ตอนที่ 2648 มาตราฐานค่าความแข็งแกร่งทางจิตใจขั้นสี่

เมื่อระลอกคลื่นที่มองไม่เห็นแผ่ออกมาจากร่างกายของซือเฟิง อควาโรสและคนอื่นๆซึ่งอยู่ใกล้เคียงในปัจจุบันนั้นก็สังเกตเห็นมันได้ทันที ในเวลาเดียวกัน พวกเขาก็รู้สึกได้ถึงแรงกดดันทางจิตที่พวกเขาไม่เคยรู้สึกมาก่อน แม้ว่าแรงกดดันทางจิตที่ซือเฟิงแผ่ออกมานั้นจะอ่อนแอกว่าออร่าดีไวน์วิลที่รูปปั้นแผ่ออกมา แต่มันก็ลักษณะของออร่ามันก็แทบจะเหมือนกันเลย

“หัวหน้ากิล นี่หัวหน้าทะลวงได้แล้วงั้นหรอ ?” อควาโรสอดไม่ได้ที่จะถาม ขณะที่เธอมองไปยังซือเฟิง แม้ว่าเธอจะแน่ใจว่าซือเฟิงประสบความสำเร็จในการพัฒนาแล้ว แต่เธอก็ยังคงต้องการคำยืนยัน

การเพิ่มค่าความแข็งแกร่งทางจิตใจนั้นมันทำได้ยากกว่าที่เธอคิดไว้มาก และแม้กระทั่งตอนนี้ เธอก็รู้สึกว่าเธอยังคงห่างไกลจากความก้าวหน้า และแม้แต่ไวโอเล็ตคลาวด์ซึ่งมีมาตราฐานการควบแน่นทางจิตเป็นอันดับสองรองจากซือเฟิงก็ยังคงเหลือหนทางอีกยาวไกล ซึ่งเธอยังเหลืออีกประมาณสามสิบเปอเซ็นต์หรือมากกว่านั้นนิดหน่อย เธอถึงจะสามารถทะลวงเข้าสู่มาตราฐานขั้นสี่ของค่าความแข็งแกร่งทางจิตใจได้ นี่ยังไม่นับรวมเรื่องการเปลี่ยนแปลงเชิงคุณภาพที่ควบคู่กันไป

“อืม ฉันมาถึงมาตราฐานของขั้นสี่แล้ว …” ซือเฟิงกล่าวพลางพยักหน้าอย่างมีความสุข ขณะที่เขาจดจ่ออยู่กับความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นจากการที่ค่าความแข็งแกร่งทางจิตใจของเขาเข้าสู่มาตราฐานขั้นสี่

ขั้นสี่ !!

นี่เป็นดินแดนที่เขาไม่เคยสามารถเข้าถึงได้เลยในชีวิตที่ผ่านมาของเขา ไม่ว่าจะเป็นในด้านใดก็ตาม ซึ่งในตอนนี้แม้ว่ามันจะเป็นเพียงแค่การที่ค่าความแข็งแกร่งทางจิตใจของเขามาถึงขั้นสี่แล้ว แต่มันก็ยังมากพอจะทำให้เขาตื่นเต้นได้

ใน God domain นั้น ขั้นสี่ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญสำหรับผู้เล่นมากกว่ายิ่งกว่าตอนที่ผู้เล่นเปลี่ยนจากขั้นสองมาเป็นขั้นสาม และมันก็อาจกล่าวได้ว่ามากกว่าเก้าสิบเก้าเปอเซ็นต์ของผู้เล่นขั้นสามนั้นจะไม่สามารถไปถึงขั้นสี่ได้

เพื่อที่จะไปถึงขั้นสี่นั้น นอกเหนือจากมาตราฐานการต่อสู้ กับมาตราฐานอาวุธ และอุปกรณ์ที่ต้องสูงเพียงพอแล้ว คนๆหนึ่งยังจะต้องพึ่งโชค และโอกาสโดยบังเอิญในระดับหนึ่งด้วย ซึ่งหากผู้เล่นขาดปัจจัยหนึ่งในนี้ไป ความยากในการจะไปถึงขั้นสี่ให้ได้จะเพิ่มขึ้นอย่างทวีคูณ

อย่างไรก็ตามตอนนี้เนื่องจากค่าความแข็งแกร่งทางจิตใจของซือเฟิงมาถึงมาตราฐานขั้นสี่แล้ว ดังนั้นเขาจึงจะมีโอกาสมากขึ้นแน่นอนในอนาคต เมื่อเขาทำเควสเลื่อนขั้น ขั้นสี่

