เล่มที่ 19 ตอนที่ 22

Memorize

ตอนที่ 22 โดย ProjectZyphon

จู่ๆ ก็มีข้อความปรากฏขึ้นมา ผมจึงรีบยืนยันข้อมูลทันที

เอ๊ะ?

แต่กลับไม่มีข้อมูลใดๆ ปรากฏขึ้นมาอีกเลย ทั้งที่ข้อมูลที่พรคุ้มครองแห่งสงครามแจ้งให้ทราบนั้นมีทั้งตำแหน่งที่ตั้งของกองพลที่ตกอยู่ในสภาวะฉุกเฉิน และข้อมูลของคนอื่นๆ ก็ยังคงเดิม แต่ข้อมูลของชินซังยงกลับหายไป

ความคิดไม่สบายใจบางอย่างเฉียดเข้ามาในหัว และในตอนนั้นเอง

วาบบบ!

บังเกิดลำแสงขนาดมหึมายิงทะลุขึ้นสู่ท้องฟ้าอยู่ไกลๆ เจ้าลำแสงนั่นบรรจงวาดวงรีบนฟากฟ้า แล้วในวงรีวงนั้น ปรากฏภาพสตรีผู้เลอโฉม ดูอำนาจยิ่งใหญ่เกรียงไกรอยู่นางหนึ่ง รูปพรรณสันฐานของหล่อนถูกฉายออกมาให้เห็นด้วยแสงสีขาวเจิดจ้า หล่อนกำลังหลับตาพริ้ม ผมเห็นดังนั้นแล้วรู้สึกได้ทันทีว่าหล่อนคือทูตสวรรค์อย่างแน่นอน

ครืดดด…

วินาทีนั้น จู่ๆ ผมก็หยุดการเคลื่อนไหวไปอย่างไม่รู้ตัว ทูตสวรรค์ที่ฉายภาพออกมาบนฟากฟ้าอย่างกะทันหันงั้นหรือ ไม่ผิดแน่ สิ่งที่ผมเห็นอยู่ตรงหน้านี้เหมือนกับความทรงจำที่เคยได้พบเจอเมื่อรอบที่หนึ่งไม่มีผิด

ใช่แล้ว สิ่งนี้คือ…

[ระดับคลาสลับ นักบวชแห่งความรุ่งโรจน์เปิดเผยตัว!]

[ยืนยันปาฏิหาริย์เริ่มทำงาน!]

ปาฏิหาริย์!

ในตอนนั้น ทูตสวรรค์ที่หลับตาพริ้มจึงได้ค่อยๆ ลืมตาขึ้นมาอย่างช้าๆ

วาบบบ!

ในช่วงที่ทูตสวรรค์กำลังลืมตาขึ้นมา ลำแสงขาวสว่างได้ส่องประกายแยงตาออกมาจากทั่วทั้งร่าง

ลำแสงที่สาดส่องลงมานั้นทั้งเจิดจ้าและแข็งแกร่งมากจนสามารถปกคลุมทั่วทั้งพื้นที่ได้เลย ดังนั้นจึงทำให้ผมจำต้องหลับตาลงอย่างอัตโนมัติ

เวลาผ่านไปเท่าไหร่แล้วเนี่ย

ทันทีที่ผมลืมตาขึ้นมาอีกครั้งหนึ่งนั้น จึงได้พบกับภาพเหตุการณ์ที่ซึมซับไปด้วยเจ้าลำแสงนั้น และแล้วจึงปรากฏข้อความใหม่ขึ้นมากลางอากาศอีกครั้ง

[ความแข็งแกร่งทุกประการ กลับคืนสู่สภาพเดิม!]

[พลังเวททุกประการ กลับคืนสู่สภาพเดิม!]

[สถานะทุกประการ กลับคืนสู่สภาพเดิม!]

