ตอนที่ 603 ไม่รับ

บุตรอสูรบรรพกาล

ตอนที่ 603

ไม่รับ

“แม่…..”ชุนชิงที่กลายเป็นที่กำบังของชิวซุยอย่างกะทันหันมองไปทางหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้าด้วยท่าทีงุนงงอย่างมาก อีกฝ่ายยังสาวจนเหมือนจะอายุรุ่นราวคราวเดียวกันกับหลินเฟยเสียด้วยซ้ำทำให้ชุนชิงคิดว่านางคือพี่สาวของชิวซุยเสียอีก แต่ที่ไหนได้นางคือแม่งั้นหรือ มิน่าเล่าทั้งหลินเฟยทั้งชิวซุยถึงได้มีใบหน้างดงามเช่นนี้ เพราะมารดาของทั้งสองเป็นสาวงามที่ทำให้คนหยุดมองแม้จะพึ่งมีมังกรบินลงมากลางลานกว้างก็ตาม

“ชิวซุย ทำไมลูกถึงหนีออกจากบ้านแบบนี้กัน”ไป๋หลินเดินเข้ามาหาชิวซุยช้าๆ แต่พอเดินมาใกล้ท่าทีดุๆของไป๋หลินก็หายไปหมดเมื่อได้เห็นบุตรสาวกำลังทำท่าทีหวาดกลัวตนเองอยู่ ปกติแล้วชิวซุยไม่ค่อยทำตัวดื้อสักเท่าไหร่ ตั้งแต่เด็กจนโตไม่ค่อยจะถูกต่อว่าตำหนิหรือลงโทษนักทำให้เวลานางโดนต่อว่าแต่ละครั้งนางจะกลัวมาก แต่ถึงจะกลัวแค่ไหนนางก็ยังแอบมาหาพี่ชายของนางอยู่ดี

“เจ้าไม่รู้หรือไงว่าแม่เป็นห่วง”ไป๋หลินว่าพลางมองไปทางชุนชิงเหมือนจะขอให้ชุนชิงช่วยหลีกทางให้นางหน่อย ซึ่งตัวชุนชิงเองก็ถอยออกมาให้ชิวซุยได้เผชิญหน้ากับมารดาของตัวเองตรงๆ เรื่องในครอบครัวแบบนี้นางเข้าไปยุ่งไม่ได้หรอก

“ก็ท่านแม่ไม่ยอมให้ข้ามาหาท่านพี่นี่นา”ชิวซุยตอบด้วยใบหน้ามุ่ยๆ เห็นท่านแม่ลดท่าทีดุลงแล้วชิวซุยก็เริ่มสบตากับไป๋หลินเสียที

“เจ้าก็น่าจะรู้นี่นาว่าพี่ของเจ้าโดนลงโทษห้ามไม่ให้ติดต่อกับพวกเราสิบปี หากข้ายอมให้เจ้ามาเยี่ยมก็ไม่ใช่การลงโทษนะสิ”ไป๋หลินตอบพลางจับมือของชิวซุยเบาๆ นางเองก็ไม่ใช่ไม่เป็นห่วง แต่หลินเฟยก็โตแล้ว แถมพลังติดตัวก็มีไม่ใช่น้อย ขอเพียงหลินเฟยไม่หาเรื่องใส่ตัวก็คงไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับหลินเฟยหรอก

“ท่านแม่…..”ระหว่างที่ไป๋หลินกำลังจะรับตัวชิวซุยกลับ ตัวหลินเฟยที่ถูกเรียกตัวไปก็เข้ามาในลานกว้างพอดี ทำให้หลินเฟยได้พบหน้ากับมารดาและท่านป้าไป๋ไป่ที่ไม่ได้พบกันหลายเดือนจนได้

“หลินเฟย ลูกสบายดีหรือเปล่า”ไป๋หลินถามพลางมองมาทางหลินเฟยด้วยท่าทีห่วงใย แม้ตนจะพึ่งบอกชิวซุยว่าห้ามมาพบ แต่นางเองก็อยากพบหลินเฟยเช่นเดียวกันเพราะถึงอย่างไรนางก็เป็นแม่ของหลินเฟยนี่นา