“หัวหน้ากิลรู้สึกอย่างไรกับการมีค่าความแข็งแกร่งทางจิตใจอยู่ในมาตราฐานขั้นสี่ ความแตกต่างมันมีขนาดใหญ่ไหม ?” หยานเทียนซิงถามอย่างสงสัย

เมื่อได้ยินคำถามของหยานเทียนซิง ทุกคนก็หันไปมองซือเฟิงด้วยความอยากรู้อยากเห็นทันที

“ใหญ่มาก ใหญ่มากๆเลยแหละ …” ซือเฟิงตอบหลังจากครุ่นคิดแล้ว “ทุกคนสามารถพูดได้ว่าฉันมาถึงระดับที่แตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิงแล้ว”

การที่สามารถปรับปรุงและเพิ่มค่าความแข็งแกร่งทางจิตใจได้ มันช่วยเพิ่มการควบคุมร่างกายทางกายภาพ และมานาของผู้เล่นขึ้นอย่างมาก ซึ่งค่าความแข็งแกร่งทางจิตใจที่มาถึงมาตราฐานขั้นสี่แล้วนั้น มันทำให้ผู้เล่นได้รับการเปลี่ยนแปลงเชิงคุณภาพเลยทีเดียว

ยกตัวอย่างเช่นเทคนิคมานา ดาบที่หนึ่ง ไลท์ชาโด้ว หากการใช้มันก่อนหน้านี้ทำให้เขาเสียค่าความเสียแข็งแกร่งทางจิตใจไปสิบแต้ม ตอนนี้หากเขาใช้มัน เขาก็จะเสียค่าความแข็งแกร่งทางจิตใจไปแค่สามแต้มเท่านั้น สำหรับต้นทุนในการใช้เทคนิคการต่อสู้ระดับทองแดง มันก็จะลดลงไปอีก ตอนนี้เขาสามารถใช้เทคนิคการต่อสู้ระดับทองแดงได้ราวกับมันเป็นเทคนิคการต่อสู้ขั้นสูงแล้ว

นอกจากนี้การใช้สกิลและเวทย์ขั้นสามในอัตราความสำเร็จหนึ่งร้อยเปอเซ็นต์นั้น มันก็จะไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป และการจะทำให้ทะลุหนึ่งร้อยเปอเซ็นต์ได้ก็จะเป็นไปได้ง่ายขึ้นมาก

“มันขนาดนั้นเลยงั้นหรอ ?” อควาโรสอดไม่ได้ที่จะรู้สึกสงสัย และไม่เชื่อในคำพูดของซือเฟิง

“แม้ว่าฉันไม่อยากจะพูดแบบนี้ แต่มันเหมือนกับความแตกต่างระหว่างสวรรค์และโลกเลยแหละ ตอนนี้ในสถานการณ์ที่ฉันต่อสู้กับตัวเองที่มีค่าสถานะเท่ากันก่อนหน้านี้ ฉันมั่นใจว่าฉันจะสามารถเอาชนะตัวเองก่อนหน้านี้ได้โดยใช้การเคลื่อนไหวไม่ถึงสิบการเคลื่อนไหวเลย ..” ซือเฟิงตอบพลางหัวเราะเบาๆ เมื่อเขาเห็นท่าทีของอควาโรส

หลังจากค่าความแข็งแกร่งทางจิตใจของเขาได้มาถึงมาตราฐานขั้นสี่แล้ว เขาก็ได้เข้าใจอย่างแท้จริงว่าช่องว่างระหว่างขั้นสามกับขั้นสี่นั้นมันยิ่งใหญ่ขนาดไหน ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมผู้เชี่ยวชาญขั้นสี่ในชีวิตที่ผ่านมาของเขาถึงสามารถเอาชนะกลุ่มผู้เชี่ยวชาญขั้นสามได้ง่ายๆ ขณะเดียวกันผู้เชี่ยวชาญขั้นสี่บางคนกระทั่งสามารถยึดเมืองกิลทั่วไปได้ด้วยตัวคนเดียวด้วยซ้ำ

เหตุผลนี้มันไม่ใช่เพราะว่าผู้เล่นขั้นสี่มีค่าสถานะที่ทรงพลัง แต่พวกเขามีการควบคุมร่างกายทางกายภาพและมานาที่มาถึงระดับใหม่ทั้งหมด

ในตอนนี้แม้ว่าซือเฟิงจะมีร่างกายทางกายภาพที่เหมือนกันกับก่อนหน้านี้ แต่ซือเฟิงก็มีพลังในการต่อสู้เพิ่มขึ้นอย่างน้อยสองเท่า นอกจากนี้สิ่งที่ต้องจ่ายเมื่อใช้เทคนิคดีไวน์เช้งก็ลดลงไปมากในทุกด้าน และกลยุทธ์เน้นปริมาณเข้ากดดันของผู้เล่นก็จะใช้ไม่ได้ผลกับเขาเลย

ในสถานะปัจจุบันเขาจะสามารถทำลายกองทัพผู้เล่นทั้งหมดได้ด้วยตัวเองเลย !!!

