สิ่งของจากสำนักมาร
หลังจากข่าวคราวเกี่ยวกับสิ่งของในรายการประมูลของโรงประมูลห้วงเวลาฯเผยแพร่ออกไปบนโลกอินเตอร์เนตได้มีหลายๆคนโทรหาซูจิ้งอย่างต่อเนื่อง
จูเจียนฮัวเป็นคนโทรหาคนแรกเขาทั้งแสดงความตื่นเต้นและความกังวลออกมาในขณะที่พูดออกมาว่า “อาจิ้งนายหากะโหลกมนุษย์ปักกิ่งเจอจริงๆหรอ แต่มันไม่ใช่ของที่ใครควรจะถือครองไว้เลยนะ แล้วนายจะขายมันจริงๆอ่ะนะ นายจะไม่เป็นอะไรแน่หรอ”
ซูจิ้งตอบโทรศัพท์ไปพร้อมรอยยิ้มว่า “ฮ่าฮ่าฉันไม่ได้ขายมันหรอกน่า ฉันแค่เอามันโปรโมทโรงประมูลเฉยๆ
ฉันกะว่าจะเอามาเปิดตัววันแรกวันเดียวด้วยราคาสูงสุดกู่ขนาดที่ไม่มีใครกล้าประมูลแล้วค่อยเก็บกลับมาน่ะ
ถ้าใครกล้าหาเรื่องฉันก็แค่ต้อนรับเขาเป็นอย่างดีแค่นั้นเอง ไม่เป็นไรหรอก”
ต่อมาเป็นเป็งหมิง “อาจิ้งนั่นมันของปลอมใช่ไหม อย่าบอกว่ากระโหลกนั่นเป็นของจริง ฉันอยากเห็นมันด้วยตาของตัวเองจริงๆสักครั้งจัง เจ้าของที่สาบสูญไปนานหลายปีเนี่ย”
ซูจิ้งได้อธิบายไปแบบเดียวกันหลังจากนั้นเขาก็ได้รับสายจากหวังจ้าว “อาจิ้ง นายทำบ้าอะไรอีกเนี่ย ไหงกระโหลกนั่นถึงไปอยู่กับนายได้ ฉันไปหายนายเดี๋ยวนี้แต่ไม่ต้องกังวล
ไม่ใช่เรื่องจะซื้อหรอกนะฉันขอจะพาคนไปยืนยันแค่นั้นเอง”
หลังจากนั้นทั้ง หวังซือหยาเซี่ยวรุ่ย ฉือเล่ย หลินฮ่าว หลิวฉิง ฉินซูหลาน และคนอื่นๆต่างโทรมาด้วยเรื่องเดียวกัน
และซูจิ้งก็ตั้งอกตั้งใจอธิบายให้แต่ละคนฟังเหมือนกำลังซ้อมพูดแต่หน้าสาธารณชนอย่างไงอย่างนั้น
เขานั้นพยายามบอกเพื่อนๆของเขาว่าไม่ต้องกังวลเรื่องนี้ ความจริงเขาหวังแค่ให้มันดึงดูดคนไม่มากอะไรนักแค่ให้หลั่งไหลไปวันเปิดโรงประมูลก็พอ
ซูจิ้งนั้นไม่สนเลยซักนิดว่าตอนนี้โลกจะพูดถึงเขาร้อนแรงเพียงใด
เขาปลีกตัวเข้าไปในสถานีกำจัดขยะกาลเวลาฯและเก็บกวาดขยะต่อไป
เขาจัดการพวกมันไปได้ซักครึ่งนึงได้ เขายังหวังอยู่เล็กๆว่าจะมีของดีๆออกมาอีกสักหน่อย
“นั่น..” ในขณะที่จัดการขยะเขาคิดว่าเขาเจออะไรบางอย่าง ตอนแรกเขาคิดว่ามันเป็นกิ่งไม้
แต่พอมองดีๆมันเหมือนไข่มุกเหมือนกัน มันเหมือนอะไรบางอย่างที่หุ้มด้วยไข่มุก
