บทที่ 553 อย่าโทษข้าก็แล้วกัน

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

ตลอดเส้นทางไม่มีใครพูดคำใดออกมา

วันนี้เมืองหยุนเมิ่งเงียบงันเป็นอย่างยิ่ง

และเมื่ออีกประมาณ 6 ลี้จะถึงที่ทำการจวนผู้ว่า ทุกคนก็พบว่ากองกำลังของนักรบชาวทะเลได้ตั้งด่านขวางทางเอาไว้เสียแล้ว

พวกมันมารอคอยหลินเป่ยเฉินและเหล่าตัวแทนอย่างไม่ต้องสงสัย

ไต้จือฉุนอุ้มเด็กหญิงอายุสามขวบอยู่ในอ้อมแขนข้างหนึ่ง เขาเดินเคียงข้างหลินเป่ยเฉิน ส่วนมืออีกข้างนั้นก็กุมมือหญิงสาวหน้าตาสะสวยคนหนึ่งตลอดเวลา

เด็กหญิงโอบแขนกอดรอบลำคอบิดา

หญิงสาวผู้มีใบหน้างดงามคนนั้นเรือนร่างอรชน ดวงตาแดงก่ำ แต่นางไม่พูดคำใดออกมาเลย เพียงเดินเคียงข้างสามีอย่างเงียบๆ เท่านั้น

อีกด้านหนึ่ง หลิวฉีไห่ผู้ไม่มีภรรยาก็ไม่พูดคำใดออกมาเช่นกัน แต่เขามีสีหน้าสดใส ร่างกายเต็มเปี่ยมด้วยความมีชีวิตชีวา

มีเพียงเซียวปิงเท่านั้นที่แตกต่างไปจากทุกคน

เจ้าอ้วนมีน่องไก่อยู่ในมือซ้ายและมีน่องเป็ดอยู่ในมือขวา

แน่นอนว่ามันเป็นน่องเป็ดและน่องไก่ที่ผ่านการย่างไฟหอมฉุยมาแล้ว

เด็กหนุ่มรับประทานอย่างมูมมาม

รับประทานอย่างหิวโหย

รับประทานราวกับว่าชีวิตนี้จะไม่มีโอกาสได้รับประทานของอร่อยๆ อีกแล้ว

สุดท้าย นักรบชาวทะเลเหล่านั้นก็ยอมหลีกทางให้พวกของหลินเป่ยเฉินและคณะชาวเมือง เดินข้ามสะพานโครงกระดูกเข้าสู่อาณาเขตของจวนผู้ว่าแต่โดยดี

เวทีประลองถูกสร้างขึ้นบนลานไต่สวนคดีหน้าจวนผู้ว่าได้หลายวันแล้ว

มันเป็นเวทีประลองที่สร้างขึ้นมาจากปะการังขนาดใหญ่ และได้รับการตกแต่งรวมถึงการขัดเกลาให้พื้นเวทีเรียบเนียนด้วยเวทมนตร์บางอย่าง

รอบเวทีประลองขณะนี้ มีชาวทะเลจำนวนมากกำลังสวดภาวนา

พวกมันกำลังสวดภาวนาอวยพรให้แก่ตัวแทนของฝ่ายตัวเอง

หลิงไท่ซวี หลิวฉีไห่ และบรรดาผู้ที่มีความชำนาญเรื่องค่ายอาคมหลายคนเดินวนรอบเวทีประลองอยู่หลายรอบ เมื่อตรวจสอบจนแน่ใจว่าไม่มีการเล่นสกปรกจากอีกฝ่าย พวกเขาก็หันหน้ากลับมาส่งสัญญาณบอกหลินเป่ยเฉินว่าทุกอย่างปลอดภัยดี

จังหวะนั้น สมาชิกระดับสูงของชาวเผ่าทะเลก็ได้ปรากฏตัวขึ้น

แม้แต่องค์หญิงแห่งท้องทะเลซึ่งให้เหตุผลว่าหลายวันนี้มีอาการป่วยหนักไม่สามารถปรากฏตัวได้ ก็ยังปรากฏตัวออกมาโดยอยู่ในห้องโดยสารของเกี้ยวทองคำหลังนั้น

เพียงใบหน้าปกคลุมด้วยม่านลูกปัดทะเล

ม่านลูกปัดทะเลเหล่านั้นมีประกายระยิบระยับยามผู้คนจ้องมอง ทำให้ไม่มีใครเห็นโฉมหน้าที่แท้จริงขององค์หญิงได้เลยสักเสี้ยวเดียว

ทางด้านแม่ทัพฉลามอู๋หยาก็ได้ปรากฏตัวออกมาพร้อมกับแขกคนสำคัญจากจักรวรรดิจี้กวง

องค์หญิงเค่อเอ๋อร์นั่งอยู่ข้างกายเจ้าชายอวี้ชินหวังผู้เป็นบิดา นางแต่งกายสวยงามเหมือนตุ๊กตาที่มีชีวิต ดวงตาคู่งามนั้นกำลังสำรวจมองชาวเมืองหยุนเมิ่งด้วยความสงสัยใคร่รู้

แต่ในความเป็นจริง เด็กสาวกำลังจ้องมองมาที่หลินเป่ยเฉิน

“เจ้ามองอะไรมิทราบ?”

