ตอนที่ 305 จั่วเจียจวิ้น

หมอดูยอดอัจฉริยะ

ตอนที่ 305 จั่วเจียจวิ้น โดย Ink Stone_Fantasy

“คุณน้าเสียวเสี่ยว ทำไมจะไปกันแล้วล่ะคะ?”

หลิวติงติงเพิ่งจะคุยโทรศัพท์เสร็จแล้วกลับเข้ามา ก็สวนทางกับพวกถังเหวินหย่วนที่กำลังจะเดินออกไปพอดี

“ก็คุณตาเธอจะมาไม่ใช่รึ? ขนาดเจ้าของบ้านอย่างฉันยังโดนไล่ออกไปด้วย คุณตาเธอนี่มีหน้ามีตา ยิ่งกว่าคุณปู่ถังอีกนะเนี่ย!”

ถังเหวินหย่วนสีหน้าโมโห แต่น้ำเสียงกลับแฝงความขบขัน เพราะเขาก็กำลังอยากให้เยี่ยเทียนเห็น คฤหาสน์หลังนี้เป็นเหมือนบ้านของตัวเองอยู่พอดีเลย

เมื่อได้ยินคำพูดของถังเหวินหย่วน เยี่ยเทียนที่อยู่ในห้องก็ยิ้มออกมา ตาเฒ่าคนนี้นี่เข้าใจอ่านความคิดคนอื่นดีจริงๆ อีกไม่กี่ปีข้างหน้าเขาคงต้องช่วยลงมือสะเดาะเคราะห์ให้เสียหน่อยแล้วละ

“นี่ ทำไมคุณต้องไล่คนอื่นไปหมดด้วยล่ะ?” พอหลิวติงติงเข้าประตูมาก็เห็นเยี่ยเทียนกำลังยิ้มอยู่ ในสายตาของเธอ นั่นมันรอยยิ้มของผู้ไม่ประสงค์ดีชัดๆ เลย

เยี่ยเทียนไม่ตอบคำถามของหลิวติงติง แต่ถามขึ้นว่า “คุณตาเธอบอกว่าจะมารึเปล่า?”

หลิวติงติงตอบอย่างไม่สบอารมณ์ “มา แต่คุณตาไม่รู้ว่าคุณน่ะพูดจริงรึเปล่า ท่านเลยต้องมาพิสูจน์หน่อย!”

เมื่อครู่นี้จั่วเจียจวิ้นบอกมาทางโทรศัพท์ว่า ให้หลิวติงติงมีมารยาทกับเยี่ยเทียนด้วย ทำให้แม่หนูผู้ได้รับการตามใจ จากคุณตามาตั้งแต่เล็กรู้สึกอารมณ์เสียอย่างยิ่ง

“ฮ่าๆ ไม่นึกเลยว่ามาถึงฮ่องกงวันที่สองก็จะได้เจอกับศิษย์พี่แล้ว!” เยี่ยเทียนได้ยินอย่างนั้นก็ลุกขึ้นมาจากโซฟา แล้วเดินไปเดินมาอยู่ในห้องรับแขกด้วยท่าทางตื่นเต้น

ถ้าจะว่ากันโดยเคร่งครัดแล้ว หลิวติงติงและโจวเซี่ยวเทียนต่างก็ไม่นับว่าเป็นศิษย์ของสำนักเสื้อป่านอย่างแท้จริง หลังจากที่หลี่ซั่นหยวนดับขันธ์ไป ในโลกนี้ก็มีแต่เยี่ยเทียนและศิษย์พี่ของเขาอีกสองคน ที่เรียกได้ว่าเป็นผู้สืบทอด สำนักเสื้อป่านที่หลงเหลืออยู่

และในสมัยที่หลี่ซั่นหยวนมีชีวิตอยู่ก็ปฏิบัติต่อศิษย์พี่ทั้งสองดั่งบิดากับบุตร และมีความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นอย่างยิ่ง