มันสวยงามและดูเหมือนดาวหาง ผู้คนที่เห็นมันต้องมันอยากละสายตาจากมันเป็นแน่
“นี่มันไม่ใช่ไม้สามอย่างหรอกหรอ” ทันใดนั้นซูจิ้งตาเป็นประกายเขานึกถึงความสุดยอดของไม้นี่เป็นอย่างดี
ที่เรียกไม้สามอย่างเป็นเพราะว่าในดินแดนให้ไฟทางตอนเหนือในเรื่องจูเซียนแถบแม่น้ำแดงมีต้นไม้อยู่พันธุ์หนึ่ง
ลักษณะของมันเหมือนต้นไซเพรส(ไม้พุ่มทรงแคบแหลมสูง) เป็นต้นไม้แห่งภูมิปัญญาของที่นั่น
ในเรื่องจูเซียนเพื่อนของจางเซียวฟานนามตู้ปี้(ตู้ ปี้ชู) ได้พบไม้สามอย่างนี้ในเมืองจิ้ชุยและได้นำมาทำเป็นอาวุธวิเศษ
ตอนนั้นอาจารย์ของพวกเขาดุพวกเขาซะยกใหญ่เพราะไม้ที่ได้มามีขนาดที่เล็กและสภาพดูผุพังอย่างมาก พวกเขาโดนบ่นว่าไม้เน่าๆแบบนั้นจะเอามาทำอะไรได้
เนื่องจากไม้นี่มีเงื่อนไขจะการทำเป็นอาวุธวิเศษของไม้นี่คือต้องทำเป็นสิ่งของชุดเซ็ตสามชิ้น
แต่กลายเป็นว่าเขาเอาไปทำลูกเต๋าสามลูกและกลายเป็นอาวุธวิเศษที่ดีชิ้นหนึ่งเลยถือได้ว่าเป็นไม้ที่ดีทุกสัดส่วนเลยก็ว่าได้
“น่าเสียดายจริงๆ เจ้าไม้นี่ไม่มีราก ไม่รู้ว่าจะพอเอาไปปลูกได้รึเปล่า” ซูจิ้งเองก็รู้สึกได้ว่าเจ้าไม้นี่ถึงแม้จะดูโทรมมากแต่เขายังสัมผัสได้ถึงพลังชีวิตของมันอยู่
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเพิ่งโดนตัดมาหรือว่ามันมีพลังงานศักดิ์สิทธิ์(พลังวิญญาณ)เก็บไว้กับตัว
เขาจึงอยากลองปลูกมันซักหน่อย
ตอนนี้เขาจึงลองทำแบบหมอม้าที่เห็นม้าตายเป็นม้ามีชีวิตโดยการตัดกิ่งไม้ออกเป็นหลายๆท่อนแล้วปักพวกมันไว้บนดินจอมเขมือบ
ซูจิ้งยังคงจัดการขยะของเขาต่อไป ซักพักเขาก็เริ่มรู้สึกอะไรบางอย่าง บางส่วนของขยะห้วงเวลาฯพวกนี้ให้ความรู้สึกแปลกไป
มันดูโสโครกและมีกลิ่นเหม็นกว่าที่อื่น ให้ความรู้สึกโสมมเหมือนเจอปีศาจ ส่วนนี้ต้องไม่ได้มาจากสำนักเมฆาเขียวแน่นอน
หลังจากจัดการไปได้ซักพักเขาเริ่มรู้สึกว่ากลิ่นเริ่มแรงขึ้นโดยรอยมาจากก้อนเล็กๆดำๆจำนวนหนึ่ง
มันเหม็นจนทำให้เขาอ้วกออกมา เขาจึงหยิบหน้ากากขึ้นมาใส่
