีอาการหนักหนาสาหัสพอสมควรเลยทีเดียวเชียว!
โรคประสาทของแม่ต่อให้หนักหนาสาหัสเช่นนั้น แสดงให้เห็นว่าอาการทางประสาทของอู่เยวี่ยก็ไม่ได้ดีมากไปกว่ากัน อาจารย์ประจำชั้นมองอู่เยวี่ยอย่างเสียดายแถมยังเห็นใจ หยิบเอาใบแจ้งผลการเรียนมอบให้บนมือของเธอ และพูดเบาๆ ขึ้นมาประโยคหนึ่งว่า “ตั้งใจเรียนให้ดีล่ะ!”
เรื่องๆ อื่นเธอก็ไม่ได้พูดอะไร อู่เยวี่ยกัดฟันแล้วกัดฟันอีก หยิบเอาใบแจ้งผลการเรียนกลับไปตรงที่นั่งของตัวเอง
บาดแผลบนหัวของเธอยังไม่หายดีทั้งหมด ยังคงพันผ้าพันแผลเอาไว้ อีกทั้งเพียงแค่เธอตื่นเต้นนิดหน่อย เธอก็จะปวดหัวจนแทบจะแตกเหมือนกับจะระเบิดออกมา
ไม่เพียงแต่คะแนนที่ตกลงไปอย่างชัดเจน แม้กระทั่งประกาศนียบัตรอู่เยวี่ยก็ไม่ได้ติดมือกลับมาสักใบ เมื่อก่อนทุกๆ เทอมเธอจะได้รับประกาศนียบัตรนักเรียนสามดี[1]กลับมาสักใบ และยังมีแม้กระทั่งประกาศนียบัตรนักเรียนดีเด่นของโรงเรียน
เดิมทีอาจารย์ประจำชั้นคิดจะทำประกาศนียบัตรนักเรียนสามดีให้เธอหนึ่งใบเพื่อให้กำลังใจ ถึงอย่างไรคะแนนของเธอก็มีชื่ออยู่ในอันดับต้นๆ ของห้อง แต่รองอาจารย์ใหญ่กลับห้ามไว้ เหตุผลก็คือความประพฤติไม่ดี
คนที่มีความประพฤติไม่ดี จะมีคุณสมบัติอะไรได้รับใบประกาศนียบัตรนักเรียนสามดี?
“เฮ้ย! พวกเธอวันหลังอยู่ให้ห่างอู่เยวี่ยหน่อย เธอเป็นโรคประสาท อาการกำเริบขึ้นมาแม้กระทั่งคนใกล้ๆ ก็ยังกล้าฆ่าเลยนะ คนบ้าฆ่าคนไม่ผิดกฎหมายด้วย เธอเป็นหนู พวกเราเป็นเครื่องหยก ถ้าโดนเธอทุบ พวกเราจะซวยมากเลยนะ!”
อู่เยวี่ยได้ยินเสียงกระซิบที่มาจากด้านหลัง เสียงดังมาก ราวกับว่าต้องการให้เธอได้ยิน ทุกคำและทุกประโยคต่างผ่านเข้ามาในหูของเธอทั้งหมด เธอไม่อยากจะได้ยินก็คงจะยาก
เธอพักผ่อนอยู่ที่บ้านอาทิตย์หนึ่งก็ไปโรงเรียน ตอนที่ไปโรงเรียนก็พบว่าตัวเองโดนคนทั้งโรงเรียนปลีกตัวออกห่างโดดเดี่ยวที่สุด ไม่มีแม้แต่สีหน้าและอารมณ์ความรู้สึกส่งมาถึงเธอเลย ไปไกลจนกระทั่งมีคนไม่น้อยที่เรียกเธอลับหลังว่ายัยบ้า
ทุกคนมองเธอด้วยสายตาแปลกๆ เหมือนมีมีดทิ่มแทงเข้าที่ร่างเธอทีละแผล เจ็บปวดรวดร้าวถึงหัวใจ
อู่เยวี่ยไม่มีแรงที่จะโต้เถียงกับเพื่อนนักเรียนแล้ว เวลานี้เธออยากจะมีคนพูดคุยด้วยเป็นอย่างมาก เธอไม่ชอบพวกที่ปฏิบัติแบ่งแยกแตกต่างกันแบบนี้ เหมือนกับอู่เหมยเมื่อก่อนอย่างไรอย่างนั้น
เธอเงยหน้าโดยไม่รู้ตัว คิดอยากจะหาเงาของคนที่คุ้นเคย แต่กลับไม่ค้นพบ ความผิดหวังลึกๆ โจมตีที่หัวใจ
เวลานี้เธอถึงจะนึกขึ้นมาได้ คนนั้น คนที่มักจะยืนอยู่ข้างกายเธออย่างไม่สนใจอะไรทั้งนั้น ตั้งหลายวันแล้วที่เขาไม่ได้ปรากฏตัว
เหยียนหมิงต๋ามองอู่เยวี่ยอยู่ไกลๆ เห็นกับตาว่าเธอโดนเพื่อนร่วมห้องเย้ยหยันอย่างโดดเดี่ยว รู้สึกเจ็บปวดใจเป็นอย่างมาก แต่ตอนนี้เขาไม่กล้าเข้าไป ถ้าหากพ่อแม่รู้เข้า จะต้องสั่งสอนเขาอย่างรุนแรงเป็นแน่
หรือว่ารอตอนที่ไม่มีคนค่อยไปหาเยวี่ยเยวี่ยดีกว่า!
