ตอนที่ 1685 พลังโกลาหล

Unrivaled Medicine God – จอมเทพโอสถ

ตอนที่ 1685 พลังโกลาหล
“ข้า… ข้าเองก็ไม่แน่ใจ แต่ข้ารู้สึกได้ว่าตนเองกำลังสัมผัสได้ถึงบางสิ่ง บางที… ข้าอาจจะบรรลุอาณาจักรนภาสวรรค์ครึ่งก้าวได้”

ระหว่างที่โอสถทั้งสองเม็ดค่อยๆ ละลายไปในท้องของเขา มันก็กลับให้ความรู้สึกผิดแปลกประหลาดต่อร่างกายของเขา ทำให้เขารู้สึกราวกับได้ตรัสรู้

เจิ่งชีนั้นหยุดอยู่ที่อาณาจักรราชันพระเจ้าเก้าดาวมานานมากหลายหมื่นกว่าปี ไม่ว่าจะทำอย่างไรก็ไม่สามารถขึ้นไปแตะถึงฐานของอาณาจักรนภาสวรรค์ได้เสียที

เพราะว่าย่างก้าวนี้มันเป็นอะไรที่แสนจะยากเย็นสำหรับนักยุทธอาณาจักรราชันพระเจ้าเก้าดาว!

เจิ่งชีไม่เคยคิดเคยฝันเลยว่าในห้วงเวลาแห่งความสิ้นหวังนี้ โอสถสองเม็ดของเย่หยวนนี้กลับช่วยให้เขาสัมผัสได้ถึงฐานของอาณาจักรใหม่

หลังพยายามห้ามตัวเองไม่ให้ตื่นเต้นดีใจไปมากกว่านั้น เล่งหยูก็บอก “เรื่องแบบนี้เจ้าจะพลาดไปไม่ได้! เจ้าต้องทำการเข้าเก็บตัวให้เป็นกิจลักษณะ! ตอนนี้อาการบาดเจ็บของเจ้าเองก็หายไปกว่าร้อยละห้าสิบถึงหกสิบแล้ว ไม่ต้องให้ข้าช่วยอีกต่อไปแล้ว”

เจิ่งชีพยักหน้ารับและเริ่มปิดตาลงทำการดูดซึมโอสถที่ยังเหลืออยู่ในร่างต่อทันที ส่วนเล่งหยูก็รีบพุ่งตัวออกจากห้องลับนั้นมา

หลังออกจากห้องลับมาได้ เล่งหยูก็ไปหาเย่หยวนในทันที เขานั้นสงสัยใคร่รู้อย่างที่สุดว่าโอสถสองเม็ดนี้ของเย่หยวนมันมีที่มาที่ไปยังไงกันแน่

ตอนนั้นเย่หยวนกำลังนั่งคุยเล่นกับซวนอี้อยู่

ซวนอี้มองดูเย่หยวนและยิ้มออกมาอย่างขื่นขม “ไม่ว่าจะยังไงหนิงจื่อหยวนก็ยังเป็นถึงผู้นำตระกูลหนิง เจ้าจะไม่ไว้หน้าเขาแบบนี้เลยจริงๆ รึ?”

เย่หยวนยิ้มตอบ “หน้าตานั้นเป็นสิ่งที่คนเรามี หาใช่ต้องให้ใครมาไว้ เย่ผู้นี้เองก็มิใช่คนใจจืดใจดำ แต่ข้านั้นเกลียดชังผู้คนที่ตลบหลังคนอื่นยามยากเสียเหลือเกิน หากข้าไม่เห็นแก่หนิงเทียนปิง ต่อให้เขาจะมายืนอยู่ทั้งชีวิตข้าก็ไม่คิดที่จะพบกับเขาหรอก”

ซวนอี้ได้แต่ถอนหายใจ “ในหมูตระกูลน้อยใหญ่แห่งเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์ จริงๆ แล้วก็เป็นตระกูลหนิงที่ได้รับผลประโยชน์จากเจ้าไปมากที่สุดในตอนนั้น ข้าเองก็ไม่คิดไม่ฝันว่าตัวเขาจะทำเช่นนั้นในงานประชุมผู้อาวุโส ไม่แปลกหรอกที่ผู้คนจะเอาใจออกห่าง ช่างเถอะ กับแค่ตระกูลหนิง ด้วยพลังฝีมือของเจ้าในตอนนี้ ต่อให้เป็นสองคนด้านบนนั้นก็คงขัดใจเจ้าได้ไม่มากหรอก”

