ภาคที่ 31 ขั้นอลวน ตอนที่ 30 พลังงาน

Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน

ตอนที่ 30 พลังงาน โดย Ink Stone_Fantasy

“ตู้ม” “ตู้ม” “ตู้ม”

บุรุษร่างกำยำศีรษะโล้นเลี่ยนปรากฏร่างจริงขึ้นมาอย่างสิ้นเชิง กลายเป็นมารเกราะทองร่างสูงใหญ่บึกบึนที่มีเขาคู่หนึ่ง เขาโจมตีกลีบดอกไม้แก้วผลึกสีดำขนาดมหึมาด้วยท่าทางราวกับบ้าคลั่ง ภายใต้การโจมตีของเขา กลีบดอกไม้สีดำแตกออกเป็นเสี่ยงๆ แต่เมื่อแตกออกไปชั้นหนึ่ง หลังจากนั้นติดๆ ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ก่อชั้นใหม่ขึ้นมาทันที แทบจะคงบุปผาเก้าใบถึงเจ็ดชั้นเอาไว้เกือบตลอดเวลา ทำเอาฝูงมารเกราะทองสองตนรู้สึกได้ถึงความสิ้นหวังขึ้นมา ส่วนสตรีอาภรณ์ดำนางนั้น ซึ่งแปรเป็นมารเกราะทองที่อ้อนแอ้นกว่าอยู่บ้าง แม้นางจะลงมือเช่นกันแต่กลับสั่นคลอนกลีบดอกไม้สีดำมิได้เลย

วิ้ง

ตงป๋อเสวี่ยอิงมองออกไปด้านนอกราวกับสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่าง อากาศไกลออกไปบิดเบี้ยว

“มาแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงพึมพำ

“ไม่ดีแล้ว” มารเกราะทองมีเขาตนนั้นเห็นเข้าก็มีสีหน้าโกรธเกรี้ยวขึ้นมา เขาแหงนหน้าคำรามเสียงหนึ่ง ตู้ม..จากนั้นร่างกายก็ปริแตกออกอย่างสิ้นเชิง ส่วนมารเกราะทองซึ่งมีรูปร่างเป็นสตรีที่อ้อนแอ้นกว่าอยู่บ้างด้านข้างก็ร่างกายแตกสลายไปอย่างjไม่ยอมจำนน วิญญาณสลายไป

ตงป๋อเสวี่ยอิงเห็นเข้าสีหน้าก็เปลี่ยนแปรไป “ปลิดชีพตนเองเสียแล้วหรือนี่!”

แม้บัดนี้พลังของเขาจะสามารถพันธนาการอีกฝ่ายได้แล้ว แต่จะให้จับตัวจริงๆ ก็ยังลำบากอยู่บ้าง ผู้ใดจะไปคิดเล่าว่าด้านข้างเพิ่งจะมีทางเชื่อมการส่งถ่ายผ่านระยะทางอันไกลโพ้นก่อตัวขึ้น ฝูงมารเกราะทองสองตนนี้ก็เลือกปลิดชีพตนเองโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อยเสียแล้ว

วิ้ง

บุรุษร่างผอมเล็กผู้หนึ่งเดินออกมาจากทางเชื่อมมิติอันบิดเบี้ยวนั้น อย่าได้เห็นว่าเขาตัวเล็กผอม หากพูดถึงความแข็งแกร่งของร่างกายแล้วสามารถต้านทานการโจมตีอย่างบ้าคลั่งของจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ได้เลยทีเดียว! ดังเช่นบรรพชนทิพย์นั้นอาศัยวิธีการมากมายผสมผสานกันจึงสามารถเทียบกับบรรพชนโลกาได้อย่างพอถูไถ อย่างบรรพชนโลกาและจอมมารดาจึงจะเป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไปว่าเป็นสิ่งมีชีวิตที่ใกล้เคียงกับจอมเทพศักดิ์สิทธิ์มากที่สุด การต่อสู้ของบรรพชนโลกานั้นตรงไปตรงมามาก เขาอาศัยร่างกายต่อสู้อย่างสิ้นเชิง อาวุธใดของศัตรูเขาก็ล้วนกล้ากลืนลงไปในคำเดียวทั้งสิ้น

สามารถกล่าวได้ว่า…ฝูงมารผลาญทำลายเหมือนจะโหดร้ายมาก เป็นตัวแทนของการทำลายล้าง แต่ ‘บรรพชนโลกา’ กลับโหดร้ายและเหิมเกริมกว่า ‘อ๋อง’ หน้าไหนๆ ของฝูงมารผลาญทำลายมากนัก และแข็งแกร่งกว่ามากเช่นเดียวกัน

