ตอนที่ 700 : คําสาบานในสวนดอกท้อ
เย่ฉางตระหนักได้ว่าเขากําลังลอยอยู่ในโลกเสมือนจริง รอบตัวเขาเป็นกระแสน้ำวนหลากหลายกระแส
เย่ฉางนั่งไขว่ห้างมองดูกระแสน้ำวน ฉันคิดว่าฉันต้องเลือกหนึ่งในกระแสน้ำวนเพื่อเข้าไป ฉันควรเลือกอันไหนดี? มันมีมากเกินไป! มันยากสําหรับฉันที่จะเลือก! งั้นฉันแค่เลือกกระแสน้ำวนที่ใกล้ที่สุดก็แล้วกัน
ทันใดนั้นวิสัยทัศน์ของเย่ฉางก็เปลี่ยนไป ด้านหน้าของเขาเป็นลานโบราณที่มีเด็กสองสามคนกําลังเล่นอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ ในบรรดาเด็กๆมีเด็กที่ดูดีคนหนึ่งชี้ไปที่ต้นไม้และพูด “ในอนาคต ฉันจะนั่งรถม้าที่ใหญ่กว่าต้นไม้ต้นนี้”
ชายวัยกลางคนที่อยู่ด้านข้างรีบเข้าไปดึงเด็กอย่างรวดเร็ว “หุบปาก แกเป็นบ้าเหรอไง? แกต้องการให้ครอบครัวของเราถูกฆ่างั้นเหรอ?”
เมื่อเวลาผ่านไปเด็กชายตัวเล็กๆก็โตขึ้น แม้ว่าเขาจะเก่งด้านวิชาการและศิลปะการต่อสู้ แต่เขาก็ไม่ประสบความสําเร็จในชีวิต ตอนนี้เขาเป็นชายวัยกลางคนนังขายรองเท้าถักอยู่ที่ตลาด อย่างไรก็ตามดวงตาของเขากําลังจดจ่อกับทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นในตลาดที่วุ่นวายแห่งนี้ ทันใดนั้นก็มีเหตุการณ์หนึ่งที่ทําให้ตลาดเกิดเสียงจอแจ จากนั้นเย่ฉางก็รีบเดินตามเขาไปทันที สถานการณ์นี้ดูคุ้นเคยจัง
“เฮถั่วเขียวนี้กินได้มั้ย!” ชายผิวแทนตะโกนขึ้นมา
“ฉันขายแต่ถั่วเขียวเกรดดีที่สุดเท่านั้น! แน่นอนว่ามันกินได้! ถ้าไม่เชื่อก็ลองตรวจดูสิ ไอ้งี่เง่า!” ชายหน้าแดงโกรธ
ชายผิวแทนคว้าถั่วขึ้นมาหนึ่งกํามือ และกําถั่วเขียวไว้แน่น จากนั้นเขาก็เปิดฝ่ามือ “เห็นได้ชัดว่านี่คือแป้งถั่ว นายจะบอกว่ามันเป็นถั่วเขียวได้อย่างไร?! นายขายแป้งถั่วเขียว! นายโกหก!”
“แกมาที่นี่เพื่อซื้อถั่วหรือมาที่นี่เพื่อบดขยี้ถั่ว?! แกต้องการสร้างปัญหางั้นเรอะ?!” ชายหน้าแดงยืนขึ้นในทันที
“อืม… นายเศร้างั้นหรอที่ฉันบดขยี้ถั่วของนาย? แล้วที่นายเอาเนื้อของฉันไปล่ะ! นายจะชดเชยสิ่งนั้นอย่างไร?!” ชายผิวแทนตะโกนโต้กลับ
จากนั้นเย่ฉางก็ยืนข้างๆคนขายรองเท้าถัก และมองดูชายสองคนต่อสู้กันตั้งแต่ต้นจนจบ
“ถ้าฉันต้องการทําสิ่งที่ยิ่งใหญ่ ชายสองคนนี้จะเป็นผู้ช่วยที่ดี” ประกายแวววับส่องผ่านสายตาของคนขายรองเท้าถัก เขารีบเข้าไปและคว้าหมัดของพวกเขา “นี่น่าประทับใจ น่าประทับใจมาก คุณสองคนนั้นมีศิลปะการต่อสู้ที่ยอดเยี่ยมจริงๆ”
ชายทั้งสองคนตกตะลึง และจ้องไปยังชายที่เข้ามาห้ามพวกเขาทั้งสอง ชายร่างผอมคนนี้มีพลังที่แข็งแกร่งเช่นนี้ได้อย่างไร?