“ขอรับ ที่เมืองนี้ผู้คนเป็นคนดี แถมยังต้อนรับข้าอย่างอบอุ่น ไม่มีอะไรให้ต้องกังวลหรอกขอรับ”หลินเฟยตอบพลางยิ้มบางๆออกมาด้วยท่าทีโล่งอก แม้จะทำใจไว้แล้วว่าอาจจะไม่ได้เจอหน้ามารดาเป็นสิบปี แต่ไม่ว่าใครก็ต้องแอบคิดว่าอยากเจออยู่ตลอด การได้พบมารดาของตนอีกครั้งทำให้หลินเฟยรู้สึกดีมากทีเดียว

“แม่อยากจะถามลูกอยู่หรอกว่าลูกขาดเหลืออะไรหรือเปล่า แต่ลูกเข้าใจสินะว่าแม่ทำไม่ได้”ไป๋หลินว่าพลางยิ้มบางๆให้หลินเฟย หลินเฟยตอนนี้ดูเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมาก แม้จะไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างแต่ท่าทางหลินเฟยเองก็พยายามใช้ชีวิตให้ดีขึ้นกว่าสมัยก่อนสินะ ระยะเวลารับโทษอีกเกือบสิบปีหวังว่าหลินเฟยจะสามารถใช้ชีวิตได้อย่างสบายใจและไม่ก่อเรื่องอะไรอีก

“ขอรับ ข้าเข้าใจ….ชิวซุยเจ้าไม่ต้องห่วงพี่หรอกนะ สำหรับพวกเราแค่สิบปีไม่ถือว่านานเกินไปหรอก”หลินเฟยตอบมารดาก่อนจะหันไปพูดคุยกับน้องสาวตนเองด้วยท่าทีอ่อนโยน

“ข้าจะพยายามอดทนเจ้าค่ะ”ชิวซุยพยักหน้าช้าๆก่อนเดินเข้าไปยืนข้างๆไป๋หลินและไป๋ไป่อย่างว่าง่าย ความจริงหากปล่อยชิวซุยให้มาหาหลินเฟยบ้างเป็นบางครั้งก็ไม่มีใครรู้หรอก แต่หากตนเองไม่ซื่อสัตย์กับคำสัญญาแล้วใครจะมาเชื่อถือตระกูลไป๋อีกกัน

“งั้นเราไปกันเถอะ หลินเฟยเจ้าห้ามก่อเรื่องอีกนะ”ไป๋ไป่ว่าพลางจ้องมองหลินเฟยด้วยท่าทีดุๆ ก่อนจะเปลี่ยนร่างตนเองเป็นมังกรอีกครั้งแล้วพาไป๋หลินกับชิวซุยกลับบ้านพร้อมกับเหมาเหมาที่ชิวซุยอุ้มมาตลอดก่อนหน้านี้

“ฮะๆ…..”หลินเฟยหัวเราะออกมาพลางมองไปรอบๆ ร่างมังกรของท่านป้าไป๋ไป่นั้นทำเอาศิษย์ที่อยู่ภายนอก รวมทั้งชุนชิงและผานซูที่ติดตามตนเองออกมาด้วยพากันตกใจจนไม่กล้าพูดอะไรออกมาสักคำ

“พี่หลินเฟย……”ชุนชิงทำท่าจะถาม แต่หลินเฟยกลับเอานิ้วมาแตะที่ริมฝีปากตนเองเป็นสัญลักษณ์เหมือนจะบอกให้ชุนชิงเก็บเป็นความลับ เรื่องที่ท่านแม่ของหลินเฟยขี่มังกรมาตามน้องสาวของหลินเฟยกลับบ้านเช่นนี้หากไปเล่าให้ใครฟังก็คงไม่มีใครเชื่อหรอก

ปึง!!

