ตอนที่ 695 ขุนนางเป็นเยี่ยงไร ?

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 695 ขุนนางเป็นเยี่ยงไร ?

ประโยคนั้นของฟู่เสี่ยวกวนทำให้หยุนซีเหยียนหน้าแดงขึ้นมาทันพลัน

หยุนซีเหยียนคิดในใจแล้วหวนนึกถึงเมื่อปีนั้นที่จือโจวแห่งเขตเฉิงตูออกตรวจการ บิดาของตนได้ตามติดเบื้องหลังแล้วนั่งคุกเข่าโบกพัดกางร่มให้ทุกแห่งหน หลังจากเสร็จเรื่องแล้วบิดายังให้เงินเขามากถึง 1,000 ตำลึงอีกด้วย !

ในฐานะคนค้าขาย สิ่งที่หวาดกลัวที่สุดก็คือขุนนาง !

กิจการจะใหญ่โตได้ ย่อมขึ้นอยู่กับว่าผู้ใดมีเส้นสายแข็งแรงพอ มิเช่นนั้นคำเอ่ยของพวกขุนนางเพียงประโยคเดียวก็สามารถทำให้ทรัพย์สินของวงศ์ตระกูลหายไปในชั่วพริบตาได้

ในการรับรู้ของหยุนซีเหยียนนั้น ขุนนางตำแหน่งใหญ่โตเยี่ยงฟู่เสี่ยวกวน การโบกพัดให้ย่อมเป็นเรื่องแสนจะธรรมดา แต่ตนกลับมิคาดคิดว่าจะถูกสั่งสอนเข้าจนได้

ภานในจิตใจของติ้งอันป๋อกลับไร้ความขุ่นมัวใด ๆ มิหนำซ้ำยังยิ้มให้เขาอีกด้วย… นี่สิถึงจะเป็นขุนนางในอุดมคติของหยุนซีเหยียน ! นี่ถึงจะเป็นแบบอย่างที่หยุนซีเหยียนปรารถนาจะเดินตามรอยไปชั่วชีวิต !

ด้านจางปู๋ฟู้ผู้ช่วยนายอำเภอเองก็ตื่นตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเช่นกัน

เพราะเขาเติบโตมาจากครอบครัวของชนชั้นปกครอง จางซีหลิงผู้เป็นบิดาเคยรับราชการขุนนาง เป็นจือโจวที่เขตเหอหนานและท่านถึงกับยอมลาออกจากตำแหน่งในรัชสมัยเซวียนลี่ปีที่สอง สาเหตุเพราะมิอาจทนเห็นด้านมืดของชนชั้นขุนนางได้อีกต่อไป

บิดาเคยเอ่ยกับเขาว่าสนามขุนนางนั้นเปรียบดั่งแม่น้ำกว้างใหญ่ไพศาล หากมีความตั้งมั่นที่จะเป็นขุนนาง…ก็จงอย่าไหลไปรวมกับน้ำขุ่นเป็นอันขาด !

แต่บิดาก็เคยเอ่ยกับเขาอีกว่าที่แห่งนั้นมีสภาพแวดล้อมแสนอันตราย เมื่อยามที่ทุกคนฝักใฝ่อธรรมและมีแต่เจ้าเพียงผู้เดียวที่ฝักใฝ่ในธรรมะ เมื่อนั้นเจ้าย่อมมิอาจทนทำหน้าที่ได้อีกต่อไปและถึงขนาดที่ถูกตัดศีรษะโดยมิอาจหยั่งรู้ถึงเหตุผลอีกด้วย

บิดาจึงมิสนับสนุนให้เขาเป็นขุนนาง แต่เมื่อรู้ว่าเขาถูกติ้งอันป๋อคัดเลือกเองกับมือจึงเปลี่ยนใจมาเห็นพ้องด้วยอีกครา

และบัดนี้เขาได้มาพบติ้งอันป๋อให้ประจักษ์แก่สายตาตนเองแล้ว เมื่อได้ยินคำเอ่ยเหล่านี้ของติ้งอันป๋อ เขาก็เข้าใจในทันพลันว่าเหตุใดบิดาถึงได้เปลี่ยนความคิด

บุรุษผู้นี้แตกต่างกับขุนนางในราชสำนักอย่างสิ้นเชิง !

ท่านเป็นดั่งสายน้ำที่ใสสะอาด !

และที่สำคัญคือสายน้ำที่ใสสะอาดนี้ยังสง่างามมากอีกด้วย !