ก่อนที่พรตเฒ่าจะสิ้นใจ ท่านเคยกำชับเยี่ยเทียนไว้ว่า ถ้าเขามีโอกาสเมื่อไร จะต้องไปตามหาศิษย์พี่ทั้งสองให้พบ แล้วถ่ายทอดวิชาเลี้ยงปราณของสำนักเสื้อป่านให้พวกเขา เพื่อที่ทั้งสองจะได้มีชีวิตที่ยืนยาวยิ่งขึ้น

“อย่าด่วนสรุปไปหน่อยเลย คุณตาฉันจะรู้จักคุณจริงรึเปล่าก็ยังไม่รู้เลยนะ”

หลิวติงติงค้อนใส่เยี่ยเทียน แต่เมื่อเห็นง้าวที่ตั้งอยู่บนพื้น สีหน้าก็ดีขึ้นมาทันที และลองถามดูว่า “นี่ ถามหน่อย คุณฝึกวิทยายุทธมายังไง ทำไมถึงได้มีพลังเยอะขนาดนั้นล่ะ?”

ทั้งที่เยี่ยเทียนน่าจะมีอายุน้อยกว่าเธออีก แต่เมื่อเห็นวิทยายุทธของเขาแล้ว กลับทำให้หลิวติงติงรู้สึกว่า ตัวเองต่ำต้อยไปเลย ขณะเดียวกันก็รู้สึกอยากรู้อยากเห็นขึ้นมา

เยี่ยเทียนมองหลิวติงติงแวบหนึ่ง “คุณตาเธอคงให้เธออาบแช่ยาจีนมาตั้งแต่เด็กสินะ?”

หลิวติงติงก็อายุเพียงยี่สิบต้นๆ เท่านั้น แต่พลังปราณที่สะสมอยู่ภายในกายนั้น กลับสูงส่งยิ่งกว่าโจวเซี่ยวเทียนเสียอีก อีกก้าวเดียวก็จะเข้าสู่ระดับลมปราณแฝงได้แล้ว คาดว่าศิษย์พี่จั่วคงลงทุนลงแรงไปกับหลานสาวคนนี้ไม่น้อยเลย

“คุณรู้ได้ยังไง?”

หลิวติงติงได้ยินอย่างนั้นก็อึ้งไป แต่แล้วก็เรียกสติกลับมาได้ทันที แล้วพูดว่า “ถึงจะแช่ยาจีนมา ก็ไม่ได้ผลลัพธ์อะไรมากมายหรอก จนถึงตอนนี้ฉันยังฝึกลมปราณแฝงไม่สำเร็จเลย”

ถ้าเยี่ยเทียนศึกษาจากอาจารย์คนเดียวกับคุณตา สิ่งที่คุณตาทำได้ เยี่ยเทียนก็ต้องทำได้เหมือนกัน แต่หลิวติงติงก็ยังสงสัยอยู่ว่า ถ้าอาบแช่ยาจีนมาเหมือนกัน แล้วทำไมเยี่ยเทียนถึงได้ผลชัดเจนขนาดนี้ล่ะ?

เยี่ยเทียนส่ายหน้า “ผู้หญิงมีข้อจำกัดบางอย่างมาแต่กำเนิด อีกหน่อยเธอก็คงไปถึงระดับลมปราณแฝงได้ไม่ยากหรอก แต่ถ้าอยากจะไประดับสูงกว่านั้นก็คงไม่ง่ายแล้วละ”

สาเหตุที่พลังฝีมือของเยี่ยเทียนรุดหน้าไปได้เร็วขนาดนี้ นอกจากเพราะได้ปูพื้นฐานมาตั้งแต่เด็กเป็นอย่างดีแล้ว ศาสตร์ที่ได้รับถ่ายทอดมาในสมองก็มีส่วนเกี่ยวข้องด้วยเช่นกัน

ดูเหมือนว่าตั้งแต่เขาได้รับศาสตร์เหล่านั้นมา ถ้าเยี่ยเทียนไม่ได้มีความติดขัดอะไร เพียงแค่สะสมพลังไว้มากพอ ก็จะสามารถพัฒนาจากระดับลมปราณแฝงไปถึงระดับลมปราณสับเปลี่ยนได้เอง

“ทำเป็นรู้ดีนะ นี่ เยี่ยเทียน คุณคงเพิ่งเคยมาฮ่องกงครั้งแรกสินะ?”