เย่ฉางเอามือลูบคางและครุ่นคิด “ฉันเข้าใจแล้ว! หลิว! กวน! จาง! บ้าเอ๊ย! หนึ่งขายรองเท้าถัก หนึ่งขายถั่วเขียว และคนสุดท้ายขายเนื้อ! ฉันควรจะเข้าใจมันได้ตั้งแต่แรก!” เย่ฉางเห็นว่าเล่าปี่กําลังพล่ามในแบบที่ชอบธรรม และนี่ก็คือการแสดงของเขา เมื่อมองไปที่ตาแก่เล่าที่ทําการแสดงจากระยะใกล้นั้นช่างน่าทิ้งเป็นอย่างมาก เขาสามารถโน้มน้าวใจคนสองคนนี้ได้ในช่วงเวลาสั้นๆ แต่ถึงอย่างนั้นเย่ฉางก็ตั้งข้อสังเกตอีกว่า เล่าปี่ถูกดึงดูดโดยทัศนคติของกวนอู และ เตียวหุย
ฉากทั้งหมดเปลี่ยนแปลงไป
ตอนนี้เย่ฉางกําลังยืนอยู่ในสวนดอกท้อที่ทั้งสามคนปฏิญาณสาบานว่าจะเป็นพี่น้องกัน
“ฉัน เล่าปี่! เสวียนเต๋อ!” (เล่าปี่ หรือชื่อในภาษาจีนกลางว่า หลิว เป้ย์ มีชื่อรองว่า เหี้ยนเต๊ก หรือ เสวียนเต๋อ)
“ฉัน กวนอู! ยฺหวินฉาง” (กวนอู มีชื่อในภาษาจีนกลางว่า กวัน ยฺหวี่ มีชื่อรองว่า หุนเตี๋ยง หรือในภาษาจีนกลางว่า ยฺหวินฉาง
“ฉัน จางเฟย์! อี้เต๋อ” (เตียวหุย มีชื่อในสําเนียงจีนกลางว่า จางเฟย์ มีชื่อรองว่า เอ๊กเต๊ก หรืออี้เต๋อ)
“ขอให้เทพแห่งสวรรค์ และโลกรับรองคําสัตย์สาบานของเรา!”
“เราสามพี่น้อง!” สามคนตะโกนออกมาพร้อมกัน
“แม้จะไม่เกิดในวัน, เดือน และปีเดียวกัน!”
“แต่เราสามพี่น้องยินดีตายในวัน, เดือน และปีเดียวกัน!”
เมื่อมองไปที่พวกเขาทั้งสามคนที่ให้คําสัตย์สาบาน เย่อางก็รู้สึกเศร้า ทั้งสามคนเสียชีวิตในปีเดียวกัน” ทันใดนั้นภาพของจางเจิ้งเฉียงและหลินหลี่ก็พุ่งผ่านเข้ามาในจิตใจของเขา “ฉันจะไม่ลั่นคําสัตย์สาบานแบบนี้ และฉันจะทําให้แน่ใจว่าเรื่องเหล่านี้จะไม่มีทางเกิดขึ้นกับฉันอย่างแน่นอน! ฉันตายได้ แต่อาเฉียงและหลินหลี่ต้องใช้ชีวิตอย่างมีความสุข
เวลาผ่านไปในพริบตาอีกครั้ง อย่างที่เย่ฉางรู้เมื่อศึกอิเหลงสิ้นสุดลง เล่าปี่ก็ถึงแก่กรรมด้วยความเศร้าโศกที่แก้แค้นให้พี่น้องไม่ได้ เย่ฉางได้เห็นฉากที่เล่าปี่เห็นก่อนที่จะตาย ภาพที่เขาเห็นก่อนตายไม่ใช่ภรรยาของเขา หรือเล่าเสี้ยน หรือจูกัดเหลียง แต่เป็นภาพกวนอูและจางเฟย์ที่กําลังโบกมือและยิ้มให้เขา บุปผาตกลงมาจากต้นไม้ และแต่งแต้มสถานที่แห่งนี้ให้กลายเป็นสีชมพู
ทันใดเย่ฉางก็หมดสติ และพบว่าตัวเองอยู่ในสวนดอกท้อ
“ หนุ่มน้อย หนุ่มน้อย”
เย่ฉางรู้สึกตกใจ เขาหันไปรอบๆเพื่อมองหาเล่าปี่ “นี่หมายความว่าไง? การพบปะกับบุคคลในประวัติศาสตร์งั้นเหรอ?” “หลิวเสวียนเต๋อ?”
“คุณเป็นคนที่สองที่สืบทอดการอัญเชิญแห่งกาลเวลา คุณมีราศีของพี่หลินด้วยเช่นกัน บ้าเอ๊ย เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ ฉันก็ได้พบกับจูกัดเหลียงในระหว่างการต่อสู้ของวิญญาณวีรชน และฉันคิดว่าเขาเป็นหนึ่งในวิญญาณวีรชนด้วยเช่นกัน ปรากฏว่าเขาโกรธมากและในที่สุดฉันก็กลายเป็นผู้พิทักษ์วิญญาณวีรชนของเขา! คุณไม่คิดว่ามันน่าหงุดหงิดงั้นเหรอ?! ไอ้หนุ่มนั่นน่าจะอยู่ในโลกของคุณ หากคุณบังเอิญพบเขา ให้ด่าเขาด้วยถ้อยคําหยาบคายในนามของฉันซะ! เขายังหลอกให้ฉันต่อสู้กับลิโป้อย่างหัวชนฝาอีกด้วย! ฉันได้รับบาดเจ็บจากคมง้าวของเขา…. คุณเรียกมันว่าอะไรนะ… อืม… ฟางเทียนฮว่าจี้(ง้าวกรีดนภา)! ชายหนุ่ม โปรดจําไว้ว่าช่วยทําเพื่อฉันหน่อยนะ” เล่าปี่นั่งลงที่ด้านข้าง และเทไวน์ใส่แก้วสองแก้ว
เย่ฉางรู้สึกอึดอัดใจ ในขณะที่เขาไม่ว่าจะตอบกลับไปยังไงดี ฉันไม่เข้าใจถึงสิ่งที่เขาพูดการต่อสู้ของวิญญาณวีรชน? จูกัดเหลียงอยู่ในโลกของเรา? โลกของเรามีความหมายว่าอะไร?” ทันใดนั้นเขาก็ตระหนักได้ถึงบางสิ่ง หรืออาจจะเป็น?!”