…………………………………………..
ตอนที่ 470 กองไฟในหน้าหนาว
ปิดเทอมฤดูหนาวอู่เหมยก็ไม่ได้หยุดพัก ทุกๆ วันเธอจะต้องไปคณะวัฒนธรรมของเมืองเพื่อฝึกซ้อมการแสดงกับอู่เชาและสยงมู่มู่ ลูกพี่ลูกน้องของสยงมู่มู่ชี้แนะพวกเขาด้วยตนเอง ลูกพี่ลูกน้องของสยงมู่มู่คนนี้ชื่อว่าสยงชิงชิง อายุสิบเก้าปี เป็นลูกสาวของลุงสยงมู่มู่ เธอดีดสีตีเป่าร้องเต้นและทำการแสดงได้อย่างชำนาญมาตั้งแต่เด็กๆ ไม่มีทักษะไหนที่เธอทำไม่ได้ จะมีก็เพียงเธออ่านหนังสือไม่ออกเท่านั้น
เธอเรียนมัธยมปลายผ่านมาอย่างกระท่อนกระแท่นและเอ้อระเหยไปวันๆ จนจบ กระทั่งต้นปีนี้ก็ได้เข้ามาคณะวัฒนธรรม ครั้งนี้หมือนปลาได้น้ำ ไม่ถึงครั้งปีก็กลายเป็นตัวเอกของคณะวัฒนธรรม หน้าที่การแสดงมีการวางตัวไว้ถึงปีหน้า งานคืนเทศกาลตรุษจีนของเมืองปีนี้ สยงชิงชิงก็ต้องทำการแสดงเช่นกัน การร้องเพลงเดี่ยวระดับเสียงสูงโซปราโนในเพลง <หิมะทางเหนือข้างกำแพงเมืองจีน> เป็นการแสดงที่เธอเชี่ยวชาญมาก
นอกจากร้องเพลง พรสวรรค์ด้านอื่นๆ ของสยงชิงชิงก็เก่งมาก อีกทั้งคนอื่นๆ ในคณะต่างก็เป็นผู้เชี่ยวชาญสาขาวิชาเฉพาะทางด้านการแสดง ฝีมือเก่งกว่าเฮ่อเหวินจิ้งไม่มากไม่น้อยไปกว่ากันเลย เมื่อเพิ่งเห็นพวกอู่เหมยแสดงไปรอบหนึ่ง ก็รู้ว่าตรงไหนที่ควรแก้ไข
พวกอู่เหมยเดิมยังไม่เลื่อมใสสักเท่าไร แต่พอหลังจากได้รับการแก้ไขจากสยงชิงชิง ผลของการแสดงก็มีความสวยงามน่าตื่นตาตื่นใจมากขึ้นจริงๆ
นี่แหละคือผู้เชี่ยวชาญ พอลงมือทำก็ถึงได้รู้ว่ามีหรือไม่มีฝีมือ สมแล้วที่สยงชิงชิงเป็นมืออาชีพด้านการแสดง พื้นฐานของเธอดีอย่างแท้จริง แม้กระทั่งสยงมู่มู่หนุ่มน้อยที่หยิ่งทะนง อยู่ต่อหน้าเธอยังต้องเก็บหางให้เรียบร้อย
สยงชิงชิงเป็นคนนิสัยสบายๆ ไม่อินังขังขอบอะไร หน้าตาไม่งดงามเท่าลูกพี่ลูกน้องของเธอ แต่ก็เป็นหญิงสาวที่สวยวิจิตรเลยทีเดียว โดยเฉพาะรูปร่างที่ดีมาก สัดส่วนเว้าโค้งดูมีเสน่ห์ ด้านหน้านูนด้านหลังงอนราวกับตัวเอส เป็นรูปร่างที่ดีจริงๆ
อีกทั้งผู้หญิงคนนี้แต่งตัวได้ทันสมัยมาก ถึงแม้ว่าตอนนี้เป็นยุดแปดสิบ แต่การแต่งหน้าและจับคู่เสื้อผ้าของสยงชิงชิงก็ถือได้ว่าหากจับไปไว้ในยุคหลังก็ยังดูไม่ล้าสมัย
ผมยาวดัดเป็นลอนใหญ่เบาๆ แต่งหน้ามีสีสันเล็กน้อย ต่างหูขนาดใหญ่ ท่อนบนเป็นยีนส์เดนิมและกางเกงหนังสีดำ รองเท้าบูทหนังแกะที่ยาวถึงหัวเข่า จากนั้นสวมเสื้อโค้ทยาวสีเบจ ไม่ได้ด้อยไปกว่านางแบบเสื้อผ้าแฟชั่นเลย ถ้าไปเดินบนถนน จะต้องดึงดูดผู้คนให้มองมาเต็มร้อยถึงสองร้อยเปอร์เซ็นต์เป็นแน่