“นี่การพัฒนาไปถึงขั้นนั้น มันทำให้ได้รับการปรับปรุงมากขนาดนั้นเลยงั้นหรอ ?” อี้ลั่วเฟยรู้สึกประหลาดใจมากๆ เมื่อได้ยินคำพูดจากปากของซือเฟิง

ก่อนหน้านี้หัวหน้ากิลของพวกเขาก็แทบจะถูกพิจารณาว่าเป็นอมตะในหมู่ผู้เล่นขั้นสามด้วยกันแล้ว เพราะท้ายที่สุดเขาสามารถปราบปรามหัวหน้าภูมิภาค ขั้นสี่ของดินแดนลับโบราณได้อย่างสบายๆ อย่างไรก็ตามตอนนี้หลังจากเขามีค่าความแข็งแกร่งทางจิตใจมาถึงมาตราฐานขั้นสี่ เขากับบอกว่าเขาจะสามารถเอาชนะตัวเองก่อนที่จะบรรลุมาตราฐานนี้ได้โดยใช้ไม่ถึงสิบการเคลื่อนไหว ซึ่งนี่มันหมายความว่าแม้แต่ผู้เล่นขั้นสี่ทั่วไปก็อาจเทียบกับเขาไม่ได้เลย ….

“เอาล่ะ เราเหลือเวลาไม่มากแล้ว รีบดูดซับดีไวน์วิลต่อไปเถอะ เพราะมันคงต้องใช้เวลาอีกมากเลยนะกว่าที่ทุกคนจะเข้ามาที่นี่ได้อีกครั้ง ….” ซือเฟิงกล่าวพลางหัวเราะเบาๆ ขณะที่เขามองไปยังการแสดงออกที่เต็มไปด้วยความหิวโหยของทุกคน

วงเวทย์เล่นแร่แปรธาตุที่พวกเขาใช้นั้นมันมีระยะเวลาเพียงเจ็ดวัน และมันมีคูลดาวน์สิบวัน แม้ว่าทุกคนจะได้รับสิทให้อยู่ในเมืองไลท์ฟอร์จได้นานเท่าที่ต้องการ แต่พวกเขาก็ยังจำเป็นจะต้องออกไปจากเมืองนี้เป็นเวลาอย่างน้อยสามวัน ก่อนที่จะกลับเข้ามาได้อีกครั้ง นอกจากนี้เมื่อใดก็ตามที่พวกเขาเข้าสู่ดินแดนลับโบราณ พวกเขาก็จะต้องใช้เวลาส่วนใหญ่ไปในการเดินทางมาที่เมืองไลท์ฟอร์จ ดังนั้นพวกเขาจึงจะไม่ได้มีเวลาฝึกฝนมากนัก

เมื่อได้ยินคำเตือนของซือเฟิง ทุกคนก็รีบกลับไปฝึกต่ออย่างรวดเร็ว

แม้ว่าการจะเพิ่มค่าความแข็งแกร่งทางจิตใจของพวกเขาไปให้ถึงมาตราฐานขั้นสี่มันจะยากมากๆ แต่อย่างไรก็ตามการฝึกและดูดซับออร่าดีไวน์วิล มันก็จะช่วยเพิ่มค่าความแข็งแกร่งทางจิตใจของพวกเขาไปได้มากขึ้นเรื่อยๆเช่นกัน แม้ว่ามันจะยังไม่ทะลุขั้นสี่ก็ตาม ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ควรจะเสียเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์เมื่ออยู่ในเมืองไลท์ฟอร์จ

“ว่าแต่ ไวโอเล็ต เธอประสบความสำเร็จไปถึงไหนแล้ว ?” ซือเฟิงถามในขณะที่เขาหันไปมองไวโอเล็ตคลาวด์ที่เตรียมจะฝึกต่อ

เมื่อไม่นานมานี้ไวโอเล็ตคลาวด์ได้ก้าวเข้าสู่ระยะสี่สิบหลาได้ และใกล้จะถึงจุดฝึกจุดเดียวกับเขาแล้ว ดังนั้นอัตราการดูดซับออร่าดีไวน์วิลของเธอจึงน่าจะช้ากว่าเขาแค่เล็กน้อยเท่านั้น

