บทที่ 417.1 หากชีวิตไม่มีความสุข

กระบี่จงมา! Sword of Coming

บนท้องนภามีดวงจันทร์ลอยอยู่สามดวง

นี่คือทัศนียภาพที่จะไม่มีทางได้เห็นในใต้หล้าไพศาล

แสงจันทร์กระจ่างบริสุทธิ์สาดส่องลงบนฟ้าดิน สาดสะท้อนลงบนหิมะหนาที่ทับถมกันจนเหมือนห่มคลุมอยู่บนเทือกเขาใหญ่แสนลี้

เพียงแต่ว่าระหว่างภูเขาลูกใหญ่ที่ทอดยาวต่อเนื่องกันไปนั้นมีเสียงครืดคราดดังอยู่ตลอดเวลา เสียงนั้นสะท้อนก้องไกลไปหลายร้อยลี้

หากมีเซียนที่สามารถทะยานลมอยู่ท่ามกลางทะเลเมฆก้มหน้ามองลงมาก็จะเห็นหุ่นเชิดเกราะทองแต่ละคนที่สูงใหญ่ดุจขุนเขากำลังขับเคลื่อนภูเขาใหญ่แต่ละลูกไปอย่างเชื่องช้า

แล้วก็มีสัตว์ดุร้ายในยุคบรรพกาลที่ลำตัวยาวนับพันจั้งอีกหลายตัวที่บนร่างเต็มไปด้วยบาดแผล พวกมันทุกตัวล้วนถูกหุ่นเชิดเกราะทองที่ในมือถือแส้ยาวควบคุมให้ทำงานหนัก คอยลากภูเขาลูกใหญ่ไปโดยไม่อาจปริปากบ่น

บางครั้งเผ่าพันธุ์บรรพกาลที่จำเป็นต้องพักผ่อนชั่วครู่เหล่านี้ก็จะใช้เรือนกายที่เหนื่อยล้าหมดแรงพิงภูเขาต่างหมอนนอนงีบหลับ บนร่างของพวกมันไม่เหลือความดุร้ายที่มีติดตัวมาตั้งแต่กำเนิดอยู่อีกแล้ว ทั้งหมดล้วนถูกกาลเวลาของความยากลำบากไร้ที่สิ้นสุดขัดเกลาเผาผลาญไปจนหมดสิ้น

ภาพเหตุการณ์เช่นนี้ เมื่ออยู่ในใต้หล้าแห่งนี้ก็มีแค่การเล่าต่อกันไปปากต่อปาก กระพือข่าวลือที่มีอยู่แล้วให้แพร่กว้างออกไป ยังอยู่ห่างไกลจากความเป็นจริงมากนัก

เพราะไม่มีใครกล้าทะยานผ่านท้องฟ้าเหนือขุนเขาแสนลี้แถบนี้โดยพลการ

ในประวัติศาสตร์อันยาวนานเคยมีพวกปีศาจใหญ่ห้าขอบเขตบนบางส่วนไม่เชื่อในข้อห้ามนี้ แล้วก็ถูกหุ่นเชิดเกราะทองจำนวนนับไม่ถ้วนกระชากลงมาจากฟ้า สุดท้ายกลายเป็นหนึ่งในปีศาจใหญ่ที่ต้องใช้แรงงาน กลายมาเป็นโครงกระดูกใหญ่ยักษ์ที่ต้องนอนหลับพักตลอดกาลอยู่ท่ามกลางขุนเขาใหญ่ หรือถึงขั้นไม่ได้ไปเกิดใหม่

บนยอดเขาของกลุ่มเทือกเขามีกระท่อมเก่าโทรมอยู่หลังหนึ่ง ด้านหลังของกระท่อมคือแปลงผักสีเขียวขจีที่นับว่าหาได้ยากในพื้นที่แถบนี้ รอบกระท่อมล้อมด้วยรั้วไม้บิดๆ เบี้ยวๆ มีหมาร่างผอมแห้งจนหนังหุ้มกระดูกคอยนอนหมอบเฝ้าอยู่ตรงหน้าประตูด้วยลมหายใจแผ่วอ่อน

ผู้เฒ่าเรือนกายผอมบางคนหนึ่งมาปรากฏตัวอยู่กลางอากาศนอกประตู เผชิญหน้ากับภูเขาลูกใหญ่ เขายกมือเกาแก้ม ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่