“แน่นอนแล้ว ฉันต้องรีบจัดการส่วนนี้ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ไม่อย่างนั้นฉันจัดการขยะต่อไม่ได้แน่” ซูจิ้งทำได้เพียงตักก้อนพวกนี้ใส่ถุงใบใหญ่แล้วพร้อมโยนมันไปไว้ไกลๆ
ซูจิ้งต้องใช้เวลานานกว่าครึ่งชั่วโมงถึงจะกำจัดพวกมันได้หมด เขาเก็บพวกมันได้ทั้งหมดห้าถุง ด้วยความสงสัยเขาจึงลองหาข้อมูลในอินเตอร์เนตดูเขาก็พบว่าพวกก้อนเล็กๆพวกนี้น่าจะเป็นขี้ค้างคาว(ปุ๋ยค้างคาว)
พอได้ยินคำนี้ทำให้เขานึกไปถึงถ้ำโบราณนามถ้ำหมื่นค้างคาวในภูเขากงชาน(ภูเขาแห่งความว่างเปล่า) ซึ่งเป็นที่พำนักของลัทธิมาร
นั่นเป็นสถานที่จางเซียวฟานและลู่เสว่ฉีได้ฝึกร่วมกันเป็นครั้งแรกและต้องมาตายด้วยกัน พวกเขาได้ใช้ชีวิตร่วมกันและตายร่วมกันในสถานที่เดียวกันช่างเป็นเหตุการณ์ที่ลึกซึ้งจริงๆ
“ของพวกนี้ไม่น่าจะมาจากถ้ำหมื่นค้างคาวหรอกน่า ต้องคิดมากเกินไปแน่ๆ ยังไงก็ต้องระวังหน่อยแหะ” ซูจิ้งเหมือนจะนึกอะไรได้ ทันใดนั้นเขาได้หยิบเหรียญตราเทวฑูตออกมา แล้วทำการค้นหาต่อไป
“แล้ว นั่นอะไรหล่ะ” ทันใดนั้นซูจิ้งได้พบม้วนคัมภีร์สีดำ เขาได้ลองเปิดมันดู
ทันใดนั้นเขาก็ต้องตกใจจนต้องโยนมันทิ้งออกไป นั่นก็เพราะว่ามันมีหน้าผีอยู่ในมัวนคัมภีร์นั่น มันเป็นหน้าที่หน้ากลัวจนยากจะอธิบาย มันเหมือนกับไม่ใช่ภาพวาดแต่เป็นผีจริงๆอยู่ในนั้น
“แ-งเอ๊ย อะไรฟะนั่น” ซูจิ้งจ้องมองไปยังม้วนคัมภีร์ที่เขาโยนทิ้งออกไปอย่างไม่วางแต่
เพียงแค่นึกถึงภาพผีนั่นในหัวเขาก็เริ่มรู้สึกกลัวขึ้นมา ภาพนั่นเป็นภาพผีที่อ้าปากอย่างดุร้ายโชว์เขี้ยวฟันออกมาเหมือนกำลังจะกินซูจิ้ง
แถมยังให้ความรู้สึกเหมือนมันเคลื่อนไหวได้จริงๆ เขายังรู้สึกลมหายใจของมันได้ซะด้วยซ้ำ
ยิ่งกว่านั้นดูเหมือนว่าจะเป็นแค่จินตรนาการด้วยเพราะตอนบริเวณรอบๆนี้รู้สึกได้เลยว่าอุณหภูมิลดลง แม้แต่สัตว์เลี้ยงของเขาก็ยังรู้สึกกลัวจนขนลุก แม้แต่หมาป่าสงครามเองก็รู้สึกอย่างนั้นเหมือนกัน
ทันใดนั้นเหรียญตราเทวฑูตได้ส่องแสงด้วยตัวมันเอง เมื่อแสงนี้ได้สาดส่องไปยังม้วนคัมภีร์ พร้อมทั้งได้มีเสียงกรีดร้องออกมาจากม้วนคัมภีร์นั่น
เสียงกรีดร้องนั้นช่างโหยหวน คร่ำครวญ มันร้องจนกระทั่งมีควันสีน้ำเงินลอยออกมาจากคัมภีร์นั่นและเสียงก็ได้หยุดลง