หลังจากน้องสาวจากไปแล้ว แขกที่ไม่ได้รับเชิญอีกกลุ่มหนึ่งก็เข้ามาในสำนักเหยี่ยวทะเลทรายในทันที แถมยังแทบจะพังประตูเข้ามาอีกต่างหาก

“มีอะไรกันงั้นหรือขอรับ”หลินเฟยถามพลางเดินเข้าไปหาเหล่าทหารที่ถีบประตูสำนักเข้ามากันเป็นสิบนายด้วยท่าทีสุภาพ

“พวกเราได้รับแจ้งมาว่ามีอสูรขนาดใหญ่หลุดเข้ามาในเมือง พวกเจ้าเห็นหรือไม่”แน่นอนอสูรที่ว่าก็คือไป๋ไป่นั่นเอง มังกรหินสีขาวที่มีปีกขนาดใหญ่ 6 ปีก หากบอกว่าไม่เห็นก็คงตาบอดเป็นแน่

“ข้าไล่มันไปแล้วขอรับ ต้องขอบคุณพวกท่านจริงๆที่เป็นห่วง”หลินเฟยตอบพลางยิ้มออกมาด้วยท่าทีสบายๆ แต่พอตอบเสร็จหลินเฟยก็หันไปมองเหล่าศิษย์ในสำนักที่เห็นเหตุการณ์และตัวผานซูด้วยอีกคนเหมือนจะบอกให้พวกมันทำอะไรสักอย่าง

“ชะ ใช่แล้วขอรับ ท่านเจ้าสำนักไล่อสูรตนนั้นกลับไปแล้ว ด้วยวิชาอันยอดเยี่ยมของเจ้าสำนักทำให้อสูรตนนั้นเผ่นหนีไปแทบไม่ทันเลยขอรับ”ผานซูเห็นสายตาของหลินเฟยก็เข้าใจทันทีรีบเดินมายืนยันกับเหล่าทหารด้วยอีกคน แต่การเติมสีใส่ไข่ของผานซูกลับทำให้หลินเฟยเหงื่อตก หากท่านป้าไป๋ไป่ได้ยินเข้ามีหวังโดนสั่งสอนแน่ๆ ท่านป้าเป็นอสูรระดับบรรพกาลขั้นที่ 7 เข้าไปแล้วนะ ตัวหลินเฟยแม้จะมีทั้งพลังอสูรระดับบรรพกาลขั้นที่ 1 และพลังวิญญาณระดับเจ้าสวรรค์ขั้นที่ 1 ก็ตาม ก็ไม่มีทางไปสู้อะไรท่านป้าได้หรอก

“เจ้าเนี่ยนะไล่อสูรกลับไป”ทหารคนหนึ่งพูดพลางมองหลินเฟยด้วยท่าทีไม่อยากจะเชื่อ หากมองภายนอกหลินเฟยก็เหมือนหญิงสาวคนหนึ่งไม่มีผิด แม้จะถูกเรียกว่าเจ้าสำนักแต่อย่างหลินเฟยเนี่ยนะจะไล่อสูรที่น่ากลัวตนนั้นไป

“ขอรับ ข้าเป็นคนไล่ไปเอง”หลินเฟยพูดด้วยท่าทีสบายๆก่อนจะเตรียมตัวปล่อยพลังวิญญาณออกมาให้เหล่าทหารได้รับทราบว่าตนเองมีพลังวิญญาณขนาดไหน แต่ยังไม่ทันได้ทำแบบนั้นที่ด้านหลังของกลุ่มทหารก็ปรากฏร่างของชายผู้หนึ่งเสียก่อน

“คะ….คุณชาย เป็นท่านนี่เอง”ที่ด้านหลังของกลุ่มทหารปรากฏร่างของชายคนหนึ่งวิ่งเข้ามาหาหลินเฟยในทันที เพียงสบตาหลินเฟยก็จำได้แทบจะทันทีว่าอีกฝ่ายคือใคร

“เจ้าคือผู้ตรวจการในตอนนั้นงั้นหรือ”หลินเฟยถามพลางมองชายคนนั้นด้วยท่าทีประหลาดใจ จะว่าไปผู้ตรวจการก็ต้องมาจากเมืองหลวง แถมหัวหน้าของพวกมันยังเป็นพี่ภรรยาของท่านชุนเจ๋ออีกต่างหาก ลูกน้องที่เคยเจอกันในเมืองฮัวกิงจะมาอยู่ที่นี่ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกนี่นะ