บุรุษผู้นี้ศักดิ์สูงส่งเป็นชนชั้นสูงภายในราชวงศ์หยูแห่งนี้ นอกเสียจากองค์ฮ่องเต้แล้ว ผู้อื่นก็มิอาจทำอันตรายใด ๆ แก่เขาได้

อีกทั้งยังเป็นราชบุตรเขยขององค์ฮ่องเต้อีกด้วย เช่นนั้นพระองค์ทรงไร้เหตุผลใดที่จะให้ร้ายแก่เขา ด้วยเหตุนี้หากอยู่ข้างกายของผู้เป็นดั่งสายน้ำใสสะอาดก็ย่อมห่างไกลจากสภาพแวดล้อมที่แสนอันตรายดั่งที่บิดาได้กล่าวเอาไว้

ฟู่เสี่ยวกวนจิบชาหนึ่งคำแล้วเอ่ยออกมาอย่างเชื่องช้าว่า “พวกเจ้าจงพึงระลึกเอาไว้ในใจเสมอว่า ในการรับราชการขุนนาง สิ่งที่มีได้หนึ่งเดียวในสมองก็คือเรื่องของราษฎรที่พวกเจ้าต้องดูแล ! ”

“ผู้คนเรียกขุนนางว่าบิดามารดาอย่างเป็นทางการ คำเอ่ยนี้ข้าเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่งเพราะมิว่าจะเป็นพ่อแม่บ้านใดย่อมรักและทะนุถนอมบุตรของพวกตนกันทั้งนั้น”

“หากว่าขุนนางทั้งหลายสามารถรักและทะนุถนอมราษฎรให้เหมือนกับรักลูกในไส้…ราษฎรจะยังไร้เครื่องนุ่งห่มหรือกินมิอิ่มท้องเช่นทุกวันนี้อยู่อีกหรือ ? ”

หนานกงตงเซวี๋ยนั่งอยู่ด้านซ้ายมือของฟู่เสี่ยวกวน สายตาของนางจดจ้องไปยังฟู่เสี่ยวกวน จากนั้นก็รู้สึกปลาบปลื้มจับใจ

จางเพ่ยเอ๋อร์ที่นั่งอยู่ทางขวามือของฟู่เสี่ยวกวนก็มีสีหน้าที่เผยให้เห็นถึงความรู้สึกประหลาดใจเช่นกัน เนื่องจากฟู่เสี่ยวกวนในความคิดของนางนั้นหยุดนิ่งอยู่ที่ภาพเยาวชนอายุสิบสี่สิบห้าปีที่ยังขาดการอบรมผู้นั้น

นางคาดมิถึงว่าฟู่เสี่ยวกวนจะรู้ลึกถึงจรรยาบรรณของการเป็นขุนนางได้ถึงเพียงนี้ แน่นอนว่าไร้ผู้ใดเทียบเคียงอย่างแท้จริง

มิแปลกใจเลยที่ท่านอาจารย์เคยกล่าวเอาไว้ว่าการที่เทือกเขาฉางหลิงถูกยึดครองโดยราชวงศ์หยูนั้นมิใช่เรื่องร้ายใด ๆ ทั้งสิ้น

แล้วท่านอาจารย์ยังเคยกล่าวอีกว่าหากลองมองให้กว้างขวางแล้ว ก็เห็นจะมีเพียงปรมาจารย์สำนักเต๋าเท่านั้นที่ฉลาดหลักแหลมแต่เพียงผู้เดียวที่สนใจฟู่เสี่ยวกวนมาตั้งแต่ต้น

นางหวนนึกถึงเรื่องที่เมืองหลินเจียงเมื่อปีนั้น บิดาเป็นพ่อค้าผ้ารายใหญ่ของเมืองหลินเจียงแต่ต้องแสดงท่าทีนอบน้อมเสมอเมื่ออยู่เบื้องหน้าพวกขุนนางน้อยใหญ่

ท่านมิเคยยืดกายอย่างสง่างามต่อหน้าขุนนางเหล่านั้นเลยสักครา

หากท่านได้เจอขุนนางเฉกเช่นฟู่เสี่ยวกวน เหล่าพ่อค้าคงสามารถยืดกายอย่างสง่าผ่าเผยได้ใช่หรือไม่ ?