ตั้งแต่สยงชิงชิงแต่งหน้าแต่งตัว อู่เหมยก็สามารถประเมินลักษณะนิสัยใจคอของเธอได้ จะต้องเป็นหญิงสาวที่ดื้อรั้นแล้วก็หยิ่งยโสนิดหน่อย แต่ในเนื้อแท้ก็ยังเป็นหญิงสาวที่อนุรักษ์นิยมอยู่
“พี่ชิงชิง พี่ใส่แบบนี้ดูดีมากจริงๆ เหมือนกับดาราในหนังเลย”
อู่เหมยชมเชยอย่างใจกว้างชมเชยไม่หยุด จริงใจร้อยเปอร์เซ็นต์ สยงชิงชิงสีหน้ายิ้มแย้มเบิกบานทันที
“ดูปากหวานเล็กๆ ของเธอสิ สายตาก็ดี เป็นคนที่มีความรู้คนหนึ่งเลยนะเนี่ย”
สยงมู่มู่กรอกตามองบน เขาไม่เห็นจะรู้สึกว่าสวยตรงไหน ไม่ต้องพูดถึงว่าใส่แล้วทั้งดูแก่ทั้งแปลกประหลาด แต่งหน้าก็เหมือนผีไม่มีผิด แค่ดูก็ไม่เหมือนผู้หญิงที่สูงส่งแล้ว
“ปั้นน้ำเป็นตัว ดูดีอะไร ป้าที่ไปซื้อผักในตลาดยังจะดูดีซะกว่า!” สยงมู่มู่กระซิบเสียงเบา
อู่เชากลืนน้ำลาย ไม่ง่ายเลยกว่าจะละสายตาไปจากร่างของสยงชิงชิงได้ พูดกระซิบประท้วงว่า “ลูกพี่ลูกน้องของนายดูดีมากนะ เหมือนกับกองไฟในหน้าหนาวยังไงอย่างนั้น ฉันมองจนรู้สึกร้อนๆ อุ่นๆ เลย!”
สยงมู่มู่ที่โดดเดี่ยวไม่มีใครสนับสนุนเห็นด้วยก็ยิ่งโมโห ฉุนกึกพูดอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “คนในครอบครัวพวกเธอสายตาต่างมีปัญหากันหมดสินะ อะไรคือกองไฟในหน้าหนาว ฉันมองแล้วก็เป็นแค่กองหญ้าป่าในหน้าหนาวแค่นั้นเอง ยุ่งเหยิงวุ่นวายไปหมด!”
สยงชิงชิงกับอู่เหมยมองบนใส่พวกเขาพร้อมกัน ตามีแต่ขี้ตาจริงๆ สายตาอะไรของนายกัน!
“พี่ชิงชิง พี่ตื่นเต้นไหม?”
อู่เหมยรู้สึกตื่นเต้นอยู่บ้าง พรุ่งนี้เป็นการซ้อมการแสดงก่อนจะแสดงจริง ถึงตอนนั้นผู้นำรัฐบาลของเมืองจิน รวมไปถึงบุคคลมีชื่อเสียงที่น่านับถือมีเกียรติของทั้งเมืองต่างจะนั่งดูการแสดงอยู่ที่โต๊ะ
ถ้าหากว่าเกิดอุบัติเหตุ คงจะหน้าแตกอย่างถึงที่สุด!
ถึงแม้ว่าสยงชิงชิงจะมีประสบการณ์การแสดงผ่านมามากมาย แต่งานคืนเทศกาลตรุษจีนของเมืองที่มีมาตรฐานแบบนี้ก็ยังถือว่าเป็นครั้งแรก จึงรู้สึกตื่นเต้นเป็นธรรมดา แต่ว่าต่อหน้าอู่เหมยเด็กน้อยพวกนี้ แน่นอนว่าเธอไม่สามารถแสดงความขี้ขลาดออกมาได้
“มีอะไรให้ตื่นเต้น เธอก็คิดซะว่าคนข้างล่างเป็นท่อนไม้ก็จบ ปกติเต้นยังไงก็เต้นแบบนั้นแหละ อย่าไปกลัว!”
คำพูดของสยงชิงชิงเหมือนกับเจียงซินเหมยไม่มีผิด อู่เหมยอดไม่ได้ที่จะมุ่ยปาก เธอจะเอาความใจกล้ามาจากไหนถึงจะมองเลขาธิการคณะกรรมการเทศบาลพวกนั้นเป็นขอนไม้ท่อนซุงได้?
สยงมู่มู่นึกขึ้นมาได้เรื่องหนึ่ง พูดขึ้นมากะทันหันว่า “ไม่ต้องให้ถึงเวลานั้นหรอก คุณป้าเล็กของฉันก็จะไปดูการแสดงด้วยนะ!”
…………………………………………..
[1] นักเรียนสามดี คือ ความประพฤติดี การเรียนดีและสุขภาพ ซึ่งจะมีประกาศนียบัตรทุกปลายภาคให้