เมื่อได้ยินคำถามของลูเซียน อะเกลียยาก็นิ่งคิดไปครู่หนึ่ง ก่อนจะตรัสตอบว่า “วัตถุดิบชั้นตำนานทางกาล-อวกาศนั้นหายากยิ่ง เป็นความจริงที่ในอดีต พวกเราเก็บสะสมมันไว้บางส่วน แต่ส่วนนั้นทั้งหมดได้ใช้ไปกับการสร้างอุปกรณ์ชั้นตำนานและปราการป้องกันเขตแดนของเราแล้ว มันจึงมิมีเหลือ หากเจ้าอยากได้วัตถุดิบคล้ายคลึงกันนี้ เท่าที่ข้ารู้ เจ้าสามารถหาพวกมันได้จากสี่แห่ง อย่างแรกคือ ‘กุญแจสีคราม’ ของจักรพรรดิแห่งเผ่าคัวโทน”

จักรพรรดิแห่งเผ่าคัวโทนคือเจ้าแห่งมหาสมุทรไร้พรมแดนและมีพลังชั้นตำนานระดับสูงสุด สายน้ำทุกแห่งคือขอบเขตพลังของมัน ด้วยเหตุนี้ ลูเซียนจึงทำเพียงพยักหน้าหลังจากได้ยินเกี่ยวกับทางเลือกแรกโดยไม่ออกความเห็นใดๆ

อะเกลียยาว่าต่อ “นอกเหนือจากนั้น ตัว ‘ดานิซอส’ มังกรบรรพกาลแห่งกาลเวลาจากสภามืด ก็เป็นวัตถุดิบแห่งกาล-อวกาศที่ดีที่สุด ชิ้นส่วนที่เหลืออยู่ของมังกรบรรพกาลแห่งกาลเวลาตัวอื่นๆ ที่อยู่ในสุสานภายในบึงมังกร หากว่ายังมีอยู่ ก็ควรจะใช้ได้เช่นกัน แต่ว่า จำนวนมังกรนั้นมีน้อยมาตลอดอยู่แล้ว และมังกรแห่งกาลเวลาก็ยิ่งพบหาได้ยากยิ่ง นับแต่ที่ชาวเอลฟ์เราเริ่มต้นจดบันทึก ก็มีมังกรบรรพกาลแห่งกาลเวลาเพียงห้าตัวเท่านั้น ดังนั้น มันจึงยากมากไม่แพ้กัน”

ลูเซียนขมวดคิ้วมุ่นให้กับคำอธิบายขององค์ราชินี นี่ไม่ใช่สิ่งที่เขาคิดเอาไว้เลย

อะเกลียยาเปลี่ยนเรื่อง “อีกสองทางเลือกที่เหลือนั้นง่ายกว่าสองอย่างแรก ในมิติอเวจีมีชั้นลับอยู่ชั้นหนึ่งที่บรรพบุรุษของเราเรียกว่า ‘จักรวาลวายป่วง’ ณ ใจกลางจักรวาลวายป่วง จะมี ‘แผ่นกาลเวลา’ ที่ก่อตัวขึ้นตามธรรมชาติ เมื่อใดที่มันถูกฉกฉวยไป ทั้งมิติในชั้นนั้นจะหดตัวลง ผู้ใดก็หามิพบอีก มันจะปรากฏขึ้นมาอีกครั้งก็เมื่อเวลาผ่านไปนานและแก่นพลังนั้นรวมตัวเป็นรูปร่างขึ้นมาอีกครา”

“ชาวเอลฟ์เราเคยได้รับ ‘แผ่นกาลเวลา’ มาชิ้นหนึ่งและใช้มันสร้างส่วนสำคัญของปราการป้องกันของเรา หากพวกปีศาจในจักรวาลวายป่วงยังไม่เลื่อนขั้นขึ้นเป็นเจ้าแห่งปีศาจ ‘แผ่นกาลเวลา’ ย่อมอยู่ที่นั้นอย่างแน่นอน”