หมาผอมแห้งตัวนั้นพลันลุกพรวดขึ้นแล้ววิ่งออกไป แผดเสียงเห่าใส่ทิศทางหนึ่ง

ลมพายุลูกใหญ่ลักษณะคล้ายมังกรม้วนตัว (หรือพายุทอร์นาโด) ลูกหนึ่งม้วนตลบออกไปด้วยพลังอำนาจยิ่งใหญ่ไพศาล ระเบิดทะเลเมฆสีดำทะมึนที่บดบังดวงจันทร์ลูกหนึ่งให้แตกกระจาย

ผู้เฒ่ายังคงไม่สะทกสะท้าน

เมื่อทะเลเมฆถูกแหวกออกแล้ว บนพื้นดินบริเวณโดยรอบที่ห้อมล้อมภูเขาใหญ่ลูกนี้ก็มีหุ่นเชิดเกราะทองหลายตนลุกขึ้นยืน แต่ละตนถืออาวุธประจำกายลักษณะใหญ่โตเกินจริงพอๆ กับเรือนร่างของพวกมัน ในบรรดานั้นก็มีอาวุธจำนวนมากที่เป็นทวนยาวซึ่งทำมาจากโครงกระดูกสีขาวหิมะของสัตว์ร้ายยุคบรรพกาล

หุ่นเชิดเกราะทองหนึ่งในนั้นขว้างทวนยาวกระดูกขาวในมือออกไป เสียงฟ้าร้องดังครืนครั่นราวกับว่ามันมีอานุภาพพอที่จะเปิดฟ้าแหวกดิน

ทวนยาวพุ่งดิ่งเข้าหาเงาร่างที่มีขนาดใหญ่เท่าเมล็ดข้าวสารสองจุดที่อยู่ห่างไปไกลแสนไกล

แขกที่มาเยือนจากทิศไกลสองคนนั้นล้วนเผยกายในร่างของมนุษย์

หนึ่งในนั้นคือผู้เฒ่าร่างสูงใหญ่ที่สวมชุดคลุมยาวสีแดงสด บนพื้นผิวของเสื้อคลุมคือทะเลเลือดที่เกิดริ้วกระเพื่อมเป็นระลอก ยังพอจะมองเห็นได้อย่างเลือนรางว่าบนเสื้อคลุมมีใบหน้าดุดันลอยขึ้นมาเป็นจำนวนมาก พวกมันพยายามจะยื่นมือออกมาจากน้ำทะเล เพียงแต่ว่าชั่วแวบเดียวก็ถูกเลือดสดกลบทับ

ผู้เฒ่าร่างสูงใหญ่คนนี้รัดเข็มขัดสีดำสนิทที่ไม่รู้ว่าทำมาจากวัสดุอะไร บนเข็มขัดฝังเลื่อมเศษชิ้นส่วนของกระบี่ยาวไว้เป็นจำนวนมาก

ข้างกายผู้เฒ่าคือเด็กรุ่นหลังที่มีใบหน้าอ่อนเยาว์ ตรงเอวสองข้างของเขาต่างก็ห้อยกระบี่ยาวไว้ข้างละหนึ่งเล่ม ด้านหลังยังสะพายกล่องกระบี่สีขาวหิมะไว้หนึ่งใบ เผยให้เห็นด้ามของกระบี่ยาวเล่มที่สาม

เห็นทวนยาวเล่มนั้นแหวกอากาศมาถึง สายตาคนหนุ่มฉายประกายร้อนแรง แต่กลับไม่ใช่เพราะทวนยาว แต่เพราะมองเห็นผู้เฒ่าบนยอดเขาที่ยืนหันหลังให้พวกเขา

ทวนยาวที่มีพลังอำนาจน่ากริ่งเกรงถูกผู้เฒ่าชุดแดงมองแค่แวบเดียวก็แตกสลายเป็นผุยผง เศษฝุ่นปลิวกระจายไปรอบด้าน

อาวุธชิ้นที่เหลือที่บินพุ่งเข้ามาล้วนเป็นเหมือนกันหมด ยังไม่ทันขยับเข้ามาใกล้ก็ระเบิดแตกจนสิ้น