“ขอรับ ข้าเอง เพราะเรื่องที่คุณชายช่วยเอาไว้ทำให้ข้าได้หน้าไม่น้อยเลย ต้องขอบคุณคุณชายจริงๆนะขอรับ”ชายคนนั้นยิ้มออกมาด้วยท่าทียินดี มันคือหนึ่งในผู้ตรวจการที่เข้ามาบุกรังโจรที่เมืองฮัวกิงนั่นเอง แม้ไม่ใช่คนที่หลานฮวาจับตัวเอาไว้แต่ก็เป็นคนที่ติดตามหัวหน้าผู้ตรวจการมาด้วยในภายหลังนั่นเอง

“เช่นนั้นก็ดีแล้ว”หลินเฟยตอบโดยไม่คิดจะทักท้วงอะไรเลย แม้เหล่าผู้ตรวจการจะบอกว่ามีคนมาช่วยจับพวกโจรเอาไว้ได้แต่ทางราชสำนักไม่ยอมรับเรื่องที่ใครที่ไหนก็ไม่ทราบมาจับโจรที่ทางเมืองหลวงทำอะไรไม่ได้มาหลายเดือนแล้วปล่อยผลงานทิ้งมาให้เหล่าผู้ตรวจการที่บังเอิญเข้าไปตรวจสอบพอดี กลายเป็นว่าผลงานดังกล่าวกลายเป็นของผู้ตรวจการทั้งสามและเรื่องราวก็ถูกเขียนเอาว่าทั้งสามต่อสู้กับโจรอย่างกล้าหาญเสียอย่างนั้น แต่เรื่องนั้นหลินเฟยก็ไม่ใส่ใจแม้แต่น้อยเลย

“พวกเจ้าแยกย้ายกันได้ หากเป็นท่านผู้นี้ละก็ต้องสามารถไล่อสูรตนนั้นกลับไปได้แน่ๆ ข้าเอาหัวของข้าเป็นประกัน”ผู้ตรวจการหนุ่มหันไปสั่งเหล่าทหารก่อนจะบอกให้ทุกคนแยกย้ายกันไปได้ ทำให้เหล่าทหารไม่คิดจะเซ้าซี้หลินเฟยอีกแล้วกลับไปแต่โดยดี

“คุณชาย ข้าได้ยินท่านผู้นี้เรียกขานคุณชายว่าเจ้าสำนัก ไม่ทราบว่าคุณชายกำลังเปิดสำนักอยู่อย่างนั้นหรือ”พอทหารกลับไปผู้ตรวจการหนุ่มก็ถามมาทางหลินเฟยทันที

“ถูกแล้วขอรับ ท่านหลินเฟยเป็นเจ้าสำนักของสำนักเหยี่ยวทะเลทรายมาได้หลายวันแล้วขอรับ ช่างเป็นบุญยิ่งนักที่สำนักของเราได้ผู้นำที่ยอดเยี่ยมเช่นนี้”ผานซูตอบอย่างรวดเร็วเพื่อยืนยันสถานะของหลินเฟย ทำให้หลินเฟยไม่มีโอกาสได้ตอบคำถามไปทางอื่นเลย

“เช่นนั้น…..ข้าขอสมัครเข้าสำนัก…ไม่ได้ๆข้ามีงานต้องทำคงเข้าสำนักไม่ได้…น่าเสียดายจริงๆ คุณชายเป็นเจ้าสำนักแท้ๆ จริงสิข้ามีน้องสาวอยู่คนหนึ่งสนใจในการฝึกฝนพลังวิญญาณไม่น้อย ให้นางเข้ามาสมัครที่นี่ด้วยได้หรือไม่ขอรับ”ผู้ตรวจการหนุ่มถามพลางยิ้มกว้างด้วยท่าทีดีใจ แต่…