การเลื่อนระดับพลังของเหล่าปีศาจนั้นแตกต่างไปจากนักเวท อัศวิน ดรูอิด และอาชีพอื่นๆ หากดูอย่างผิวเผิน พวกมันดูเหมือนจะเลื่อนขั้นด้วยการกลืนกินอีกฝ่ายที่มีพลังระดับเดียวกัน แต่ในความเป็นจริงแล้ว พวกมันเพียงพยายามให้ได้รับการตอบสนองและรางวัลจากมิติอเวจีก็เท่านั้น ด้วยเหตุนี้ หลังจากรวบรวมพลังได้ในระดับหนึ่งในมิติอเวจี ปีศาจตนนั้นก็จะได้รับแก่นพลังในระดับนั้นๆ ซึ่งจะช่วยพัฒนาพละกำลังของมันและทำให้มันกลายเป็นเจ้าแห่งปีศาจ

สำหรับจักรวาลวายป่วง หากยังมิมีปีศาจสักตนได้เป็นเจ้าแห่งปีศาจ นั่นก็หมายความว่า ‘แผ่นกาลเวลา’ ยังไม่ถูกหลอมีรวมไปกับมัน!

“‘จักรวาลวายป่วง’ งั้นหรือ” ลูเซียนพึมพำวลีนั้น สภาเวทมนตร์ไม่เคยมีบันทึกเกี่ยวกับอเวจีชั้นนี้มาก่อน ในจักรวรรดิเวทมนตร์ก็เช่นกัน!

แอตแลนต์เองก็ดูสับสนเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าเขาไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับ ‘จักรวาลวายป่วง’ มาก่อน

ราชินีเอลฟ์แย้มยิ้ม “นั่นเป็นเพราะจักรวาลวายป่วงสามารถหดตัวและอำพรางตนเองได้อย่างไรเล่า มิมีผู้ใดรู้เกี่ยวกับมัน ยกเว้นบรรพบุรุษของเราที่ค้นพบมันโดยบังเอิญ อีวานส์ หากเจ้าสนใจ ข้าจักบอกวิธีหาตำแหน่งของมันให้”

“จะเป็นพระคุณอย่างยิ่งพะยะค่ะ” ลูเซียนตอบกลับโดยพลัน

หลังจากบอกข้อมูลให้ลูเซียนผ่านช่องทางลับ อะเกลียยาก็เอ่ยขึ้นว่า “ทางเลือกที่สี่ก็คือมิตินรกเงียบงัน ก่อนที่ดยุกแห่งน้ำแข็งคนก่อนจะหายตัวไป เขาได้ค้นพบแก่นดาราจำรัสที่มีเอกลักษณ์พิเศษอย่างยิ่งจากสุสานดารา แต่เราไม่อาจทราบแน่ชัดได้ว่าแก่นดาราจำรัสที่ว่านี้จะยังซุกซ่อนอยู่ที่ไหนสักแห่งภายในมิตินรกเงียบงันหรือไม่ บางที ทิโฟทิดิสอาจหวังใจไว้ว่าเขาจะกลับมาฟื้นคืนชีพได้โดยใช้มัน ดยุกแห่งน้ำแข็งในปัจจุบันยังพยายามค้นหามันอยู่”

ทางสภาเวทมนตร์มิได้บอกชาวเอลฟ์ว่าทิโฟทิดิสถูกไรห์นกับซาร์ดร่วมมือกันสังหารไปแล้ว เพราะว่ามันมิใช่ข่าวสารสำคัญอันใด

“ฟื้นคืนชีพ…” ลูเซียนเดาะลิ้นส่งเสียงจึ๊กจั๊ก หากดูจากรูปแบบนิสัยของเจ้ามหาลัทธิอาเจนต์แล้ว เขาก็อาจจะเตรียมตัวเพื่อการนั้นไว้จริงๆ ทว่า เขากลับโชคไม่ดีพอที่ต้องมาพบเจอกับไรห์น ผู้สามารถอัญเชิญพลังของพระเจ้าแห่งจันทราสีเงิน และซาร์ด ผู้ที่สามารถใช้ ‘แสงพิพากษา’ ได้ นอกเหนือจากมนุษย์ครึ่งเทพแล้ว มิมีผู้ใดจะฟื้นคืนชีพได้หลังจากถูกทั้งคู่โจมตี