ผู้เฒ่าชุดแดงมีโทสะเล็กน้อย สาเหตุไม่ใช่เพราะถูกการจู่โจมนี้ขัดขวาง แต่โมโหว่าวิธีที่ตาแก่นั่นใช้รับแขกช่างดูแคลนผู้อื่นยิ่งนัก แค่ให้พวกหุ่นเชิดเกราะทองเหล่านี้ลงมือ จะดีจะชั่วก็ควรจะปล่อยพวกตาแก่ที่อยู่ในกรงขังใต้ดินออกมาสิ ถึงจะถือว่าให้เกียรติกันบ้าง

ผู้เฒ่าชุดแดงแค่นเสียงเย็น “เจ้าเฒ่าตาบอด คงไม่ใช่ว่าเจ้าอยู่ในถิ่นของคนอื่นมานานเกินไปเลยลืมว่าเจ้านายที่แท้จริงของตัวเองเป็นใครหรอกนะ? เอาเจ้าพวกนี้มาทำให้ข้าเจ็บๆ คันๆ เนี่ยนะ?!”

เห็นเพียงว่าเขายกฝ่ามือข้างหนึ่งตบออกไป หุ่นเชิดเกราะทองตนหนึ่งที่อยู่บนพื้นก็พลันกระแทกจมลงในพื้นดิน ฝุ่นคลุ้งกระจัดกระจาย

หลังจากนั้นก็ลงมือไม่หยุด บนพื้นดินปรากฏเสียงประทัดแตกดังขึ้นเป็นระลอก หุ่นเชิดเกราะทองแต่ละตนที่ร่างสูงใหญ่ดุจขุนเขาล้วนถูกตบจนไม่เหลือร่องรอย

ผู้เฒ่าร่างเล็กเตี้ยบนยอดเขาหันหน้ามา ‘มอง’ ปีศาจใหญ่สองตนที่ยืนอยู่บนจุดสูงสุดของใต้หล้าแห่งนี้

กรอบตาของเขากลวงโบ๋ ประหนึ่งเหวลึกที่ดำมืดมองไม่เห็นก้นบึ้ง

ผู้เฒ่าร่างเล็กเตี้ยที่ถูกเรียกว่าตาเฒ่าตาบอดคนนี้ยังคงยืนเกาแก้มอยู่อย่างนั้น

ตามหลักแล้ว หากเป็นผู้ฝึกตนขอบเขตสิบสามเหมือนกัน หรือเป็นขอบเขตสิบสี่ที่อำพรางตัวลึกลับซึ่งมีน้อยจนนับนิ้วได้ต่อสู้อยู่ในถิ่นของตัวเอง เว้นเสียแต่ว่าคนนอกพกพาอาวุธที่เผด็จการมาด้วย แน่นอนว่าของเล่นประเภทนี้ ต่อให้เอาหลายๆ ใต้หล้ามารวมกันก็ยังนับได้หมด เพราะนอกเหนือจากกระบี่สี่เล่มแล้ว ก็มีพวกป๋ายอวี้จิง ลูกประคำพุทธหรือหนังสือหนึ่งเล่ม นอกจากสิ่งของพวกนี้แล้ว โดยทั่วไปหากอยู่ในใต้หล้าของตัวเองก็ล้วนหยัดยืนอยู่ในสถานะมิพ่าย แม้แต่จะฆ่าอีกฝ่ายก็ยังเป็นไปได้

โดยเฉพาะเมื่อเลื่อนสู่ขอบเขตแรกของขอบเขตสองสาบสูญ หากกินอิ่มว่างงานจนมีเวลาว่างไปเที่ยวเล่นในใต้หล้าแห่งอื่น การที่จะถูกกฎเกณฑ์ของมหามรรคาในฟ้าดินแห่งนั้นสยบกำราบก็ถือเป็นเรื่องที่ ‘สมเหตุสมผลตามหลักฟ้าดิน’ มากที่สุด

เพียงแต่ว่าฟ้าดินกว้างใหญ่ย่อมต้องมีข้อยกเว้นอยู่สักสองสามข้อ จะแปลกตรงไหน?