“ฉันรู้สึกว่าฉันต้องเพิ่มค่าความแข็งแกร่งทางจิตใจอีกยี่สิบเปอเซ็นต์จึงจะไปถึงขีดจำกัดสูงสุดของขั้นสาม” ไวโอเล็ตตอบหลังจากเช็คสถานะปัจจุบันของเธอ

“ยี่สิบเปอเซ็นต์ ? เร็วขนาดนั้นเลยงั้นหรอ ?” คำตอบของไวโอเล็ตคลาวด์ทำให้ซือเฟิงตกตะลึง เขาไม่เคยคิดเลยว่าเธอจะก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็วขนาดนี้ เขาหยิบโพชั่นฟื้นฟูค่าความแข็งแกร่งทางจิตใจระดับปรมาจารย์ที่เหลือสองขวดของเขาออกมา และกล่าวว่า “รับไปสิ ฉันยังมีโพชั่นเหลืออีกสองขวดที่ไม่ได้ใช้ …”

“นี่หัวหน้ากิลจะให้มันกับฉันงั้นหรอ ? แล้วคนอื่นล่ะ …” ไวโอเล็ตคลาวด์กล่าวอย่างลังเลโดยอัตโนมัติ เมื่อเธอเห็นโพชั่นสองขวดในมือของซือเฟิง

โพชั่นฟื้นฟูค่าความแข็งแกร่งทางจิตใจระดับปรมาจารย์นั้นมันมีค่าอย่างไม่น่าเชื่อ ซึ่งหากเธอต้องค่อยๆทำเควสและเก็บรวบรวมคะแนนสะสมเพื่อแลกมันนั้น เธอจะต้องใช้เวลานานมากเลยทีเดียวที่จะมีคะแนนะสมเพียงพอจะแลกโพชั่นนี้สักขวด ซึ่งถ้าเธอให้โพชั่นนี้ของเขาที่เหลือสองขวดกับเธอ มันก็ดูจะไม่แฟร์เลยสำหรับคนอื่นๆ

“เอาไปเถอะ เธอใกล้จะประสบความสำเร็จมากที่สุดตามเป้าในตอนนี้ ซึ่งหากเธอสามารถเพิ่มค่าความแข็งแกร่งทางจิตใจให้มาถึงมาตราฐานของขั้นสี่ได้เหมือนฉัน มันก็จะนับเป็นเรื่องดีมากสำหรับกิลของเรา ฉันเชื่อว่าอควาโรสและคนอื่นๆก็จะไม่ว่าอะไรแน่นอน” ซือเฟิงกล่าวยืนยันกับไวโอเล็ตคลาวด์

สิ่งที่ไวโอเล็ตคลาวด์กังวลนั้นมันอาจจะเกิดขึ้นได้ ถ้าทุกคนมีความก้าวหน้ามากพอๆกัน อย่างไรก็ตามนี่มันเป็นสถานการณ์ที่แตกต่างออกไป ดังนั้นซือเฟิงจึงเชื่อว่าจะไม่มีใครกล้าบ่นอะไรแน่นอน เพราะท้ายที่สุดแล้วถ้าไวโอเล็ตคลาวด์มีค่าความแข็งแกร่งทางจิตใจมาถึงขั้นสี่เมื่อไหร่ สภาสิบแปดปีกก็จะได้รับตัวตนที่ทรงพลังเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งคน ซึ่งมันจะเป็นประโยชน์อย่างมากต่อกิล

“หัวหน้ากิล ฉันจะไม่ทำให้หัวหน้าและคนอื่นๆผิดหวังแน่นอน !!! ฉันจะทะลวงเข้าสู่มาตราฐานขั้นสี่ของค่าความแข็งแกร่งทางจิตใจให้ได้ก่อนที่เราจะออกจากเมืองไลท์ฟอร์จ !!!” ไวโอเล็ตคลาวด์กล่าวด้วยความมุ่งมั่น ขณะที่เธอรับโพชั่นทั้งสองขวดมา

จากนั้นเธอก็รีบกลับไปฝึกต่อทันทีด้วยความมุ่งมั่น สำหรับซือเฟิง เขาเดินไปที่มุมหนึ่งอย่างเงียบๆ ก่อนจะหันเหความสนใจของเขาไปยังพื้นที่เก็บของในกระเป๋าของเขา

ตอนนี้ค่าความแข็งแกร่งทางจิตใจของฉันก็ได้มาถึงมาตราฐานของขั้นสี่แล้ว ซึ่งมันก็น่าจะเพียงพอให้ฉันยอมรับมรดกนี้ได้ ดวงตาของซือเฟิงเปล่งประกายด้วยความคาดหวัง ขณะที่เขามองไปที่คริสตัลความทรงจำขนาดมหึมาในกระเป๋าของเขา