เคราะห์ดีที่เขาเฉลียวฉลาดพอ

และยืนอยู่ฝ่ายเดียวกับโลกทิพย์ทั้งสาม เป็นศัตรูกับจอมเทพศักดิ์สิทธิ์ และเผชิญหน้ากับฝูงมารผลาญทำลายด้วยกัน มิเช่นนั้นแล้ว…บรรพชนโลกาก็จะเป็นหายนะใหญ่สำหรับผู้บำเพ็ญจำนวนนับไม่ถ้วน

“ฆ่าตัวตายเสียแล้วหรือ” บรรพชนโลการ่างผอมเล็กสวมอาภรณ์สีเขียวหลวมโพรกมองแวบหนึ่งก่อนจะส่ายหน้า “เด็กน้อยเหล่านี้ตายไม่อ้อมค้อมเลยนะ เอ๊ะ ตงป๋อเสวี่ยอิง พลังงานที่แผ่ออกมาตอนฝูงมารผลาญทำลายตายนั้น รสชาติไม่เลวเลยกระมัง”

ยามนี้ตงป๋อเสวี่ยอิงก็รู้สึกว่าวิญญาณถูกโจมตีอย่างหนักหน่วงจริงๆ ขณะที่ฝูงมารเกราะทองสองตนปลิดชีพตนเองนั้น พลังงานพิเศษที่แผ่กำจายออกมาย่อมถูกเขาดูดกลืนลงไปเป็นธรรมดา ว่าไปแล้วก็น่าละอาย แม้ตัวเขาเองจะอยู่ในปราการอากาศมานานมาก สังหารฝูงมารเกราะทองไปมากมาย แต่เมื่อรวมกันทั้งหมดแล้ว ก็ยังไม่ได้อะไรมากเท่าครั้งนี้เลย

พลังงานพิเศษแบ่งออกเป็นสองระลอก ระลอกหนึ่งนับว่าบริสุทธิ์มาก อีกระลอกหนึ่งยังทำให้วิญญาณของเขาเกิดความรู้สึกสั่นระรัวเล็กน้อย สุขสำราญยิ่งนัก

“คารวะบรรพชนโลกา น่าเสียดายที่พวกเขาทั้งสองปลิดชีพตนเองเสียแล้ว ไม่สามารถจับทั้งเป็นได้” ตงป๋อเสวี่ยอิงข่มความตื่นเต้นที่วิญญาณสั่นระรัวเอาไว้ สิ่งที่ได้รับในครั้งนี้ รู้สึกว่าผลลัพธ์เทียบได้กับกลืนกินศิลาปฐมโลกาห้าหมื่นก้อนลงไปเลยทีเดียว คาดว่ามารเกราะทองชั้นที่แปดระดับยอดตนนั้นก็คงให้ผลลัพธ็ราวหมื่นกว่าศิลาปฐมโลกา ส่วนที่เหลือล้วนแต่เป็นความช่วยเหลือจากมารเกราะทองระดับชั้นที่เก้าตนนั้นทั้งสิ้น

“น่าเสียดายที่มิได้ทิ้งวัสดุใดเอาไว้เลย” ตงป๋อเสวี่ยอิงพึมพำ

เขาสังหารฝูงมารเกราะทองไปมากมายถึงเพียงนั้น ก็เพิ่งจะเคยได้วัสดุมาเพียงสองชุดเท่านั้น ชุดหนึ่งเป็นฝูงมารเกราะทองระดับเจ็ดตนหนึ่งทิ้งเอาไว้ ส่วนอีกชุดหนึ่งเป็นฝูงมารเกราะทองระดับแปดทิ้งเอาไว้ เมื่อรวมกันแล้วคาดว่ามีมูลค่าราวศิลาปฐมโลกาหมื่นกว่าก้อน

“คิดจะจับทั้งเป็นน่ะ มิได้ง่ายดายถึงเพียงนั้นหรอก” บรรพชนโลการ่างผอมเล็กยิ้ม

ทันใดนั้นมิติด้านข้างก็บิดเบี้ยวแล้วมีทางเชื่อมก่อตัวขึ้นอีกครั้ง จากนั้นเงาร่างสายหนึ่งก็เดินออกมา เป็นบรรพชนทิพย์นั่นเอง บรรพชนทิพย์พยักหน้าให้บรรพชนโลกาเล็กน้อย แล้วมองดูรอบด้านแวบหนึ่ง