ระหว่างที่คุยกันไปได้เท่านี้ เล่งหยูก็วิ่งมาถึงอย่างเร่งรีบ เมื่อเขาได้เห็นเย่หยวนเขาก็ถามขึ้นอย่างไม่รีรอ “เย่หยวน โอสถของเจ้ามันคืออะไรกัน? ทำไมเจิ่งชีที่กินเข้าไปถึงจะได้บรรลุอาณาจักรกัน?”

เมื่อซวนอี้ได้ยิน เขาก็หันไปมองหน้าเย่หยวนอย่างเต็มแรงด้วยความตื่นตกใจ

โอสถทั้งสองเม็ดนั้นเขาเองก็รู้จักมันอย่างดี มีหรือที่มันจะมีฤทธิ์ใดช่วยให้เจิ่งชีบรรลุได้?

หรือว่า… เล่งหยูมองผิด?

เย่หยวนได้แต่ยิ้ม “ในเวลาหลายปีมานี้ข้าได้ค้นพบวิธีการใหม่ในโอสถอีกครั้ง ข้าได้ค้นพบว่าหากใช้วิธีการหลอมนี้มันจะช่วยให้โอสถมีฤทธิ์ต่างจากปกติไปเล็กน้อย แต่ข้าเองก็ไม่คิดเหมือนกันว่ามันจะถึงขั้นช่วยให้พี่เจิ่งบรรลุได้แบบนั้น เป็นเรื่องที่ข้าเองก็ไม่นึกไม่ฝันเช่นกัน”

เมื่อซวนอี้และเล่งหยูได้ยินเช่นนั้น ร่างกายของพวกเขาทั้งสองก็สั่นสะท้านออกมาอย่างรุนแรง แค่โอสถขั้นเทวะนั้นมันก็สุดยอดมากแล้วแท้ๆ แต่หากนับรวมกับเรื่องนี้เข้าไปด้วย โอสถที่หลอมออกมามันก็เท่ากับว่ามีค่าไร้ใดเปรียบเลย!

จริงๆ เย่หยวนนั้นรู้มานานแล้วว่าหลังจากเขาบรรลุอาณาจักรวายุพระเจ้ามา ปราณเทวะของเขาก็มีการเปลี่ยนแปลงไป

เพราะมันจะปล่อยพลังสุดลึกลับออกมาด้วย!

ไม่ว่าจะเอามันมาใช้วิชาต่อสู้หรือเอามาหลอมโอสถ มันก็จะช่วยเพิ่มพูนพลังไปได้มากมายนัก

แม้ว่าเย่หยวนที่บรรลุระดับสี่มาได้จะไม่มีพลังโลก แต่เขากลับมีพลังอันลึกลับอันนี้แทน

เย่หยวนเรียกมันว่า… พลังโกลาหล!

เขารู้สึกได้ว่าพลังโกลาหลนี้มันลึกลับและซับซ้อนมากกว่าพลังโลกนัก

ดูท่าแล้ว การมีพลังโกลาหลนี้ นอกจากมันจะทำให้เย่หยวนไม่แพ้พ่ายต่อเหล่าราชันพระเจ้าแล้ว มันกลับจะยิ่งทำให้เขาเหนือกว่าไปเสียด้วยซ้ำ

แต่เรื่องราวเหล่านั้นมันเป็นความลับ

เพราะเช่นนั้นต่อให้เป็นสองคนนี้ เย่หยวนก็บอกออกไปแค่ว่าเขาใช้วิธีการหลอมแบบใหม่ เพราะแบบนั้นมันถึงได้ทำให้โอสถมีความแตกต่างออกไปได้เช่นนั้น

แต่สิ่งที่ทำให้โอสถเปลี่ยนแปลงไปจริงๆ แล้วมันก็คือปราณเทวะโกลาหลของเขาเอง

แต่เจ้าปราณเทวะโกลาหลนั้นคือสุดยอดความลับของเขา เขาจึงไม่คิดที่จะบอกใครออกไปแม้แต่คนเดียว