ปีศาจมากเล่ห์ผู้เจนจัดกลับประสบเคราะห์ร้ายมาตลอด นับแต่ที่มาสเกลีนผนึกภาพมายาสะท้อนของเขาไว้ในเมืองอัลโต้ที่อยู่ในโลกแห่งวิญญาณ แล้วในตอนแรก แผนการมากมายของเขาก็ถูกลูเซียนทำลายทิ้งไม่เหลือชิ้นดี จากนั้นเขาก็ตกเป็นเหยื่อของเหยื่อผู้อื่นอีกที ตัวเขายังไม่รู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้นแม้แต่ตอนที่ดับสูญไป ชีวิตของเขาช่างเต็มไปด้วยโศกนาฏกรรมจริงๆ

หลังจากหลุดจากภวังค์ความคิด ลูเซียนก็ผุดลุกขึ้น แสดงความขอบคุณอีกครั้ง และบอกว่าเขาจะตัดสินใจเลือกด้วยความรอบคอบ มังกรบรรพกาลแห่งกาลเวลาไม่เคยทำอะไรให้เขา และมันก็ไม่ใช่นิสัยของเขาที่จะไปสังหารอีกฝ่ายเพียงเพื่อจะเอาวัตถุดิบของผู้อื่น เจ้าแห่งมหาสมุทรไร้พรมแดนเองก็เช่นกัน เป็นเรื่องชัดเจนที่จักรพรรดิจะไม่ชอบใจที่ต้องมอบกุญแจสีครามให้กับเขาทันทีที่ทั้งสองพบหน้ากัน ด้วยเหตุนี้ เขาจึงเหลือเพียงสองทางเลือก นั่นคือ ‘จักรวาลวายป่วง’ และ ‘นรกเงียบงัน’

เขาอาจต้องเผชิญหน้ากับมัลติมุสในมิตินรกเงียบงัน ซึ่งเป็นถิ่นของมนุษย์ครึ่งเทพตนนั้น ลูเซียนจึงมีความโน้มเอียงไปทางจักรวาลวายป่วงมากกว่า แต่ทว่า อย่างไรก็ตาม เขาจำต้องเตรียมข้าวของให้พร้อมสรรพเสียก่อน การออกเดินทางอย่างไร้หัวคิดไม่ใช่นิสัยของเหล่านักเวทเลย

หลังเสร็จมื้อค่ำ ลูเซียน นาตาชา และคนที่เหลือก็ออกมาจากต้นไม้เอลฟ์และบินออกนอกอาณาเขตของชาวเอลฟ์ พร้อมจะกระโดดข้ามมิติกลับไปยังนครอัลลินผ่านทางมิติจักรวาลอะตอม

“อาจารย์เจ้าคะ ข้ารู้สึกว่าเรื่องทั้งหมดนี้มันแปลกๆ ข้าเชื่อว่าท่านเฟอร์รากอนด์เป็นผู้บริสุทธิ์ เพราะพฤติกรรมของมาร์ธาก่อนที่นางจะระเบิดตัวเองนั้นดูแปลกเกินไป แต่เหตุใดท่านแลงค์เชียร์จึงเป็นอาชญากรเล่าเจ้าคะ เหตุใดราชินีเอลฟ์จึงปรากฏกายและหยุดเขาได้ทันเวลากันเจ้าคะ พระองค์อ้างว่าท่านพบเบาะแสและบอกกล่าวกับพระองค์ในช่วงเวลาสำคัญ จริงหรือไม่เจ้าคะ” หลังจากได้ร่วมการสืบสวนสอบสวนกับกรมตำรวจ วิญญาณนักสืบในตัวไฮดี้ก็ถูกปลุกขึ้นมา นางถามคำถามที่แอนนิคและคาทรินาต่างก็อยากจะถามเช่นกัน

ลูเซียนหัวเราะแล้วมองพวกเขา “แลงค์เชียร์คือผู้ชักใยอยู่หลังม่านจริงๆ ส่วนความจริงของเรื่องนี้นั้น มันเกี่ยวอะไรกับเราด้วยรึ ตราบใดที่ชาวเอลฟ์สามารถดำเนินชีวิตต่อไปเช่นนี้ได้ เราก็ไม่จำเป็นต้องทำอะไรให้เหนื่อยเปล่า”

“สรุปว่ามีบางอย่างผิดปกติจริงๆ ใช่ไหมเจ้าคะ” ไฮดี้ตื่นเต้นขึ้นมาทันควัน รู้สึกเหมือนว่าการคาดเดาของตนได้รับการยืนยัน