สิ่งที่เยี่ยเทียนพูดมานี้ที่จริงจั่วเจียจวิ้นก็เคยบอกหลิวติงติงแล้ว พอได้ยินว่าทั้งสองคนพูดมาเหมือนๆ กัน หลิวติงติงก็หมดความสนใจที่จะซักถามเรื่องวิทยายุทธต่อไปทันที

“ต้องเรียกท่านอาสิ ไม่มีสัมมาคารวะเลย” เยี่ยเทียนทำหน้าเคร่งแล้วดุขึ้นมา “เพิ่งมาฮ่องกงครั้งแรกน่ะ ทำไมรึ?”

“งั้นไหนคุณลองดูซิว่า ฮวงจุ้ยที่คุณตาฉันจัดไว้นี่น่ะเป็นยังไงบ้าง? ถ้าเป็นคุณจะจัดได้แบบนี้รึเปล่า?”

ก่อนหน้านี้หลิวติงติงเพิ่งจะถูกเยี่ยเทียนต้อนให้ยอมแพ้ไป ในใจจึงยังหงุดหงิดอยู่บ้าง เธอคิดว่าในด้านวิทยายุทธนั้น คุณตาคงสู้เยี่ยเทียนไม่ได้แน่ ดังนั้นจึงยกเรื่องฮวงจุ้ยขึ้นมาพูดแทน

“ฮ่าๆ ถ้าฉันเป็นคนจัดฮวงจุ้ยที่นี่ละก็ จะต้องเหนือชั้นกว่าคุณตาของเธออีก!”

เยี่ยเทียนหัวเราะฮ่า ๆ แล้วพูดต่อ “จะให้ฉันจะรวบรวมกระแสปราณมังกรในฮ่องกงมาไว้ที่นี่ทั้งหมดก็ยังได้เลยนะ เธอว่าฮวงจุ้ยแบบไหนดีกว่ากันล่ะ?”

ตั้งแต่เยี่ยเทียนเข้าสู่วงการ ผลงานแต่ละครั้งก็มีแต่งานหินๆ ทั้งนั้น

อันดับแรกก็คือช่วยแก้ชะตาของหลี่ซั่นหยวน ต่อมาก็ตั้งค่ายกลชุมนุมพลังขนาดใหญ่ในเมืองปักกิ่ง และรวบรวมพลังมังกรและพลังพิฆาตทั้งหมดที่สะสมอยู่ในวังต้องห้ามมาหลายร้อยปีขึ้นมาได้ เท่านี้ก็เรียกได้ว่า ‘ฝีมือเหนือชั้น’ แล้ว

“คุยโวไปเถอะ เดี๋ยวพอคุณตาฉันมาแล้ว ดูซิว่าคุณจะยังกล้าพูดแบบนี้อีกไหม?” หลิวติงติงเบะปาก ไม่เชื่อที่เยี่ยเทียนพูดมาเลยสักนิด

เยี่ยเทียนทำท่าเหมือนจะทนการยุแหย่ไม่ได้ “อย่ามาท้าฉันสิแม่หนู ไม่แน่นะสักวันฉันอาจจะซื้อบ้านหลังถัดไปนี่ แล้วตั้งค่ายกลฮวงจุ้ยให้เธอดูเลยก็ได้”

ที่จริงเยี่ยเทียนก็มีความคิดที่จะหาซื้ออสังหาริมทรัพย์ในฮ่องกงอยู่เหมือนกัน โดยเฉพาะบริเวณทางน้ำออกสู่ทะเล ซึ่งเป็นตำแหน่งมังกรมุ่งสู่ทะเลพอดี และถ้ามีพื้นที่กว้างขวางมากพอ เยี่ยเทียนก็อาจจะสามารถตั้งค่ายกลที่ดีพอๆ กับที่เรือนสี่ประสานของเขาได้อีกด้วย