ต่อให้เป็นในการต่อสู้เย่หยวนก็จะใช้ปราณเทวะโกลาหลออกมาให้เนียนเหมือนกับมันเป็นพลังโลก ช่วยตบตาผู้คนที่ได้เห็น

และเขาก็ได้รู้ว่าปราณเทวะโกลาหลนี้มันปกปิดตัวได้อย่างดี เหมือนตอนที่เขาเลียนแบบพลังของยอดฝีมือเผ่าปีศาจในครานั้น ไม่มีใครสามารถที่จะแยกแยะออกได้เลย

นั่นทำให้เย่หยวนคาดคิดว่าพลังโกลาหลนี้มันน่าจะอยู่เหนือล้ำกว่าพลังโลก

เย่หยวนรู้สึกว่าการเปลี่ยนแปลงในปราณเทวะของเขานี้มันน่าจะเกี่ยวข้องอะไรบางอย่างกับลายแปลกๆ นั้น

แต่แค่คำพูดอธิบายนี้ของเย่หยวนมันก็มากพอจะทำให้ทั้งสองตื่นตะลึงแล้ว

ซวนอี้กล่าวออกมาอย่างตื่นตกใจที่สุด “เจ้านี่ช่างเป็นยอดอัจฉริยะในวิชาการโอสถเสียจริง! ในสายตาของข้า ต่อให้เป็นโอสถบรรพกาล ตอนที่เขายังอายุเท่าเจ้าเขาก็ไม่น่าจะเก่งกาจขนาดเจ้าไปได้!”

เล่งหยูเสริมขึ้นมาพร้อมถอนหายใจ “เจ้า เด็กน้อย เจ้ามันช่างเป็นตัวประหลาดโดยแท้! ข้านึกไม่ออกเลยว่าเจ้าใช้วิชาการบ่มเพาะฝึกฝนแบบไหน! เฮอะๆ ตอนนั้นที่เจ้าไม่สามารถบรรลุได้ ไอ้โง่พวกนั้นมันเอาแต่ช่วยกันโยนหินลงบ่อ ตอนนี้เมื่อเจ้าทำได้ถึงขั้นนี้ ข้าล่ะอยากเห็นพวกมันก้มลงกราบและเลียเท้าเจ้าเสียจริงๆ”

ซวนอี้ยิ้ม “เรอะ! แต่จริงๆ ตอนนี้มันก็มีคนมาก้มกราบเย่หยวนและรอมาถึงเจ็ดวันแล้วที่หน้าคฤหาสน์ตระกูลเจิ่ง! ข้าว่าเรื่องการกลับมาของเย่หยวนนี้คงเป็นความลับไปได้อีกไม่นาน”

เล่งหยูถามขึ้นมาอย่างสงสัย “ใครกัน? ถึงได้ข่าวมาเร็วขนาดนี้?”

ซวนอี้ยิ้ม “จะเป็นใครไปได้อีก? มันก็ต้องเป็นจิ้งจอกเฒ่าหนิงจื่อหยวนอยู่แล้วสิ!”

เมื่อพูดถึงหนิงจื่อหยวนขึ้นมา เล่งหยูก็หน้าเปลี่ยนสีทันทีและกล่าวขึ้นอย่างเย็นเยือก “สมน้ำหน้ามัน!”

ในที่สุด หลังผ่านไปได้สิบห้าวันเย่หยวนก็ออกมาพบหนิงจื่อหยวน

ในเวลาครึ่งเดือนมานี้ หนิงเทียนปิงคอยอยู่รอกับหนิงจื่อหยวนที่หน้าประตูมาตลอด ไม่ได้คิดจะเข้ามาหาเย่หยวนแม้แต่น้อย

การกระทำนั้นของหนิงเทียนปิง เย่หยวนรู้สึกพอใจมาก

เพราะเขาคนนี้ฉลาด เขารู้ดึว่าการที่เขาเข้าไปพูดแทนตระกูลหนิงนั้นมันจะมีแต่ส่งผลลบ เขาก็เลยเลือกที่จะอยู่เงียบๆ ไปแทน

แต่การที่เขามายืนรออยู่หน้าคฤหาสน์เจิ่งมันก็แสดงจุดยืนของเขาในตระกูลหนิงเช่นกัน

กตัญญูอย่างแข็งขัน แต่ก็รู้จักกาลเทศะ

หนิงเทียนปิงผู้นี้ เย่หยวนไม่สามารถจะว่ากล่าวใดๆ เขาได้เลย

“ผู้อาวุโสหนิง ข้าต้องขออภัยแต่อาการของผู้อาวุโสใหญ่เจิ่งนั้นมันแย่ลงทุกวันๆ จะชักช้าไปกว่านั้นมิได้ ทำให้ข้าต้องปล่อยให้ผู้อาวุโสหนิงรอ ขอท่านผู้อาวุโสหนิงอย่าได้ถือโทษโกรธกันเลย!”