ยกตัวอย่างเช่นผู้เฒ่าคนนี้ เขาคือคนต่างถิ่นที่มาอาศัยอยู่ในใต้หล้าเปลี่ยวร้าง แต่กลับใช้ชีวิตได้อย่างอิสระเสรียิ่งกว่าเจ้าของบ้านเสียอีก

หรือยกตัวอย่างเช่นนักพรตจมูกโคหน้าเหม็นของใต้หล้าไพศาลคนนั้น

ผู้เฒ่าเปิดปากพูดด้วยน้ำเสียงแหบพร่า “หากเปลี่ยนเป็นคนผู้นั้นที่มาเยือนก็ยังพอทำเนา ส่วนพวกเจ้าสองคน หากยังยืนอยู่สูงขนาดนั้นอีก ข้าจะไม่เกรงใจแล้ว”

‘คนหนุ่ม’ ที่บนร่างพกกระบี่ห้าเล่มคลี่ยิ้ม

ในฐานะปีศาจใหญ่ผู้ฝึกกระบี่ห้าขอบเขตบนที่อายุน้อยที่สุด เขาเคยเข้าร่วมศึกใหญ่สะท้านฟ้าสะเทือนดินครั้งนั้น ถึงขั้นเอาชนะเซียนกระบี่ของกำแพงเมืองปราณกระบี่มาได้ ทำให้อีกฝ่ายจำต้องกลายเป็นหนึ่งในคนเฝ้าประตูของภูเขาห้อยหัว

เขารู้สึกว่าผู้เฒ่าตาบอดที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าคนนี้ร้ายกาจมากจริงๆ แต่กลับไม่ได้ร้ายกาจจนถึงขั้นที่ไร้ขื่อไร้แป

สีหน้าของผู้เฒ่าชุดแดงเดี๋ยวมืดเดี๋ยวสว่าง กลิ่นอายดุร้ายอำมหิตทั่วร่างของเขาแทบจะทำให้แม่น้ำแห่งกาลเวลาที่ไหลรินอยู่โดยรอบหยุดชะงัก

แต่สุดท้ายเขาก็ทำเพียงแค่แค่นเสียงดังหึหนึ่งทีแล้วหมุนตัวจากไป

ปีศาจใหญ่เซียนกระบี่หนุ่มที่มีผลงานการต่อสู้เกรียงไกรลังเลเล็กน้อย แล้วทันใดนั้นในทะเลสาบหัวใจของเขาก็มีเสียงที่ค่อนข้างร้อนรนดังขึ้นมา “รีบไป!”

ทว่าเพียงชั่วพริบตา แรงกระชากมหาศาลขุมหนึ่งก็ตรงเข้ามาม้วนหอบร่างของปีศาจใหญ่ผู้ฝึกกระบี่คนนี้

ปีศาจใหญ่ผู้ฝึกกระบี่เตรียมจะอาศัยโอกาสนี้ออกกระบี่ลองดูฝีมือของผู้เฒ่าตาบอดคนนั้นสักหน่อย แต่กลับค้นพบว่าผู้เฒ่าชุดแดงคำรามกร้าวอย่างเดือดดาล คว้าไหล่ของเขาแล้วกระชากเหวี่ยงออกไปให้พ้นจากม่านฟ้า

จากนั้นผู้เฒ่าชุดแดงก็สะบัดชายแขนเสื้อเป็นวงกว้าง ปล่อยแม่น้ำเลือดที่คลื่นโถมซัดสาดออกไป พยายามจะตัดขาดลมปราณที่หมายหัวผู้ฝึกกระบี่หนุ่มคนนั้นให้ได้

ฟ้าดินพลิกกลับ ลมปราณซัดปั่นป่วนวุ่นวาย

ผู้เฒ่าชุดแดงที่สัมผัสได้ว่าถูกมหามรรคากดทับไหล่จนหายใจไม่ออกหน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย พยายามสะบัดชายแขนเสื้ออย่างแรง แม่น้ำเลือดสดหลายสายแทบจะรวมตัวกันกลายมาเป็นทะเลสาบขนาดใหญ่ยักษ์ เขาตวาดกร้าวเสียงเฉียบ “เจ้าเฒ่าตาบอด เจ้าเชื่อหรือไม่ว่าข้าจะทำลายภูเขาสิบหมื่นของเจ้าให้พังพินาศไปพร้อมกันซะเดี๋ยวนี้เลย?!”