สภาพร่างกายกลับคืนสู่สภาพเดิมทุกประการในชั่วพริบตาเดียว คงจะวุ่นวายกับสมรภูมิเบื้องล่าง จึงทำให้มีการเหนื่อยล้านิดๆ หน่อยๆ ไปบ้าง แต่สุดท้ายก็กลับคืนสู่สภาพเดิมได้

ไม่สิ ไม่ใช่สภาพเดิม เพราะหลังจากที่ผมได้รับฮวาจองมาแล้ว พลังชีวิตที่ผมไม่เคยรู้สึกถึงมันมาก่อนเลยแม้แต่ครั้งเดียว ก็พลันรู้สึกได้ว่ามันเริ่มไหลเวียนไปทั่วร่างกายของผม พลังที่ว่านั้นเวียนวนขึ้นสู่จุดสูงสุดของร่างกายผม ถึงขนาดรู้สึกได้ว่าเป็นเหมือนปรากฏการณ์น้ำขึ้นน้ำลงเลยจริงๆ

“เอ๊ะ?”

โกยอนจูร้องเสียงหลง ทั้งสีหน้าที่ดูงงงวยเล็กน้อยกับแขนที่ขยุกขยิกไปมานั่น ดูเหมือนหล่อนคงคิดแบบเดียวกับผม

ความสามารถเฉพาะตัวของนักบวชแห่งความรุ่งโรจน์และปาฏิหาริย์

เสียงที่กำลังเริ่มทำงานอยู่ ณ ตอนนี้คือ…

“ซูฮยอน!”

ตอนนั้นเองผมจึงไม่รอช้า ออกตัววิ่งไปอีกครั้ง โดยสามารถวิ่งข้ามผ่านบริเวณรอบข้างไปได้อย่างรวดเร็ว

การที่อันซลสามารถผันตัวมาเป็นนักบวชแห่งความรุ่งโรจน์ได้สำเร็จนั้น ถือเป็นเรื่องที่น่ายินดีอย่างยิ่ง เพราะแผนการต่างๆ ที่ผมคิดเอาไว้จะร่นเวลาจัดการเข้ามาเร็วขึ้นสองเท่า ไม่สิ สามเท่าเลยก็ว่าได้

แต่แล้วทำไมผมถึงรู้สึกไม่สบายใจ อึดอัดคับแน่นอยู่ในอกอย่างบอกไม่ถูกกันล่ะ

แล้วผมจึงรู้คำตอบของคำถามข้อนี้ได้ในทันที นั่นก็คือ ผมรู้สึกได้ถึงสัญญาณของพวกเขาที่กำลังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ในช่วงที่ระยะทางเริ่มสั้นลง สั้นลง จนขนาดสามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า ผมจึงส่งเสียงพึมพำเบาๆ กับตัวเอง

สิ่งแรกที่ผมเห็นคือ ราชินีแห่งดาบกำลังนอนฟุบอยู่กับพื้น ทว่าหล่อนไม่ใช่ปัญหาแต่อย่างใด ละแวกเดียวกันนั้นมีอันฮยอน อียูยองและชินซังยงกำลังนอนจมกองเลือดอยู่

ผมรู้สึกว่าตัวเองเกิดเลอะเลือนไปชั่วขณะแล้วจึงได้พบเข้ากับหญิงสาวผู้หนึ่งที่กำลังพยุงตัวลุกขึ้น ดูท่าว่าจะเป็นตัวการในครั้งนี้อย่างแน่นอน หล่อนกำลังถือแส้ที่มีหนามปักติดอยู่เต็มไปหมด

“เฮ้อ วุ่นวายไปหมด ที่แท้ก็ซ่อนพลังอันน่ากลัวไว้นี่เอง”

หล่อนบ่นงึมงำอยู่คนเดียว และเบื้องหน้าของหล่อนนั้นคือ อันซลที่กำลังนั่งหลับตา ปีกสีขาวกลางหลังกำลังสะบัดไหวๆ ไปมา

หลังจากนั้นหล่อนจึงยกแส้ในมือชูขึ้นสูง ระยะทางนั้นห่างกันอยู่เล็กน้อย

ผมเห็นดังนั้นจึงไม่รอช้า คว้าเกียรติยศแห่งวิคตอเรียแล้วจึงพุ่งตัวไปหาหล่อนทันที

พรึ่บ!

“หืม?”

วินาทีนั้น ผมสบตากับหล่อน แล้วจึงเริ่มใช้การโบยบินสามระดับ

ตึก! พรึ่บ! ฟึ่บ!