เพราะยังไงเสียทุกคนก็ยังต้องเจอกันอีกนาน สุดท้ายจึงต้องพูดไว้หน้ากันไว้ก่อน

เพียงแค่ว่าข้ออ้างของเย่หยวนนั้นมันแสนตื้นเขิน และดูท่าเขาคงจะจงใจให้มันเป็นแบบนั้น

ในเวลาครึ่งเดือนมานี้ หนิงเทียนปิงได้บอกเล่าถึงส่วนหนึ่งของเรื่องราวที่เขาได้รับรู้มาเกี่ยวกับเย่หยวน หนิงจื่อหยวนจึงเข้าใจได้ทันทีว่าพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ท่านนี้เป็นผู้ที่ห้ามไปลบหลู่เด็ดขาด

เพราะฉะนั้นเขาจึงไม่มีทางเลยที่จะกล้ากล่าวว่าใดๆ เย่หยวน

“ก็จริงๆ ร่างกายของผู้อาวุโสใหญ่เจิ่งนั้นเป็นเรื่องสำคัญของเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์เรา แน่นอนว่ามันต้องสำคัญที่สุด ข้าล่ะสงสัยจริงๆ ว่าอาการของพี่เจิ่งตอนนี้จะเป็นอย่างไรบ้าง?” หนิงจื่อหยวนถามเพื่อเปลี่ยนเรื่อง

เล่งหยูเองก็ได้แต่หัวเราะเย้ยอยู่ด้านข้าง “ไม่ต้องให้เจ้ามาห่วงหรอก! จะมาทำไม? ตอนที่เขาเจ็บเจ้าไม่เห็นจะเคยโผล่หน้ามาเยี่ยมเยือนสักครั้ง!”

ตั้งแต่เรื่องที่งานประชุมผู้อาวุโสครานั้น เล่งหยูก็ไม่ชอบหน้าหนิงจื่อหยวนขึ้นมาจับใจ

อายรุ่นของเขานั้นสูงล้ำกว่าใครแถมยังมีพลังที่ไม่ต่ำต้อย ในเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์นี้คงมีแค่ไม่กี่คนที่จะว่าอะไรเขาคนนี้ได้

หนิงจื่อหยวนได้แต่ยิ้มแห้งๆ ออกมาหลังได้ยินคำว่านั้น

เย่หยวนยิ้ม “เมื่อเย่คนนี้บรรลุได้แล้ว อาการของพี่เจิ่งก็ย่อมไม่มีปัญหา ผู้อาวุโสหนิงโปรดวางใจ”

ระหว่างที่พวกเขากำลังคุยกันนั้นก็มีเงาร่างหนึ่งเดินผ่านประตูเข้ามา จะเป็นใครไปได้นอกจากเจิ่งชี?

เจิ่งชีในตอนนี้มีร่างกายที่แข็งแกร่งและการเดินที่มั่นคง ยังจะมีร่องรอยใดๆ ของคนป่วยใกล้ตายอยู่ได้อีก?

เมื่อหนิงจื่อหยวนได้เห็นเจิ่งชี เขาก็ต้องตื่นตะลึงจนพูดไม่ออกทันที!

เพราะไม่ใช่แค่ว่าเขาคนนี้จะหายดี แต่กลับพัฒนาตัวเองขึ้นไปอีกขั้นด้วย ตอนนี้เขาบรรลุขึ้นอาณาจักรนภาสวรรค์ครึ่งก้าวแล้ว

“ฮ่าๆๆ น้องเย่ วิชาโอสถของเจ้านี้มันมีแต่จะเก่งกาจขึ้นทุกวี่วันจริงๆ” เจิ่งชีกล่าวขึ้นพร้อมหัวเราะร่า