นอกจากนี้ ปราณวิเศษในทะเลยังอุดมสมบูรณ์มากกว่าปราณวิเศษในผืนแผ่นดินอีก ถ้าสามารถร่ายอาคมไว้ ในที่แบบนี้ได้ เชื่อว่าต่อให้ผ่านไปอีกร้อยปี ก็ไม่ต้องกังวลว่าปราณวิเศษจะหมดไปและจะทำให้ค่ายกลหมดฤทธิ์

“บ้านที่นี่น่ะคุณซื้อไม่ได้หรอก บ้านที่อยู่ถัดไปพวกนั้นน่ะปล่อยเช่าแต่ไม่ขาย ขนาดคุณตาฉันยังซื้อไม่ได้เลย” ฟังจากที่หลิวติงติงพูดมา ดูเหมือนว่าจั่วเจียจวิ้นก็เคยสนใจที่นี่อยู่เหมือนกัน

“ทำไมล่ะ? ศิษย์พี่จั่วก็น่าจะมีฐานะที่ฮ่องกงอยู่พอสมควรนี่นา?”

เยี่ยเทียนฟังแล้วขมวดคิ้ว ก่อนหน้านี้เขาเคยได้ยินถังเหวินหย่วนบอกว่าบ้านพักตากอากาศ หลังถัดไป นั้นไม่ปล่อยขาย ตอนนั้นเขาก็ไม่ได้สนใจอะไร แต่ตอนนี้เมื่อมีความคิดที่จะซื้ออสังหาริมทรัพย์ เยี่ยเทียนก็คงต้องไป สอบถามรายละเอียดดูบ้างแล้ว

หลิวติงติงได้ยินอย่างนั้นก็ทำแก้มป่อง “นั่นน่ะเป็นคฤหาสน์หรูในเขตเซ็นทรัลมิดเลเวล ปล่อยเช่าแต่ไม่ขาย คนที่ไปอยู่ก็มีแต่พวกผู้บริหารระดับสูงในบริษัทธุรกิจข้ามชาติ หรือบุคคลสำคัญทางการเมืองทั้งนั้นแหละ เมื่อก่อนคุณตาฉันอยากจะซื้อก็ยังซื้อไม่ได้เลย ถ้ารู้อย่างนี้แต่แรกก็คงไม่ดูฮวงจุ้ยให้พวกนั้นหรอก…”

บริษัทที่เป็นผู้พัฒนาที่ดินในแถบนั้น เดิมทีก็ทำธุรกิจเช่าที่พักอาศัยอยู่แล้ว ค่าเช่าบ้านพักตากอากาศแต่ละหลังนั้น เดือนหนึ่งๆ สูงถึงห้าแสนดอลลาร์ฮ่องกง และโฆษณาว่าสามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้ทุกอย่าง

ตอนนั้นจั่วเจียจวิ้นก็เคยแสดงความประสงค์ที่จะซื้อบ้านพักตากอากาศไว้หลังหนึ่งแล้ว แต่กลับถูกบริษัทแห่งนั้น ปฏิเสธมาด้วยคำพูดอ้อมๆ

แต่พวกนั้นก็ไม่กล้าขัดใจจั่วเจียจวิ้นเหมือนกัน จึงมอบคฤหาสน์หรูอีกแห่งหนึ่งที่มีฮวงจุ้ยดีเยี่ยม และมีมูลค่า ไม่ต่ำกว่าบ้านพักตากอากาศเหล่านั้นให้อาจารย์จั่วไปหลังหนึ่ง

“ตอบสนองความต้องการได้ทุกอย่าง? โฆษณาเสียใหญ่โตเชียวนะ!” เยี่ยเทียนได้ยินแล้วเบะปาก “ถ้าฉันอยากจะกินข้าวกับผู้บริหารสูงสุดของฮ่องกง พวกนั้นก็จัดให้ได้ด้วยรึไง?”