หลังจากผ่านการก้าวกระโดด, วิชาการเคลื่อนย้ายร่างในพริบตาและการวิ่งดีดตัวไปข้างหน้าได้สำเร็จ ผมจึงลืมตาขึ้นมา แล้วจึงพบว่าดาบที่ถือในมือนั้นกระทบเข้าไปที่เจ้าหล่อนอย่างจัง

เชร้ง!

“กรี๊ด!”

“ทะ ท่านพี่?”

ในช่วงที่ผมได้ยินเสียงกรีดร้องแหลมสูงดังขึ้น พร้อมกับเสียงดาบจากทางด้านข้างนั่นเอง น้ำเสียงอันแสนแผ่วเบาจึงได้ดังขึ้นมารั้งสติผมไว้ ผมหันหน้าไปมองช้าๆ แล้วจึงเห็นอันซลที่กำลังเงยหน้าขึ้นมามองผม ผมจึงพยักหน้าให้น้อยๆ

“ทำไม…ทำไมถึงช้าแบบนี้…ทุกคน…เขา…”

ไม่รู้เรื่องที่ตัวเองทำลงไปหรอกหรือนี่ น้ำเสียงแหบแห้งของอันซลดังแว่วเข้ามาในหู

ผมจึงรีบใช้ดวงตาที่สามในการยืนยันสภาพแวดล้อมโดยรอบเป็นอันดับแรก พลางหยิบอีลิกเซอร์ที่ซ่อนไว้ในอกออกมาด้วย

[ผู้เล่นนัมดาอึน (ปกติ)]

[ผู้เล่นอันฮยอน (ปกติ)]

[ผู้เล่นอียูจอง (ปกติ)]

แต่ทว่าผู้ที่ดวงตาที่สามที่ยืนยันว่ามีชีวิตอยู่นั้นกลับมีแค่สามคนเท่านั้น ผมถอนหายใจโล่งอก พวกเขานอนฟุบแน่นิ่งอยู่กับพื้นก็จริง แต่ทว่าพวกเขาได้รับพลังจากปาฏิหาริย์ครั้งนั้นอย่างแน่นอน ในระหว่างที่กำลังเร่งรีบอยู่นั่นเอง ผมก็ค่อยๆ ลูบหน้าอกขึ้นลง พลางมองไปอีกที่หนึ่งที่ยังมีอีกคนนอนอยู่

[ผู้เล่นชินซังยง (เสียชีวิต)]

“…”

แต่ชินซังยงเสียชีวิต

ตอนนั้นผมรู้สึกเหมือนตัวเองถูกหลอก จึงได้สาวเท้าไปหา แล้วคุกเข่าอยู่ตรงเบื้องหน้าชินซังยง ร่างกายของเขามีรูขนาดใหญ่ปรากฏขึ้น ซึ่งเป็นฝีมือของหญิงสาวผู้ถือแส้เส้นนั้นอย่างแน่นอนไม่ต้องสงสัยเลย บาดแผลฉกรรจ์เช่นนี้คงเจ็บมากน่าดู แต่ทว่าใบหน้าของเขากลับแสดงให้เห็นถึงความสงบ ไม่แสดงอาการเจ็บปวดเลยแม้แต่น้อย อีกทั้งยังมีรอยยิ้มน้อยๆ แต่งแต้มอยู่บนใบหน้าอีกด้วย เหมือนอย่างที่เขาเคยเป็นเสมอมา

ผมจ้องชินซังยงอย่างเงียบๆ

“…”

ผมไม่ได้อะไรเลยแม้แต่น้อย เพราะอย่างไรผมก็คาดไว้อยู่แล้วว่าจะต้องมีหนึ่งคนหรือสองคนที่อาจจะตาย ซึ่งหากเป็นโกยอนจูหรืออันซล ผมคงจะเสียใจเป็นอย่างมาก แต่อย่างน้อยผมก็ยังมีวิเวียนที่เป็น ‘นักเล่นแร่แปรธาตุคิเมร่า’ อยู่ดี

ไม่อะไรเลยจริงๆ ผมรู้สึกนิ่งและเฉยชากับสิ่งนี้ ไม่ใช่ครั้งสองครั้งสักหน่อยที่ผมต้องสูญเสียคนรู้จักไป ผมชินชาเสียแล้วล่ะ

แม้การเสียชีวิตของชินซังยงจะถูกยืนยันแน่ชัดออกมาเช่นนี้แล้ว ผมก็ไม่รู้สึกอะไร

ไม่ได้รู้สึกอะไรเลยจริงๆ

“…”