หลินเป่ยเฉินสัมผัสได้ถึงการจ้องมองจากเด็กสาว เขาจึงหันกลับมาถลึงตาจ้องมองกลับไปด้วยแววตาดุร้าย “เด็กสาวหน้าตาอัปลักษณ์เช่นเจ้า รีบเอาดวงตาของเจ้าหันไปมองที่อื่นเดี๋ยวนี้ หรือเกิดมาเจ้าไม่เคยพบเห็นคนหล่อเช่นข้ามาก่อน?”

เจ้าชายอวี้ชินหวังมีรอยยิ้มปรากฏขึ้นที่มุมปาก

เขาเกือบจะหลุดหัวเราะออกมาแล้ว

คิดไม่ถึงเลยว่าบุตรสาวผู้หยิ่งทะนงในความงดงามของตนเอง วันหนึ่งกลับถูกเรียกขานว่าเป็น ‘เด็กสาวหน้าตาอัปลักษณ์’ ไปเสียแล้ว

หากคำพูดประโยคนี้เกิดขึ้นที่เมืองเซวียฉุย เกรงว่ามันคงทำให้ชาวเมืองโกรธแค้นแทบก่อการจลาจล

“อิอิ พี่ชาย ท่านช่างหล่อเหลาเหลือเกิน… แต่ท่านดุร้ายมากเกินไป”

องค์หญิงเค่อเอ๋อร์ตอบรับกลับมาด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน ไม่ได้โกรธแค้นวาจาหยาบคายของหลินเป่ยเฉินแม้แต่น้อย มิหนำซ้ำ นางยังแสดงอากัปกิริยาเอียงอายออกมาอีกด้วย

โดยทั่วไป หากได้พบเจอเด็กสาวผู้มีความงามเหนือธรรมดาเช่นนี้ ต่อให้เป็นชายฉกรรจ์หัวใจหยาบกร้าน ก็ยังอดแสดงความอ่อนโยนออกมาไม่ได้ องค์หญิงเค่อเอ๋อร์รู้ดีว่าตนเองควรใช้ความงามให้เป็นประโยชน์เมื่อใด และกิริยาอ่อนหวานของนางนั้น ก็สามารถทำให้ฝ่ายตรงข้ามใจอ่อนได้เสมอ

แต่หลินเป่ยเฉินกลับจ้องมองมา พูดว่า “แล้วไงล่ะ? ฝันไปเถอะ คนอย่างข้าไม่มีวันชำเลืองตามองเจ้าแม้แต่น้อย”

เจ้าชายอวี้ชินหวังถึงกับชะงักกึก

“เจ้ามันคนตาบอดวาจาสามหาว”

“ทาสรับใช้ชาวเป่ยไห่ เจ้ามันกำแหงเกินไปแล้ว”

กลุ่มองครักษ์ของจักรวรรดิจี้กวงที่ยืนอยู่โดยรอบส่งเสียงคำรามออกมาทันที

หลายคนเป็นองครักษ์ผู้ซื่อสัตย์ต่อองค์หญิงเค่อเอ๋อร์ ดังนั้นมือหรือที่พวกเขาจะยอมให้มีผู้คนมาดูหมิ่นองค์หญิงอย่างซึ่งหน้าได้อย่างไร

“ไม่พอใจหรือ?”

หลินเป่ยเฉินยกมือกระดิกนิ้วเรียก “เก่งจริงก็เข้ามา”

องครักษ์หนุ่มผู้หนึ่งทนไม่ไหวอีกต่อไป เขาหันขวับกลับมาคุกเข่าข้างเดียวและพูดว่า “กราบเรียนท่านชาย ท่านหญิง ได้โปรดอนุญาตให้ข้าน้อยสั่งสอนเด็กหนุ่มผู้โอหังคนนี้ด้วยเถิด”

เจ้าชายอวี้ชินหวังขมวดคิ้วและกำลังจะพูดอะไรบางอย่าง…

“ตามสบาย แต่แค่สั่งสอนให้พี่ชายท่านนี้ได้รู้ก็พอ ว่าทหารของจักรวรรดิจี้กวงมีความน่ากลัวขนาดไหน ไม่ต้องเอากันให้ถึงตาย แค่สั่งสอนเป็นบทเรียนก็พอแล้ว”

องค์หญิงเค่อเอ๋อร์พูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น

หลังจากนั้น นางก็หันมามองหน้าหลินเป่ยเฉินด้วยแววตาเคร่งขรึม ก่อนจะแลบลิ้นใส่เขาและพูดว่า “แล้วพี่ชายจะต้องเสียใจ องครักษ์คนนี้ของข้ามีความแข็งแกร่งมาก บอกได้เลยว่าท่านพบเจอปัญหาใหญ่แน่นอน”

เหอเหอเหอ

หลินเป่ยเฉินระเบิดเสียงหัวเราะอยู่ตรงนั้น ขี้คุยเหลือเกินนะ

ไม่รู้ว่ายัยองค์หญิงคนนี้เป็นเกรียนคีย์บอร์ดกลับชาติมาเกิดหรือไง ถึงได้มีทักษะกวนประสาทผู้คนถึงเพียงนี้?