ฮ่องกงเพิ่งจะกลับมาเป็นของจีนเมื่อปีที่แล้ว ตอนนั้นข่าวก็รายงานกันไปทั่วบ้านทั่วเมือง เยี่ยเทียนจึงพอจะรู้ เกี่ยวกับผู้บริหารสูงสุดคนปัจจุบันนี้อยู่บ้าง เหมือนเขาจะมาจากตระกูลที่มีอิทธิพลในธุรกิจขนส่งทางเรือที่ฮ่องกงนี่แหละ

“กินข้าวกับลุงต่งมันเป็นเรื่องใหญ่โตตรงไหนกัน? คุณนึกว่าการที่คนที่อาศัยอยู่ในที่แบบนี้ อยากจะกินข้าวกับผู้นำฮ่องกงน่ะ มันเป็นเรื่องยากเย็นนักรึไง?”

หลิวติงติงไม่เห็นด้วยกับเยี่ยเทียน อย่าว่าแต่คนอย่างพวกถังเหวินหย่วนเลย ต่อให้เป็นหลิวติงติงเอง การที่จะเข้าออกบ้านของผู้บริหารสูงสุดท่านนั้นก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไร

“แหะๆ ฉันลืมนึกถึงจุดนี้ไปน่ะ”

เยี่ยเทียนได้ยินอย่างนั้นก็อึ้งไป แล้วก็หัวเราะเยาะตัวเอง เขาเติบโตที่หมู่บ้านในชนบท แม้ว่าตอนอายุสิบขวบ จะได้เข้าไปใช้ชีวิตในเมือง และหลายปีที่ผ่านมานี้ก็ได้รู้จักแต่พวกเศรษฐีทั้งนั้น

แต่ในก้นบึ้งหัวใจของเยี่ยเทียน ก็ยังคงรู้สึกว่าตัวเองห่างไกลกับคนเหล่านั้นอยู่ดี อย่าว่าแต่ผู้บริหารสูงสุด ของฮ่องกงเลย แค่อธิบดีอะไรสักคนหนึ่งในจีนแผ่นดินใหญ่ ก็พอที่จะทำให้ ‘อาจารย์เยี่ย’ รู้สึกว่าเป็นบุคคลผู้สูงส่งแล้ว

“โอ๊ะ เหมือนคุณตาฉันจะมาแล้วละ ฉันไปเปิดประตูก่อนนะ!”

ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงกริ่งประตูดังขึ้นจากนอกบ้าน หลิวติงติงจึงรีบโดดลุกขึ้นแล้ววิ่งออกไป สาเหตุที่เธอตื่นเต้นขนาดนี้ ที่จริงแล้วเป็นเพราะว่าเธอกำลังตั้งตารอให้คุณตามาสั่งสอนเยี่ยเทียนนี่แหละ

“เร็วขนาดนี้เลยรึ?”

เยี่ยเทียนก็ลุกขึ้นเดินออกไปต้อนรับข้างนอกเช่นกัน แม้ว่าตอนนี้เขาจะเป็นผู้สืบทอดสำนักเสื้อป่านแล้ว แต่ตามลำดับความอาวุโสแล้ว เขาก็ยังไม่ควรเสียมารยาทต่อหน้าจั่วเจียจวิ้นอยู่ดี

ทันทีที่ไปถึงหน้าประตูใหญ่ เยี่ยเทียนก็เห็นหลิวติงติงพาชายวัยกลางคนที่ดูแล้วน่าจะอายุเพียงสี่สิบกว่าปี คนหนึ่งเดินเข้ามา และในขณะเดียวกัน ชายคนนั้นก็มองเห็นเยี่ยเทียนแล้วเช่นกัน และทั้งสองก็ตะลึงไปพร้อมๆ กัน

ขณะที่เยี่ยเทียนสัมผัสถึงเลือดลมอันทรงพลังจากร่างของจั่วเจียจวิ้นได้ จั่วเจียจวิ้นก็รู้สึกถึง พลังยุทธ อันสูงส่งเกินหยั่งคะเนของเยี่ยเทียนได้เช่นกัน ทั้งสองจึงตาลุกวาวขึ้นมากันทั้งคู่