“เจ้ามาช้าเกินไปแล้ว” บรรพชนโลกาผู้มีร่างผอมเล็กกล่าว

“ยืดเยื้อไปหน่อยน่ะ เห็นทีฝูงมารเกราะทองสองตนคงจะปลิดชีพตนเองเสียแล้ว” บรรพชนทิพย์เพียงมองปราดหนึ่งก็สามารถตรวจสอบทุกสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ได้หมดแล้ว เพราะถึงอย่างไรนี่ก็มิใช่สถานที่ของการต่อสู้ระดับ ‘อ๋อง’ เขาจึงสามารถตรวจสอบได้อย่างง่ายดาย “ไม่เลวแล้ว เพียงครู่เดียวก็สามารถสังหารไปได้ถึงสองตน เมื่อดูแล้วเหมือนจะมีตนหนึ่งเป็นถึงระดับชั้นที่เก้าด้วย ต่อให้เป็นในหมู่ฝูงมารผลาญทำลาย…เกรงว่าระดับชั้นที่เก้าก็คงมีเพียงไม่กี่สิบตนเท่านั้น”

“ตงป๋อเสวี่ยอิง เจ้าคิดค้นบุปผาเก้าใบนี้ขึ้นมาใหม่ด้วยตนเองหรือ” บรรพชนทิพย์มองไปทางตงป๋อเสวี่ยอิงพลางชมเชยว่า “น่าสนใจมาก เมื่อมีกระบวนท่านี้แล้ว หากพูดถึงวิธีการโจมตีของเจ้าก็นับได้ว่าอยู่ในสิบอันดับแรกของขั้นอลวนแล้ว”

“คิดค้นขึ้นมาใหม่ขอรับ” ตงป๋อเสวี่ยอิงตอบ

เขาเข้าใจสิ่งที่บรรพชนทิพย์พูด ก็เป็นจริงตามนั้น เพราะถึงอย่างไรตอนที่อยู่ในปราการอากาศ เขาก็เคยเห็นพวกระดับชั้นที่เก้าอย่างประมุขตำหนักอลหม่านหรือจักรพรรดิสิงหั่วลงมือด้วยตาตนเอง ทว่าผู้ที่ได้เปรียบตนอย่างเห็นได้ชัดนั้นกลับมีน้อยเสียจนยกนิ้วนับได้ ประมุขตำหนักอลหม่านเป็นหนึ่งในผู้ที่แข็งแกร่งที่สุด ขณะที่ยังมิได้คิดค้นบุปผาเก้าใบขึ้นมานั้น หากพูดถึงการโจมตีแล้วขั้นอลวนชั้นที่แปดระดับยอดผู้เชี่ยวชาญด้านการโจมตีบางคนกลับสามารถเทียบเคียงกับเขาได้

……

ขณะที่ตงป๋อเสวี่ยอิงอยู่กับบรรพชนทิพย์และบรรพชนโลกานั้น เรื่องที่เขาทำให้ฝูงมารเกราะทองสองตนปลิดชีพตนเองได้ทำให้ฝูงมารผลาญทำลายระดับสูงสั่นคลอนกันไปหมด!

ก่อนหน้าที่มารสองตนนั้นจะปลิดชีพตนเอง ย่อมส่งสารให้กับบรรดา ‘อ๋อง’ ทั้งหลาย

ต้องรู้ไว้ว่า…

ผู้ที่สามารถได้รับเลือกให้มีโอกาสเข้ามายังโลกผู้บำเพ็ญนั้น นอกจากผู้ที่มี ‘พรสวรรค์ไร้เงา’  สองตนแล้ว ฝูงมารผลาญทำลายตนอื่นๆ ล้วนเป็นที่ยอมรับกันว่ามีระดับจิตใจสูงส่งมาก มีความสามารถที่ซ่อนอยู่มาก จู่ๆ ก็มาสูญเสียถึงสองตนไปพร้อมกัน และหนึ่งในนั้นยังเป็นระดับชั้นที่เก้าอีกด้วย

“สมควรตาย”

“พลังของตงป๋อเสวี่ยอิงผู้นี้ยกระดับขึ้นแล้ว กระบวนท่าที่เขาคิดค้นขึ้นมาถึงกับสามารถพันธนาการแม่ทัพเกราะทองระดับยอดได้เลยทีเดียว” บรรดา ‘อ๋อง’ เหล่านี้โมโหขึ้นมา

“อยากจะสังหารตงป๋อเสวี่ยอิงผู้นี้ทิ้งจริงๆ”

“น่าเสียดาย เขาเดินทางอย่างแปลกประหลาด บุกทะลวงไปทั่วทุกหนแห่ง จะตามรอยเขานั้นยากมาก นอกจากนี้ต่อให้เคราะห์ดีพบเขาเข้า เขาก็มีสมบัติลับคุ้มกายทั้งยังสามารถหลบหนีเป็นระยะทางอันไกลโพ้นได้ด้วย สังหารเขามิได้เลย”