และในเวลานั้นเอง เหอเชิงอันก็วิ่งเข้ามาในสภาพที่เหงื่อไหลอาบเต็มใบหน้า

เขารีบพุ่งตัวเข้ามาหาฟู่เสี่ยวกวนแล้วโค้งคำนับ “ข้าน้อยนามว่าเหอเชิงอันเคยพบพานท่านติ้งอันป๋อมาก่อนแล้ว ข้าน้อยมิหยั่งรู้เลยว่าวันนี้ท่านติ้งอันป๋อจะมาเยือนจึงมิได้เตรียมการต้อนรับอย่างสมเกียรติ ขอท่านติ้งอันป๋อโปรดประทานอภัยให้ด้วยเถิด ! ”

ฟู่เสี่ยวกวนลุกขึ้นแล้วเดินเข้าไปเบื้องหน้าของเหอเชิงอัน จากนั้นก็ยื่นมือออกไปประคองบ่าทั้งสองของเขา

“เมื่อครู่ข้าเพิ่งสนทนากับจางปู๋ฟู้ว่าขุนนางควรเป็นเยี่ยงไร เจ้ามาได้ประจวบเหมาะพอดี เนื่องจากสิ่งที่ข้าปรารถนาจะเอ่ยก็คือตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปพวกเจ้าจงอย่าได้ประกอบพิธีการใดให้แก่ข้า และมิต้องแสดงความยำเกรงต่อข้ามากถึงเพียงนี้ มาเถิด เชิญนั่งแล้วดื่มชาด้วยกัน ! ”

เขาประคองเหอเชิงอันไปยังที่นั่ง ส่วนเหอเชิงอันรู้สึกตื้นตันใจเสียจนอยากร่ำไห้ น้ำตาไหลเอ่อคลอเบ้าจนแทบจะไหลรินออกมา

“จะว่าไปแล้วก็เป็นข้าเองที่รบกวนแผนการทำงานของเจ้า เช่นนั้นข้าต่างหากที่ควรเอ่ยคำว่าขอโทษแก่เจ้า ! ”

เหอเชิงอันมิอาจทนกลั้นความรู้สึกที่ท่วมท้นอยู่ภายในใจได้ สุดท้ายน้ำตาจึงรินไหลลงมา เขารีบเอ่ยด้วยอาการสำลักว่า “ข้าน้อยมิคู่ควรกับคำขอโทษของติ้งอันป๋อ… ข้าน้อย ข้าน้อยรู้สึกละอายแก่ใจเสียเหลือเกิน ! ”

ฟู่เสี่ยวกวนหยิบผ้าเช็ดหน้าผืนหนึ่งขึ้นมาจากนั้นก็ส่งให้เหอเชิงอัน ผู้คนในยุคสมัยนี้ย่อมมีความคิดที่ฝังรากลึกและยากที่จะเปลี่ยนแปลงซึ่งเขาสามารถเข้าใจได้ แต่เยี่ยงไรเสียก็ยังต้องการเปลี่ยนแปลงอยู่ดี

“เจ้า ! ระหว่างพวกเจ้าและตัวข้านั้นมีความสัมพันธ์เป็นเจ้านายและลูกน้อง แต่เป็นเพราะหน้าที่ที่พวกเรารับผิดชอบนั้นแตกต่างกัน ข้าหวังให้พวกเจ้าเข้าใจข้อหนึ่งว่าขุนนางที่อยู่ภายใต้บังคับบัญชาของข้านั้น ไร้ความจำเป็นที่จะต้องเอาใจข้า”

ดั่งเช่นวันนี้ หากเจ้ามิกลับมาข้าก็มิอาจโกรธเจ้าได้แม้แต่น้อย เพราะเจ้ากำลังทำงานเพื่อราษฎรอยู่ ! ”

ซูซูหันไปมองฟู่เสี่ยวกวนด้วยแววตาตกตะลึง คนผู้นี้…ช่างไร้ผู้ใดเทียบเคียงได้อย่างแท้จริง !

แม้ว่าซูซูและฟู่เสี่ยวกวนจะคลุกคลีกันมากว่าหนึ่งปีเศษ แต่ทว่านี่เป็นคราแรกที่นางได้เห็นฟู่เสี่ยวกวนในบทบาทขุนนาง

ส่วนสวี่ซินเหยียนกระหยิ่มยิ้มย่องอยู่เนิ่นนานแล้ว ภายในใจกำลังคิดว่านี่แหละคือสุภาพบุรุษแสนดีในใจของข้า !

เขามิได้เปลี่ยนแปลงเจตนารมณ์ตั้งแต่ต้นไปตามฐานะและอภิสิทธิ์ที่สูงขึ้น ในใจของเขายังคำนึงถึงราษฎรทั่วหล้า !