“นั่นแหล่ะ” ซูจิ้งรู้สึกใจชี้นขึ้นมา เขาคิดถูกแล้วที่หยิบเหรียญตราออกมาไว้ล่วงหน้า
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าภาพนั่นคือผีตัวเป็นๆอย่างแน่นอน มันควรจะเป็นสิ่งที่ผู้ฝึกตนสำนักมารทิ้งมาหรือไม่ก็เป็นสิ่งที่มีพลังเหมือนอาวุธวิเศษ
อย่างไรก็ตามมันก็ยังไม่อาจต้านทานเหรียญตราเทวฑูตของเขาได้ ดูเหมือนเหรียญตราจะเล่นงานมันเจ้าผีนั่นไปเรียบร้อยแล้ว
ซูจิ้งไม่รีบทำลายม้วนคัมภีร์นั่น เขาเลือกที่จะหยิบมันมาดูอีกครั้งว่ามันคืออะไร
ในความคิดของซูจิ้งนั้นสิ่งนี้อาจจะเป็นสมบัติอะไรบางอย่างที่อยู่มานานจนกลายสิ่งของที่มีสติปัญญาของตัวเอง
ต่อให้มันเป็นของสำนักมารจริงๆ แต่ใช้ให้ถูกที่ถูกทางมันก็ต้องมีประโยชน์แน่นอน
เหมือนกับเหรียญตรายมฑูต ถ้าเขาสามารถคุมมันได้ก็ไม่มีอะไรต้องกลัว
“เดี๋ยวนะ นี่มัน จำได้ว่ามันเหมือนกับธงของสำนักหมื่นพิษ ธงหลอนจิต” ซูจิ้งตาเป็นประกายอีกครั้ง
ที่มันถูกเรียกว่าธงหลอนจิตนั่นก็เพราะว่ามันเป็นวัตถุมารที่ต้องใช้เลือดคนในการสร้าง ยิ่งฆ่าคนไปมากเท่าไหร่พลังของมันยิ่งแข็งแกร่งเท่านั้น(ใช้ธงฆ่าคน)
เมื่อตอนที่จางเซียวฟานยังอยู่ในหมู่บ้าน อาจารย์คนแรกของเขาได้เผชิญหน้าพวกพรรคมารด้วยธงหลอนจิตนี้ มันทรงพลังมากพอที่จะฆ่าคนในคราเดียวได้สามร้อยคน
ถ้าธงนี่มีพลังอย่างน้อยเท่ากับธงที่เขารู้จักนั่น บอกได้เลยว่าซูจิ้งแทบจะไม่ต้องกังวลที่จะเจอเรื่องอะไรอีกแล้วแม้แต่เรื่องอันตรายเสียงชีวิตก็ตาม
ถึงแม้เขาจะมีเหรียญตราเทวฑูตอยู่ก็ตามแต่มันไม่เหมือนกัน มันมีบางเรื่องที่เหรียญตราเทวฑูตทำไม่ได้ แต่ให้เจ้านี่มีพลังไม่เท่ากับธงอันที่เขารู้จักแต่มันก็แค่ต้องการสังเวยเลือดเท่านั้นเอง
ถึงแม้วิธีที่ทรงพลังที่สุดในการเพิ่มพลังคือสังเวยชีวิตคนที่เขารักก็ตาม ยังไงซะเขาไม่มีทางใช้วิธีนั้นแน่นอน
เขาเชื่อว่าถ้าเขาลองใช้เวลาศึกษามันดีๆจะต้องมีวิธีการอื่นที่ใช้เพิ่มพลังได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ถ้ามีแววว่าจะล้มเหลวก็แค่พังมันถึงซะแค่นั้นเอง