เป็นเพียงนักล่าตัวน้อย คิดว่าจะตามจับจิ้งจอกเจ้าเล่ห์อย่างเขาได้หรือ?

“เจ้าคนเป่ยไห่ เข้ามายอมรับความตายเสียดีๆ”

องครักษ์หนุ่มพริ้วกายขึ้นไปยืนอยู่บนเวทีประลองด้วยสีหน้าเหยียดหยามเย้ยหยัน เขาหันมายกมือชี้หน้าหลินเป่ยเฉินเป็นคำเชิญชวนให้ขึ้นเวทีมาด้วยกัน

แต่เมื่อพูดออกไปแล้ว องครักษ์หนุ่มถึงนึกได้ว่าองค์หญิงสั่งเอาไว้ไม่ให้ฆ่าเด็กหนุ่มผู้นี้ ดังนั้น เขาจึงต้องกล่าวเสริม “แต่ถ้าเจ้ายอมคุกเข่าขอความเมตตา วันนี้ข้าจะไม่ฆ่าเจ้า”

“ข้าไม่สู้กับเจ้าหรอก”

หลินเป่ยเฉินว่า “เจ้ามันก็เป็นเพียงตัวตลกคนหนึ่งเท่านั้น หาได้อยู่ในสายตาของข้าไม่ เพราะคนที่จะเป็นจุดสนใจในการต่อสู้วันนี้ย่อมไม่ใช่เจ้าเด็ดขาด”

“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า…”

องครักษ์หนุ่มส่งเสียงหัวเราะเหยียดหยาม ก่อนพูด “เพียงเท่านี้ ข้าก็รู้แล้วว่าพวกเจ้าชาวเป่ยไห่มันก็เป็นแค่เศษสวะหาค่าไม่ได้ จึงไม่ต้องสงสัยอีกแล้วว่าเพราะเหตุใดจักรวรรดิของพวกเจ้าถึงแตกแยก และต้องตกอยู่ในอำนาจของเผ่าพันธุ์ต่างถิ่น อนาคตของพวกเจ้าจะต้องเป็นทาสตลอดไป บุรุษจะต้องถูกฆ่าฟัน สตรีจะต้องถูกข่มขืน นี่คือโชคชะตาที่พวกเจ้าไม่อาจหลีกเลี่ยงได้อีกแล้ว”

คำพูดจากองครักษ์ของจักรวรรดิจี้กวงผู้เป็นศัตรูอันดับหนึ่งของจักรวรรดิเป่ยไห่ ทำให้ชาวเมืองหยุนเมิ่งที่อยู่ภายใต้ความนิ่งเงียบมาตลอดก่อนหน้านี้เกิดความโกรธแค้นขึ้นมาแล้ว

ทุกคนมีใบหน้าแดงก่ำ

แทบจะมองเห็นควันที่พุ่งออกมาจากใบหู

“ข้าว่าจะไม่สนใจสุนัขข้างถนนอย่างเจ้าแล้วเชียวนะ”

หลินเป่ยเฉินยิ้มแย้มออกมาด้วยความปลอดโปร่งสบายใจ “แต่ในเมื่อเจ้ารนหาที่ตายถึงขนาดนี้ ข้าก็ยินดีสนองความต้องการ”

หลังจากนั้น ไม่มีใครเห็นว่าปืนอินทรีหิมะได้ปรากฏขึ้นในมือของหลินเป่ยเฉินเรียบร้อยแล้ว

และเนื่องจากมีศิลาบูชาอยู่ในแอปไป่ตู้ เน็ตดิสก์เป็นจำนวนมากมายมหาศาล หลินเป่ยเฉินจึงสามารถใช้งานปืนกระบอกนี้ได้ โดยไม่ต้องกลัวว่ามันจะดูดกินพลังลมปราณของตัวเขาเองอีกแล้ว

เปรี้ยง!

เมื่อค่าพลังถูกดูดเต็มหลอด หลินเป่ยเฉินก็ยกปืนขึ้นเล็งไปที่หน้าผากขององครักษ์หนุ่ม ก่อนเหนี่ยวไกยิงด้วยความเร็วไว

ร่างขององครักษ์หนุ่มล้มลงตายบนเวที

เลือดสีแดงสดสาดกระจาย

“อย่าโทษข้าก็แล้วกัน”