“เอาเป็นว่าฉันหวังกับคุณไว้เป็นอย่างสูงเลยนะ คุณต้องเชื่อฉัน…” ทันใดนั้นเล่าปี่ก็ยืนเหล้าหนึ่งจอกให้กับเย่ฉาง เย่ฉางจ้องมองไปที่รอยยิ้มของเล่าปี่โดยอัตโนมัติ
“หมดจอก!”
[ขอแสดงความยินดี! คุณได้รับเล่าปี่ เสวียนเต๋ออย่างสมบูรณ์แบบ! คุณได้รับสกิลวิญญาณวีรชนสุดพิเศษ – คําสาบานในสวนดอกท้อ และสกิลจิตวิญญาณวีรชน – Kindness]
คําสาบานในสวนดอกท้อ (หลิว – กวน – จาง): เมื่อเปิดใช้งานสกิล พันธมิตรที่อยู่รอบๆจะไม่ได้รับความเสียหายใดๆเป็นเวลา 10 วินาที และไม่ถูกสกิลควบคุมทุกประเภท พร้อมกับลบล้างสถานะดีบัฟทั้งหมด คูลดาวน์: 1 วัน
[Kindness] – สกิลติดตัว (เล่าปี่ เสวียนเต๋อ): 4500 Charisma และเพิ่มสถานะทั้งหมดขึ้น 30% มีความเป็นไปได้ที่คุณจะรอดพ้นจากการโจมตีหนึ่งครั้ง และเอฟเฟคการรักษาของคุณจะเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า
ขณะที่เย่ฉางฟื้นคืนสติ เขาก็นอนอยู่บนชายหาด อย่างไรก็ตามเขาไม่ได้ใส่ใจกับสกิลที่เขา ได้รับแต่กลับสนใจสิ่งที่เล่าปี่บอกเขามากกว่า เขากลอกตาและเห็นหลิ นหลี่กําลังหลับขณะตกปลาและจางเจิ้งเฉียงผู้ที่กําลังต่อสู้กับบอสปลาบางชนิด จากนั้นเขาก็ส่ายหัว
นิกายดาบสวรรค์
หลินหลันกําลังให้โอวาทแก่เหล่านักโทษ ทันใดนั้นก็มีชายผมยาวสวมเสื้อคลุมเดินเข้ามา มีพัดที่ทําขึ้นจากขนนกกระเรียนเหน็บอยู่ที่เข็มขัดของผู้ชาย “เสี่ยวหลัน”
“ลุงเหลียง ทําไมลุงถึงมาอยู่ที่นี่ล่ะครับ?” หลินหลันโค้งคํานับด้วยความเคารพ
“ฉันมาที่นี่เพื่อดูรอบๆ ไม่ต้องใส่ใจมารยาทมากนักหรอก นายและพ่อของนายแตกต่างกันมากจริงๆ ฉันนึกภาพไม่ออกเลยว่าถ้าเขาสุภาพได้ครึ่งหนึ่งของนายล่ะก็…” เขาเป็นชายผู้สง่างามที่ถูกเรียกว่าลุงเหลียง เมื่อเขาพูดจบ เขาก็ตัวสั่นและวางมือไว้บนก้นของเขา
“ลุงเหลียง หลินเซ็นฟื้นแล้ว” หลินหลันเล่าให้เขาฟังว่าเกิดอะไรขึ้นในวันนั้น
“หลินหลี่, เย่ฉาง และจางเจิ้งเฉียง” ชายผู้สง่างามพึมพํา ในขณะที่สัมผัสไปที่พักขนกระเรียนของเขา “ฉันจะไปดูที่หลินไห่สักหน่อย เสียวหลัน นักโทษของนายเพิ่งหนีไปหนะ”
“ผมรู้แล้ว ปล่อยให้เขาวิ่งไปสักสองสามวัน แล้วผมจะจับเขากลับมา และให้โอวาทแก่เขาอีกครั้ง” หลินหลันยิ้มอย่างไร้เดียงสา ชายผู้สง่างามตกตะลึงชั่วครู่ และยิ้มตอบ อย่างน้อยเด็กคนนี้ก็ไม่ได้เดินผิดทาง แต่พวกเขาก็สมกับเป็นพ่อลูกกันจริงๆ รอยยิ้มนี้ช่างน่าสะพรึงกลัวอย่างแท้จริง”