แต่ลูเซียนกลับมิได้ตอบอะไร เพียงแย้มยิ้มนิ่งๆ

นั่นคือข้อมูลลับที่มีเพียงสภาสูงสุดเท่านั้นที่จะได้ทราบ

แลนซ์ นครศักดิ์สิทธิ์

ร่างของเบเนดิกต์ที่สามเปลี่ยนแปลงไปมาไม่หยุด ประเดี๋ยวยืดขยาย ประเดี๋ยวหดลงวูบ ราวกับกำลังทดสอบอะไรบางอย่างอยู่

แต่ทันใดนั้น การเปลี่ยนแปลงทั้งหมดกลับหยุดลง ก่อนที่เขาจะปรือตาขึ้นเล็กน้อย เขายกไม้คทาทองคำขาวขึ้นแล้วร่ายเวทพยากรณ์

“กอนไฮล์ม เดโมกอร์กอนแห่งความมืด สังหารและกลืนกินเจ้าชายปีศาจองค์ก่อนไปแล้วงั้นรึ” การเสียชีวิตของผู้มีพลังชั้นตำนานระดับสูงสุดนั้นนับเป็นเรื่องสำคัญ และกอนไฮล์มเองก็ไม่คิดปิดบังแต่อย่างใด เพราะฉะนั้น เบเนดิกต์ที่สามจึงได้ผลลัพธ์จากการทพนายที่ถูกต้องชัดเจนยิ่ง ส่วนการแปรสภาพของราชินีเอลฟ์นั้น เขาก็ได้รับคำบอกใบ้เป็นนัยๆ มาเช่นกัน

เบเนดิกต์ที่สามวางคทาลงแลวเดินกลับไปกลับมา ขณะครุ่นคิดกับตนเอง ‘ผู้ใดบอกวิธีการเลื่อนขั้นขึ้นเป็นมนุษย์ครึ่งเทพให้กับทั้งสองกัน’

เขาสงสัยว่าผู้มีพลังชั้นตำนานสักคนหนึ่งที่ได้รับรู้เรื่องการเลื่อนระดับขึ้นเป็นมนุษย์ครึ่งเทพจากเขา จงใจปล่อยข่าวให้เดโมกอร์กอนแห่งความมืดกับราชินีเอลฟ์ทราบ เขาตั้งใจจะหาตัวคนลงมือและยืนยันจุดประสงค์ที่แท้จริงให้ได้ แม้ว่าเขากำลังจะเป็นผู้เผยแผ่วิธีการเลื่อนระดับขึ้นเป็นมนุษย์ครึ่งเทพไปยังป่าสตรู๊ปด้วยตนเองตามแผนการเดิมก็ตาม

หลังจากครุ่นคิดพิจารณาอยู่ครู่หนึ่ง พระคาร์ดินัลเสื้อคลุมแดงคนหนึ่งก็เข้ามาพร้อมกับข่าวกรองเรื่องการเปลี่ยนแปลงของมิติอเวจี ทางศาสนจักรได้ส่งผู้มีพลังชั้นสูงไปจับตาดูสถานการณ์ภายในมิติอเวจีและนรกภูมิอยู่ตลอด

“ท่านผู้ทรงศีลสูงสุด เดโมกอร์กอนแห่งความมืดลอบโจมตี ‘เจ้าชายปีศาจ’ ที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสอยู่ในมิติท้องอเวจี และหลอมรวม ‘ทะเลน้ำกรด’ เข้ากับ ‘ป้อมปราการเยือกแข็ง’ ได้สำเร็จแล้วขอรับ บัดนี้เขาได้กลายเป็นเจ้าชายปีศาจองค์ใหม่!”

การเปลี่ยนแปลงใหญ่หลวงปานนั้นย่อมสะท้านสะเทือนไปทั่วทั้งมิติอเวจี มันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะปกปิดร่องรอยต่างๆ ดังนั้น รายงานคล้ายๆ กันนี้จึงแพร่กระจายไปยังกองกำลังและองค์กรต่างๆ อย่างรวดเร็ว

ภายในอาณาจักรโฮล์ม ในป่าใกล้ๆ ทางรถไฟ

โคบอลต์[1]ตัวหนึ่งที่มีเกล็ดมังกรบนร่างกาย มองมาทางโคบอลต์ตัวอื่นๆ ในชุดขาดรุ่งริ่งที่ยืนอยู่รอบๆ ด้วยท่าทางอหังการขณะเอ่ยว่า “ขบวนคุ้มกันที่ขนขุมทรัพย์มาเต็มลำกำลังจะผ่านมาทางนี้เช่นนั้นรึ”