ไม่ใช่

ผมไม่รู้สึกถึงอะไรอีกต่อไปแล้วต่างหาก

* * *

ข้อความจำนวนมากเด้งขึ้นมาอยู่กลางอากาศและอยู่ตรงเบื้องหน้าของอันซล แต่ทว่าสิ่งที่หล่อนเห็น ณ ขณะนี้กลับมีเพียงสิ่งเดียวเท่านั้น นั่นก็คือ คิมซูฮยอน

“ท่านพี่…”

อันซลจ้องแผ่นหลังของคิมซูฮยอน หล่อนหลงลืมคำที่จะพูดออกไปเสียสนิท แม้จะไม่มีบาดแผลปรากฏให้เห็นเด่นชัด แต่สภาพแผ่นหลังของเขาช่างน่าเวทนาเกินทน รอยเลือดเลอะเป็นดวงๆ ไล่ตั้งเสื้อคลุมแห่งมังกรน้ำเงินที่ขาดวิ่นเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ที่ผ่านมาเขาคงต้องเผชิญหน้ากับสิ่งต่างๆ มากมายอย่างแน่นอน สภาพภายนอกตอนนี้แสดงให้เห็นจนรู้แจ้งหมดแล้ว ด้วยเหตุนี้จึงทำให้อันซลรู้สึกกระดากอายขึ้นมา และในช่วงที่หล่อนกำลังจะยื่นมือออกไปอย่างระมัดระวังนั่นเอง

“เฮ้อ…”

คิมซูฮยอนถอนหายใจออกมาเบาๆ พร้อมยันกายลุกขึ้นยืน และในตอนนั้นนั้นเองที่รู้สึกว่าบรรยากาศรอบข้างต่างเงียบสงบลงไปทันตา

อันซลเกิดหายใจติดขัดขึ้นมา จึงทำให้หล่อนจำต้องลดมือลงอย่างกะทันหัน เพราะเรื่องที่จะต้องเผชิญในภายภาคหน้าหรือเปล่า ทำให้ร่างกายแสดงปฏิกิริยาตอบสนองออกมาเสียก่อน ร่างกายของหล่อนในแต่ละส่วนเริ่มสั่นเทาด้วยความหวาดกลัวที่ก่อตัวภายในใจ

โฟ่ว! โฟ่ว!

คิมซูฮยอนที่กำลังเงยหน้าขึ้นมาจึงได้เห็นกับดอกไม้ไฟพุ่งทะยานขึ้นสู่ฟ้า และในเวลาเดียวกัน พลังอันน่าสยดสยองบางอย่างก็ได้เทลงมาเหมือนน้ำท่วม ราวกับว่าจะเข้ามากลืนกินทุกสิ่งทุกอย่างที่ขวางหน้าให้สูญสิ้น

พลังที่ว่านั่นเข้าครอบครองพื้นที่ได้ภายในพริบตาเดียวเท่านั้น ไม่ว่าคนใดที่อยู่ในวงแห่งขุมพลังนี้ คงไม่คิดที่จะขยับเขยื้อนตัวตามใจชอบแน่นอน เพราะขุมพลังนั้นต่างอัดแน่นแออัดไปด้วยความกระหายเลือดอย่างชัดเจน

ตึ่ก ตึ่ก

คิมซูฮยอนเดินเข้าไปด้วยสีหน้าเรียบเฉย แล้วจึงหยิบเกียรติยศแห่งวิคตอเรียที่ร่วงหล่นลงพื้นขึ้นมาอีกครั้ง ยูรินะลอบกลืนน้ำลาย แต่ไม่วายวางท่าทีเย็นชา แม้การกระทำดังกล่าวจะแสดงให้เห็นถึงจุดอ่อนของเขามาตั้งแต่แรกเริ่ม แต่กระนั้นหล่อนก็ไม่ได้ไหวหวั่นแต่อย่างใด ไม่สิ หวั่นไหวไม่ได้เลยต่างหาก เพราะหล่อนรู้โดยสัญชาตญาณดีว่า ขืนหล่อนย่างก้าวออกไปเพียงแค่ก้าวเดียวล่ะก็คงต้องถึงคราวตายของตัวเองเป็นแน่