“ไม่ได้หรอกขอรับ สำนักเราไม่รับศิษย์ผู้หญิง”ได้ยินคำตอบของผานซูตัวหลินเฟยเองก็พึ่งจะสังเกตเห็นว่าในสำนักไม่มีผู้หญิงเลยแม้แต่คนเดียว แต่ในกฎสำนักที่ตนอ่านไม่เห็นมีกฎข้อนี้ระบุเอาไว้เลย

“ที่นี่เองก็ด้วยเหมือนกันหรือขอรับ”แทนที่จะโกรธผู้ตรวจการหนุ่มกลับถอนหายใจอย่างเสียดายราวกับเป็นเรื่องธรรมดาเสียอย่างนั้น

“ที่นี่ก็ด้วย?……หรือว่าสำนักของอาณาจักรซานไม่ค่อยเปิดรับผู้หญิงงั้นหรือขอรับ”หลินเฟยขมวดคิ้วด้วยท่าทีงุนงง ในอาณาจักรไป๋นั้นแม้จะมีสำนักหญิงที่ไม่เปิดรับศิษย์ชายหรือสำนักทางศาสนาที่ไม่รับศิษย์หญิงก็จริง แต่สำนักเหยี่ยวทะเลทรายไม่ได้เข้าข่ายสำนักพวกนั้นนี่นา มีปัญหาอะไรในการรับหรือไม่รับศิษย์หญิงงั้นหรือ

“ขอรับ ผู้หญิงนั้นจะฝึกฝนพลังวิญญาณได้ไม่มาก สำนักส่วนใหญ่ก็เลยไม่รับศิษย์หญิงกันขอรับ”ได้ยินเช่นนั้นหลินเฟยก็แทบจะตะโกนด่าสำนักเหล่านั้นในใจก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าสำนักพวกนั้นก็รวมสำนักเหยี่ยวทะเลทรายด้วยเช่นกัน

“เหลวไหล ใครเป็นคนบอกกันว่าผู้หญิงฝึกฝนพลังวิญญาณได้ไม่ดี”หลินเฟยที่โตมาท่ามกลางท่านยายท่านแม่และพวกน้าๆภรรยาของท่านน้าจูล่งไม่มีความคิดเช่นนั้นอยู่ในหัวเลย ท่านแม่และท่านน้าต้าหวานและท่านน้าต้าเฉียนต่างมีพลังเกินระดับเจ้าสวรรค์ขั้น 5 ไปแล้ว เรียกได้ว่าเก่งเกินหน้ายอดฝีมือชายหลายๆคนไปมากทีเดียว รวมถึงท่านยายที่อยู่ระดับเจ้าสวรรค์ขั้นที่ 10 ที่ระดับฝีมือในอาณาจักรไป๋เป็นรองเพียงท่านตาและท่านน้าจูล่งเท่านั้น เพราะแบบนี้หลินเฟยเลยแทบจะไม่มีความคิดเรื่องผู้หญิงอ่อนแอในหัวเลย เพราะต่อให้เป็นชิวซุยก็สามารถล้มแม่ทัพใหญ่อย่างเจี่ยหุนลงได้ด้วยกระบวนท่าเดียวเสียด้วยซ้ำ

“นี่คือคำสั่ง นับแต่นี้ไปสำนักเหยี่ยวทะเลทรายเปิดรับศิษย์ไม่ว่าจะหญิงจะชาย เรื่องนี้ประกาศออกไปให้ทั่ว”หลินเฟยพูดด้วยท่าทีจริงจังอย่างมากทำเอาผานซูสะดุ้งโหยง

“แต่ท่านหลินเฟย…..”

“หากไม่ได้ข้าก็ไม่เป็นเจ้าสำนักต่อหรอกนะ”หลินเฟยพูดด้วยท่าทีรู้ทัน ทำให้ผานซูกลืนคำพูดลงคอไปทันที จะมีศิษย์หญิงก็ช่างเถอะ แต่หากหลินเฟยออกจากตำแหน่งเจ้าสำนักละก็มีหวังจบเห่แน่ๆ