“ขอรับ นายท่าน” โคบอลต์ร่างผอมสูงตอบอย่างประจบประแจง นั่นก็คือผู้นำตัวใหม่ของเผ่า ผู้มาจากดินแดนทางตอนเหนือ เพราะว่ามันแข็งแกร่งมากและสามารถปลดปล่อยไอพลังแห่งมังกร มันจึงสังหารอดีตผู้นำและกินอีกฝ่ายอย่างง่ายดาย

ผู้นำโคบอลต์ประกาศกร้าว พร้อมกับชูไม้ที่มีตะปูฝังอยู่เต็มไปหมด “พลังโลหิตมังกรในกายข้าได้ตื่นขึ้นแล้ว ข้าจักกลายเป็นราชาผู้ยิ่งใหญ่แห่งโคบอลต์ เจ้าจงรับใช้ข้าด้วยความเคารพ นั่นถือเป็นเกียรติของเจ้า!”

โคบอลต์เป็นเผ่าพันธุ์แยกย่อยของมังกรที่มีพลังโลหิตมังกรเพียงน้อยนิด

“แน่นอนขอรับ นายท่าน” โคบอลต์ร่างผอมสูงและสหายของมันต่างคุกเข่าลงบนพื้น

ปู๊น! ปู๊น! ปู๊น! เคร้ง! เคร้ง! เคร้ง!

เสียงหวูดและล้อที่เสียดสีกับรางรถไฟดังมาแต่ไกล

ผู้นำโคบอลต์สูดจมูก “ไม่มีกลิ่นของนักเวทที่แข็งแกร่งเลย ดีมาก เจ้าไม่ได้โกหกข้า หลังจากที่เราปล้นขุมทรัพย์มาได้ เราก็จะมีอาวุธ ชุดเกราะและอาหาร”

“นายท่านสามารถไปยืนอยู่หน้าอสูรกายเหล็กและข่มขวัญมันด้วยไอพลังแห่งมังกรของท่าน จากนั้น เราก็จะเข้าจู่โจมพร้อมกัน เหมือนอย่างที่เราปล้นกลุ่มพ่อค้าครั้งก่อนๆ อย่างไรเล่าขอรับ” โคบอลต์ร่างผอมสูงกล่าว ขณะที่ดวงตากลอกกลิ้ง

ผู้นำโคบอลต์ดูท่าทางมั่นใจในไอพลังแห่งมังกรของมันอย่างยิ่ง “มิใช่ปัญหา แม้ว่าอสูรกายเหล็กจะไม่หวาดกลัว แต่ผู้ใดก็ตามที่ควบคุมมันย่อมคร้ามเกรง มังกรคือเผ่าพันธุ์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดและอยู่เหนือสิ่งมีชีวิตทั้งปวง!”

และมันก็มั่นใจในความคล่องแคล่วว่องไวของมันเช่นกัน

เคร้งๆ รถไฟหัวจักรเวทมนตร์เคลื่อนขบวนเข้ามาใกล้ แล้วผู้นำโคบอลต์ก็กระโจนลงไปยืนกลางรางรถไฟ โบกสะบัดไม้หัวตะปูไปมาพลางร้องคำราม “หยุด!”

แรงกดดันรุนแรงแผ่ออกมา สัตว์ตัวน้อยทั้งหลายรอบๆ บริเวณนั้นพลันนิ่งงันด้วยความหวาดกลัว

ผู้นำโคบอลต์กำลังจะแย้มยิ้มด้วยความพอใจ เมื่อมันพบว่าอสูรกายเหล็กหาได้ชะลอความเร็วลงแม้แต่นิด มันกลับพุ่งตรงมาอย่างรวดเร็วเสียจนมันไม่มีโอกาสได้กระโดดหลบหนี

ปัง!