บรรดาอ๋องเต็มไปด้วยความอาฆาตแค้นต่อตงป๋อเสวี่ยอิง

ต้องรู้ไว้ว่า…

การไล่สังหารฝูงมารผลาญทำลายนั้นทำได้ยากมาก

ต่อให้เป็นเทพจักรวาล ก็มีวิถีทางที่แต่ละคนเชี่ยวชาญ! อย่างสิ่งที่บรรพชนเทียนอวี๋เชี่ยวชาญก็มี ‘การเข่นฆ่า’ อย่างราชันย์มีดนั้นก็มีการสังหารซึ่งหน้าที่ร้ายกาจ บรรพชนคีรีมารอาศัยร่างกายที่แข็งแกร่งในการต่อสู้เป็นหลัก! อย่างฝูงมารผลาญทำลายก็เก็บงำพลังและกลิ่นอายอย่างสิ้นเชิงแล้วปะปนเข้ามาในหมู่ผู้บำเพ็ญจำนวนนับไม่ถ้วน จะ ‘คัดกรอง’ พวกเขาออกมา วิธีการอันเหิมเกริมของเทพจักรวาลบางท่านก็ยังไร้ประโยชน์

หรือจะกวาดล้างผู้บำเพ็ญจำนวนนับไม่ถ้วนในคราวเดียวเสียเลย หรือจะกดดันเป็นวงกว้าง แต่ฝูงมารผลาญทำลายก็สามารถปลอมแปลงให้เหมือนกับผู้ที่อ่อนแอพวกนั้นได้อยู่ดี

จะตรวจสอบ…

ข้อแรกก็คือต้องสามารถครอบคลุมเป็นวงกว้าง และไม่ถึงกับทำร้ายผู้บำเพ็ญที่อ่อนแอจำนวนนับไม่ถ้วน ทั้งยังต้องแยกแยะฝูงมารผลาญทำลายออกมาด้วย!

‘เจ้าลัทธิภาพจิต’ นับว่ามีวิธีการนี้

ผลสำเร็จของเขตลวงของตงป๋อเสวี่ยอิงก็มีวิธีการนี้เช่นกัน ในบรรดาขั้นอลวนระดับชั้นที่เก้า ผู้ที่มีวิธีการทำนองเดียวกันนี้มีน้อยเสียจนยกนิ้วนับได้ ผู้ที่สามารถ ‘ส่งถ่ายผ่านระยะทางอันไกลโพ้น’ ได้ก็ยิ่งมีตงป๋อเสวี่ยอิงเพียงคนเดียวเท่านั้น

ในบรรดาเทพจักรวาล ส่วนมากนั้นก็ต่อสู้โดยตรง ผู้ที่มีวิธีการอย่างเดียวกันก็มีน้อยเสียจนยกนิ้วนับได้คือสองคนเท่านั้น คนหนึ่งคือบรรพชนทิพย์ผู้สูงส่ง เวลาของบรรพชนทิพย์นั้นล้ำค่ามาก สถานที่มากมายล้วนต้องอาศัยเขาทั้งสิ้น เขาจึงไม่ว่างพอจะตรวจสอบแบบปูพรมไปทีละแห่งๆ ได้ นอกจากนี้หากบรรพชนทิพย์กล้าทำเช่นนี้…ฝูงมารผลาญทำลายเหล่านั้นก็ต้องหลบซ่อนจนหาตัวพบยากยิ่งขึ้น อีกคนหนึ่งก็คือ ‘ประมุขเหยากวง’ ซึ่งมีสถานะสูงส่งมากเช่นเดียวกัน

นอกจากนี้สามารถคาดการณ์ได้ว่า หากฝูงมารผลาญทำลายสัมผัสได้ถึง ‘แรงคุกคาม’ ก็คงต้องซ่อนตัวอย่างระมัดระวังหาใดเปรียบ

……

เรื่องจริงก็เป็นเช่นนี้เอง

ฝูงมารผลาญทำลายที่เข้ามากบดานมีการบาดเจ็บล้มตายเป็นครั้งแรก บรรดา ‘อ๋อง’ ผู้สูงส่งจึงมีคำสั่งลงมาทันที

ฝูงมารเกราะทองทั้งหมดให้ซ่อนตัวอยู่ในสถานที่รกร้างห่างไกลผู้คนทันที มีเพียงยามที่ ‘ล่าเหยื่อ’ เท่านั้นจึงอนุญาตให้เคลื่อนไหวได้ เมื่อล่าเหยื่อเสร็จแล้วต้องซ่อนตัวอีกครั้งในทันที หากตงป๋อเสวี่ยอิงจะตรวจสอบแม้แต่สถานที่รกร้างห่างไกลพวกนั้นแล้วล่ะก็…ด้วยความกว้างใหญ่ไพศาลของอากาศอันสับสนอลหม่าน เกรงว่าก็คงจะไร้ที่สิ้นสุดแล้ว

 …………………………………………