หากว่าขุนนางน้ำดีเช่นนี้มีมากขึ้นสักหน่อย บิดามารดาของนางก็คงมิทิ้งนางไป เพื่อดิ้นรนมีชีวิตใหม่ในต่างถิ่น !

ส่วนหยุนซีเหยียนรู้สึกตื่นเต้นอย่างล้มหลาม เขารู้ตัวว่าได้ค้นพบผู้สูงส่งที่ใฝ่หาอย่างแท้จริงเข้าแล้ว ภายใต้การนำของใต้เท้าผู้นี้ส่งผลให้เขาถึงกับมองเห็นอนาคตอันสว่างรุ่งโรจน์ที่ว่อเฟิงเต้า

แม้ว่าจะเป็นถึงติ้งอันป๋อ แต่เขาก็คือคุณชายฟู่ที่เคยร่วมทานหม้อไฟด้วยกัน ยังมิมีสิ่งใดต่างออกไปเลยสักนิด

ทันใดนั้นหยุนซีเหยียนก็รู้สึกหัวใจพองโตขึ้นมาราวกับว่าความกล้าหาญชาญชัยได้เพิ่มมากขึ้น มีเจ้านายเช่นนี้ยังมีสิ่งใดให้คอยกังวลอยู่อีกหรือ ?

ต้องทำงานอย่างอาจหาญและแน่วแน่ !

“บัดนี้ก็ย่ำเข้าสู่เดือนเจ็ดแล้ว ในอีกครึ่งปีหลังจากนี้มีหนึ่งในงานหลักของว่อเฟิงเต้าคือทำให้ผู้อพยพลงหลักปักฐานให้ได้และดำเนินการจดทะเบียนบ้านพร้อมจัดแบ่งที่ดินตามสัดส่วนของแต่ละครัวเรือนให้แล้วเสร็จ เพื่อมิให้พลาดการกลบไถหน้าดินสำหรับการเพาะปลูกในฤดูใบไม้ผลิที่กำลังจะมาเยือน”

ฟู่เสี่ยวกวนไม่ได้เอ่ยพร่ำร่ำไรอีกต่อไปและได้บรรลุจุดประสงค์ของการมาเยือนแล้ว

“ข้ามิแยแสต่อพิธีการใด ๆ ทั้งปวง แต่ทว่าข้าจำต้องเอ่ยวาจาที่มิน่าฟังเหล่าออกมา เรื่องนี้พวกเจ้าต้องเก็บเอาไปใส่ใจและต้องทำอย่างตั้งใจ ! หากพลาดจากการกลบไถหน้าดินเพื่อเพาะปลูกในฤดูใบไม้ผลิแล้ว…เหอเชิงอัน แม้เจ้าจะเป็นเอินเคอลำดับสอง ข้าก็จะปลดลงจากตำแหน่งนายอำเภอเสีย ! ”

เหอเชิงอันเงยหน้าขึ้นมา ในดวงตายังมีหยาดน้ำตาคลออยู่

เขาประคองมือขึ้นคำนับแล้วเอ่ยเสียงดังดั่งระฆังยักษ์ว่า “ขอท่านติ้งอันป๋อโปรดวางใจ ข้าน้อยรับประกันว่าจะทำภารกิจที่อำเภอหลานหลิงให้ลุล่วงสำเร็จได้ตามเวลา ! ”

ฟู่เสี่ยวกวนพยักหน้าเล็กน้อยเป็นการตอบรับ “การเป็นขุนนางยังต้องมีความสามารถในการเรียนรู้ด้วยตนเอง ข้ามิอาจทำได้เสียทุกอย่าง บางทีข้าก็มีข้อบกพร่องและพวกเจ้าก็สามารถเห็นต่างต่อการตัดสินใจของข้าได้เช่นกัน จงกระตือรือร้นที่จะตรวจสอบข้อบกพร่องของข้า ขุนนางเช่นนี้จึงจะเป็นขุนนางที่ดี ! ”

“ข้ามิปรารถนาหุ่นเชิดที่ต้องคอยชักเชือกบังคับอยู่ตลอดเวลา แต่ข้าปารถนาให้พวกเจ้าทั้งหลายรู้สึกว่าตนคือเจ้าของผืนปฐพีนี้ ! ”

“จงบุกเบิก พรวนดิน เพาะปลูกและเก็บเกี่ยว… นี่ต่างหากจึงจะเป็นหนทางสู่การเป็นขุนนางอย่างแท้จริง ! ”