ผู้เฒ่าตาบอดหยุดเกาแก้ม

และเวลานี้เอง น้ำเสียงที่มากบารมีก็ดังลอดเข้ามาใน ‘ฟ้าดินขนาดเล็ก’ ที่ใหญ่มากแห่งนี้ “พอได้แล้ว”

ผู้เฒ่าชุดแดงหยุดมืออย่างขุ่นเคือง เก็บวิชาอภินิหารลงไป แม่น้ำเลือดสดสายยาวย้อนกลับเข้ามาในชายแขนเสื้อกว้างใหญ่

ผู้เฒ่าตาบอดเอื้อมมือคว้าหนึ่งครั้ง ปีศาจใหญ่ผู้ฝึกกระบี่คนนั้นก็ถูกกระชากมาที่ข้างเท้าของเขา เขาย่อตัวลงนั่งยอง ปีศาจหนุ่มที่ใบหน้ามีแต่ความตะลึงพรึงเพริดค้นพบว่าตัวเองกระดุกกระดิกไม่ได้ ผู้เฒ่าร่างเล็กเตี้ยยื่นมือมาควักดวงตาข้างหนึ่งของเขาโยนใส่ปากเคี้ยวหยับๆ ก่อนจะหันหน้าไปถ่มทิ้งบนพื้น ผลกลับลายเป็นว่าหมาแก่ที่ผอมแห้งตัวนั้นเกิดน้ำลายสอ วิ่งพรวดมาขย้ำกลืนลงท้องไป

ผู้เฒ่าตาบอดยืดตัวขึ้นตรง ดีดปลายเท้าเตะปีศาจใหญ่ผู้ฝึกกระบี่ที่เหลือดวงตาแค่ข้างเดียวกระเด็นไปกลางอากาศ “นี่เพราะเห็นแก่หน้าของเจ้าหรอกนะ”

ฟ้าดินกลับคืนมาเงียบสงัดอีกครั้ง

ผู้เฒ่าตาบอดเอาสองมือไพล่หลัง เดินไปทางประตูเรือน มองหมาแก่ตัวนั้นแล้วหลุดหัวเราะพรืด “หมาเปลี่ยนสันดานชอบกินขี้ไม่ได้จริงๆ”

แล้วก็เริ่มเกาแก้มต่ออีกครั้ง เขาหมุนตัวเดินไปที่ยอดเขา รู้สึกอยู่ตลอดว่าบนม้วนภาพวาดนี้มีบางจุดที่ยังต้องลดหรือไม่ก็ต้องเพิ่ม ‘น้ำหมึก’

เขาจึงยืนอยู่อย่างนี้ไปเรื่อยๆ

ผู้เฒ่าตาบอดพลันขมวดคิ้ว ลังเลอยู่เล็กน้อยก็ขยับนิ้วเบาๆ หุ่นเชิดเกราะทองทั้งหลายกลับเข้าตำแหน่งกันอีกครั้ง

คราวนี้แขกที่มาเยือนคือหนึ่งผู้เฒ่ากับหนึ่งเด็กสาว พวกเขามาจากกำแพงเมืองปราณกระบี่

ผู้เฒ่าเผยรอยยิ้มที่แม้แต่ตัวเองก็ยังรู้สึกแปลกแปร่งให้กับเด็กสาวที่มีท่าทางเหนื่อยล้าจากการเดินทางคนนั้น เกรงว่าไม่ว่าใครที่ได้เห็นรอยยิ้มของเขาก็มีแต่จะรู้สึกขนลุกด้วยความหวาดกลัว

จากนั้นเขาก็หันหน้าไปมองผู้เฒ่าคนนั้น พูดอย่างกรุ่นโกรธว่า “เฉินชิงตู อย่ามากวนใจข้า! ครั้งนี้ไม่ว่าใครข้าก็ไม่ช่วยทั้งนั้น!”

ผู้ฝึกกระบี่ใหญ่วัยชราจากกำแพงเมืองปราณกระบี่ เฉินชิงตู

เฉินชิงตูถาม “เจ้ายังเป็นคนอยู่ไหม?”

ผู้เฒ่าตาบอดตอบ “เจ้าลองถามใจตัวเองดูสิ พวกเรายังเป็นคนอยู่ไหม?”