หลังจากเกิดเสียงดังสนั่น รถไฟหัวจักรเวทมนตร์ก็วิ่งต่อไปเหมือนก่อนหน้านี้

หลังจากที่รถไฟแล่นจากไปแล้ว โคบอลต์ร่างผอมสูงที่ซ่อนกายอยู่ไม่ไกลนั้นก็โผล่ศีรษะออกมามองไปทางรางรถไฟในที่สุด และมันก็ไม่พบอะไรนอกเหนือไปจากเศษชิ้นเนื้อแหลกละเอียด

“เจ้าอยากจะจับพวกเราเป็นทาสงั้นรึ” โคบอลต์ร่างผอมสูงถ่มน้ำลายใส่ซากศพนั้น

“น่าขันนัก! เจ้าโง่ที่ไม่มีอะไรเลยอย่างเจ้าคิดจะจับเราเป็นทาสเช่นนั้นรึ!” โคบอลต์ตัวอื่นๆ ต่างโห่ร้องด้วยความดีใจ นั่นคือบทเรียนที่เผ่าของพวกมันได้เรียนรู้หลังจากต้องสูญเสียเพื่อนพ้องไปหลายชีวิต พวกมันไม่มีทางปล้นอสูรกายเหล็กได้!

พวกมันเก็บข้าวของแล้วเดินไปอีกทาง ก่อนจะพบกับกลุ่มพ่อค้ากลุ่มเล็ก พวกมันโบกแขนไปมาแล้วพุ่งเข้าจู่โจม

โคบอลต์ร่างผอมสูงนึกดีใจที่ในที่สุดพวกมันก็ปล้นของมีค่าได้มาบ้างในวันนี้ แต่แล้วอสูรกายรูปร่างเหมือนกล่องเหล็กก็แล่นมาจากด้านหลังกลุ่มพ่อค้า มันพุ่งเข้าหาเหล่าโคบอลต์โดยไม่ชะลอความเร็วลงแม้แต่นิด

ปัง! ปัง! ปัง!

โคบอลต์แต่ละตัวถูกชนกระจัดกระจายหรือไม่ก็ถูกบดขยี้จนเหลือเพียงซาก

โคบอลต์ร่างผอมสูงพยายามมองหารางรถไฟบนพื้น แต่มันกลับมิพบอะไรเลย มันส่ายศีรษะด้วยความหวาดกลัว “มนุษย์ช่างน่ากลัวยิ่งนัก…”

ภายในรถไฟหัวจักรเวทมนตร์ เด็กสาวชาวเอลฟ์มองไปที่นอกหน้าต่างด้วยความมึนงง “องค์หญิงเพคะ เสียงนั่นคือเสียงอะไรกันเพคะ”

ไอริสทีนแย้มยิ้ม “นั่นคือพวกโคบอลต์แสนล้าหลัง อย่าไปสนใจมันเลย”

“องค์หญิงเพคะ พระองค์ทรงตัดสินพระทัยไปเรียนที่โรงเรียนสายสามัญแทนที่จะเป็นโรงเรียนเวทมนตร์จริงๆ หรือเพคะ” เด็กสาวชาวเอลฟ์ตวัดสายตากลับมาแล้วคุยต่อถึงเรื่องที่พูดกันค้างไว้

ไอริสทีนพยักหน้า “ข้าเป็นชาวดรูอิด ข้ามาเรียนรู้เกี่ยวกับอาร์คานาก็เพียงเพื่อขยายขอบเขตความรู้ที่มี จะโรงเรียนเวทมนตร์หรือโรงเรียนสายสามัญก็ไม่ต่างกันหรอก ข้าไม่อาจเรียนตามหลักสูตรของวิทยาลัยเวทมนตร์โฮลต์ได้เลย อีกอย่าง ข้าสามารถสังเกตการณ์การเปลี่ยนแปลงที่เกิดจากอาร์คานาศาสตร์ได้ในโรงเรียนสายสามัญ วางใจเถิด ข้าจะไปเยี่ยมเยียนนครอัลลินบ่อยๆ และไปหาไฮดี้กับพวกเจ้าด้วย”

แต่เหล่านักเรียนในโรงเรียนสายสามัญที่หนึ่งแห่งนครเรนทาโตกลับตื่นเต้นดีใจ เพราะพวกเขาได้ยินมาว่าพวกตนจะมีเพื่อนร่วมชั้นเป็นเจ้าหญิงเอลฟ์เมื่อภาคเรียนใหม่เริ่มขึ้น!

…………………………………………..

[1] มีต้นกำเนิดมาจากนิทานพื้นบ้านของประเทศเยอรมนี รูปร่างคล้ายมนุษย์ตัวเล็ก แต่มีศีรษะและหางยาวเหมือนสัตว์เลื้อยคลาน