เฉินชิงตูพยักหน้า “ข้ายังเป็น”

ผู้เฒ่าตาบอดเงียบงันไปชั่วขณะก็ถามว่า “ต่อให้ใต้หล้าทั้งสองจะสู้รบกันดุเดือดแค่ไหน แต่จะดุเดือดเท่าปีนั้นได้หรือ? อย่างมากก็แค่ทำให้หนึ่งนั้นแหลกสลายลง ปีนั้นเป็นเช่นนี้ หนึ่งพันหนึ่งหมื่นปีให้หลังจะเปลี่ยนไปเป็นอะไรได้อีก? โลกก็ยังห่วยแตกอยู่เหมือนเดิมไม่ใช่หรือ? มีความหมายตรงไหน? ไม่แน่ว่าทำลายให้พังพินาศไปทั้งหมดเลยถึงจะดี จะได้ย้อนกลับไปนับหนึ่งใหม่อีกครั้ง”

เฉินชิงตูกล่าว “เจ้าสมควรตาบอดแล้ว”

ผู้เฒ่าตาบอดพลันหัวเราะ “ถึงอย่างไรก็ดีกว่าหมาเฝ้าบ้านที่ขายชีวิตให้คนอื่นอย่างเจ้ากระมัง ได้กระต่ายแล้วก็เอาหมาล่าเนื้อมาฆ่ากิน ครั้งเดียวไม่พอ ยังจะลองลิ้มรสชาติดูอีกครั้งงั้นหรือ? ข้าว่าการที่ปีนั้นพวกชาวบ้านที่มีโทษทัณฑ์ติดตัวอย่างพวกเจ้าตกอยู่ในสภาพเช่นทุกวันนี้ก็เพราะถูกคนอย่างพวกเจ้าเฉินชิงตูทำให้เดือดร้อน รู้หรือไม่ว่าทำไมข้าอยู่ที่นี่มานานขนาดนี้ แต่กลับไม่ยินดีจะเดินทางขึ้นเหนือไปดู เพราะข้ากลัวว่าไปดูแล้วจะได้เห็นเรื่องตลกที่ใหญ่ที่สุดในใต้หล้าอย่างพวกเจ้า แล้วข้าก็จะหัวเราะจนตาย”

ผู้เฒ่าตาบอดชี้ไปยังหมาแก่หน้าประตูที่ตัวสั่นสะท้าน “เจ้าดูสิว่าเจ้าเฉินชิงตูดีกว่ามันตรงไหน?”

ผู้เฒ่าตาบอดย้ายเส้นสายตามองไปยังเด็กสาวคนนั้น พูดกลั้วหัวเราะเสียงแหบแห้งกับนาง “นังหนูหนิง เจ้าอย่าได้รำคาญไปเลย นี่ไม่เกี่ยวกับเจ้า เจ้ายังถือว่าไม่เลว”

หนิงเหยาไม่เอ่ยอะไร

เพียงไม่นานเฉินชิงตูก็พาหนิงเหยาจากไป

ผู้เฒ่าตาบอดถอนหายใจเบาๆ ไม่มีอารมณ์มาชื่นชมภาพวาดแห่งภูเขาแม่น้ำที่ยังวาดไม่เสร็จอีกแล้ว เขาเดินออกจากประตูเรือน มองไปเห็นหมาแก่ที่เงยหน้าแลบลิ้นอย่างประจบ ผู้เฒ่าตาบอดพลันยกเท้าข้างหนึ่งขึ้นกระทืบลงบนสันหลังของหมาแก่อย่างแรง มันส่งเสียงร้องคร่ำครวญทันใด ผู้เฒ่าตาบอดกระทืบกระดูกสันหลังทั้งแถบของปีศาจใหญ่ยุคบรรพกาลที่พลังชีวิตแข็งแกร่งอย่างหาที่สิ้นสุดไม่ได้ตัวนี้เต็มแรง ถึงอย่างไรเมื่ออาศัยดวงตาข้างนั้นของปีศาจหนุ่ม เพียงไม่นานมันก็สามารถฟื้นตัวได้อยู่แล้ว

ผู้เฒ่าตาบอดพึมพำพลางเดินกลับเข้าบ้าน

บนกำแพงเมืองของกำแพงเมืองปราณกระบี่

ผู้ฝึกกระบี่ใหญ่วัยชรานั่งขัดสมาธิ หนิงเหยานั่งดื่มเหล้า

เฉินชิงตูเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อย “ไม่ต้องรู้สึกไม่เป็นธรรมแทนข้า เจ้าเฒ่าตาบอดต่างหากที่เป็นคนเจ็บปวดที่สุด ไม่ใช่อย่างที่โลกภายนอกเล่าลือกันว่า เขาสูญเสียดวงตาทั้งสองข้างเพราะศึกใหญ่กับบรรพบุรุษเผ่าปีศาจของใต้หล้าเปลี่ยวร้าง แต่เป็นเพราะเขาลงมือควักลูกตาตัวเองเมื่อนานมากแล้ว ตาข้างหนึ่งโยนทิ้งไว้ในใต้หล้าไพศาล อีกข้างหนึ่งขว้างไปใต้หล้ามืดสลัว ครั้งนี้ที่ข้าไปหาเขาก็เพราะต้องการได้ยินประโยค ‘ไม่ช่วยใครทั้งนั้น’ ของเขากับหูตัวเอง แค่นี้ก็ดีมากแล้ว”

หนิงเหยาพยักหน้ารับ

หนิงเหยาดื่มเหล้าไปได้ครึ่งกาก็หันหน้ามามองผู้เฒ่าเซียนกระบี่ใหญ่

เฉินชิงตูหัวเราะอย่างฉุนๆ “นังหนูหนิง ข้าไม่ได้จะว่าเจ้าหรอกนะ แต่เจ้าอยากดูก็กลับไปดูที่บ้านเจ้าสิ ที่นี่มันถิ่นของท่านปู่เฉินอย่างข้า มีอย่างที่ไหนที่เจ้าจะมาไล่ให้ข้าไป?”

แม้ปากจะพูดเช่นนี้ แต่ผู้เฒ่าก็ยังกระโดดลงจากหัวกำแพง เดินกลับกระท่อมของตัวเองไป

อันที่จริงเขาเองก็รู้เหตุผล เพราะเจ้าเด็กนั่นเคยฝึกหมัดอยู่บนหัวกำแพงแถบนี้นี่นะ

หนิงเหยาหยิบม้วนภาพวาดม้วนหนึ่งออกมาจากชายแขนเสื้อ วางกาเหล้าไว้อีกด้านหนึ่ง จากนั้นก็ฟุบตัวนอนคว่ำบนหัวกำแพง คลี่ภาพม้าวิ่งของแม่น้ำแห่งกาลเวลาม้วนนั้นออก นี่เป็นภาพที่สามหรือภาพที่สี่แล้วนะ?

บนภาพวาด ทัศนียภาพคือสุสานเทพเซียนที่นางเองก็เคยไปเยือนมาก่อน เด็กกลุ่มหนึ่งกำลังเล่นว่าวกัน มีเด็กชายตัวดำผอมแห้งนั่งอยู่เพียงลำพังไกลๆ เห็นได้ชัดว่าโดดเดี่ยวเดียวดาย ระหว่างที่คนวัยเดียวกันวิ่งห้อปล่อยว่าวอย่างสนุกสนาน หากวิ่งผ่านเด็กคนนั้นก็จะกระตุกว่าวเลี้ยงเอาไว้ จากนั้นจึงย่อตัวลงหยิบก้อนดินขึ้นมากำหนึ่งแล้วขว้างออกไปอย่างแรง เมื่อเห็นว่าเด็กคนนั้นหมุนกายวิ่งจากไป เด็กร่างสูงใหญ่ที่ในมือถือว่าวก็หัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง

หนิงเหยายื่นนิ้วเคาะลงบนภาพวาด จิ้มไปโดนหน้าผากของเด็กร่างสูงใหญ่คนนั้นพอดี พึมพำบางอย่างไปด้วย

จากนั้นนางก็ดึงมือกลับแล้วจ้องมองภาพในม้วนภาพวาดเงียบๆ จนจบ

อันที่จริงในวัตถุจื่อชื่อยังมีม้วนภาพอีกไม่น้อย ทว่าทุกครั้งนางจะดูแค่ภาพนี้

นางพลิกตัวกลับ สองมือสอดทับกันวางไว้ใต้ท้ายทอย กระดิกขาข้างหนึ่งเบาๆ

ชอบเขา ไม่เกี่ยวอะไรกับม้วนภาพ

ได้ดูม้วนภาพม้วนแล้วม้วนเล่าก็มีแต่จะเปลี่ยนจากชอบไปเป็นชอบมากกว่าเดิม

นางหนิงเหยาจะชอบใคร ไม่เกี่ยวอะไรกับฟ้าดิน

เฉินผิงอันสามารถฝึกหมัดหนึ่งล้านครั้งอย่างโง่งมเพื่อนาง

นี่ก็สุดยอดมากแล้วไม่ใช่หรือ?

หนิงเหยาลืมตาขึ้น นางรู้สึกว่าต่อให้ตัวเองตายไปหนึ่งล้านครั้งก็ยังคงชอบเขาอยู่เสมอ