“เยี่ยเทียนคารวะศิษย์พี่ ได้ยินอาจารย์เอ่ยถึงชื่อของศิษย์พี่อยู่บ่อยๆ วันนี้ได้มาพบกับศิษย์พี่แล้ว ช่างสมคำร่ำลือจริงๆ เลยครับ!” เยี่ยเทียนสาวเท้าเข้าไป สองมือประสานกัน แล้วโค้งกายต่ำจนจรดพื้นเป็นการคารวะ ต่อจั่วเจียจวิ้น

ที่เยี่ยเทียนพูดมานี้ไม่ใช่แค่พูดประจบสอพลอเท่านั้น ลำพังแค่ศึกษาวรยุทธขั้นเริ่มต้นมาจากพรตเฒ่า จั่วเจียจวิ้นก็เกือบจะก้าวไปถึงระดับลมปราณสับเปลี่ยนได้แล้ว นับว่าเป็นผู้ที่มีพลังฝีมือสูงส่งที่สุดเท่าที่เยี่ยเทียนเคยเจอมาเลย

เมื่อก่อนที่ได้ยินหลี่ซั่นหยวนพูดอยู่บ่อยๆ ว่า ศิษย์อีกสองคนนั้นต่างก็เป็นผู้ที่มีพรสวรรค์เหนือกว่าคนทั่วไป เยี่ยเทียนก็ไม่ได้ใส่ใจเท่าไรนัก แต่ตอนนี้เมื่อได้พบกับจั่วเจียจวิ้น เขาก็รู้ทันทีว่าอาจารย์ไม่ได้กล่าวผิดไปเลย

ไอปราณที่แผ่ออกมาจากร่างของเยี่ยเทียนนั้น ก็ทำให้จั่วเจียจวิ้นยอมรับว่าเขาเป็นศิษย์น้องตั้งแต่แรกพบเช่นกัน จึงรีบยื่นมือไปประคองเยี่ยเทียนไว้ แล้วถามว่า “อา…อาจารย์ ท่าน…ท่านผู้เฒ่ายังอยู่รึ?”

จั่วเจียจวิ้นติดตามหลี่ซั่นหยวนเพื่อศึกษาวิชาเสี่ยงทายและภูมิลักษณ์ศาสตร์มาตั้งแต่เยาว์วัย ตอนที่อายุยี่สิบกว่าปี เนื่องจากสาเหตุทางบ้าน ทั้งครอบครัวจึงอพยพออกจากจีนแผ่นดินใหญ่ เขามีความผูกพันกับพรตเฒ่าอย่างลึกซึ้งยิ่ง ขณะที่เอ่ยถามเยี่ยเทียน น้ำเสียงก็ยังสั่นเครือไปด้วย

เยี่ยเทียนรู้สึกได้ถึงจิตใจอันบริสุทธิ์ดั่งทารกของจั่วเจียจวิ้น จึงตอบไปเสียงเครือว่า “ศิษย์พี่ อาจารย์ท่านดับขันธ์บรรลุเป็นเซียนมาได้สองปีเศษแล้ว ศิษย์น้องไร้ความสามารถ จึงไม่อาจแจ้งให้ศิษย์พี่ทราบได้น่ะครับ!”

“สองปีก่อน? แล้วทำไม ทำไมฉันถึงไปหาอาจารย์ไม่พบล่ะ!”

เมื่อได้ยินคำพูดของเยี่ยเทียน จั่วเจียจวิ้นก็นิ่งอึ้งไป จากนั้นก็ถึงกับทรุดนั่งลงไปกับพื้น แล้วเริ่มร้องไห้โฮเสียงดังลั่น ราวกับเด็กน้อย น้ำตาร่วงรินลงมาจากใบหน้าราวกับไข่มุก ไม่ได้ปิดบังความโศกเศร้าในใจตนไว้เลยแม้แต่น้อย

ตั้งแต่ช่วงต้นทศวรรษที่ 90 จั่วเจียจวิ้นก็เคยเดินทางไปตามหาอาจารย์แถวๆ มณฑลส่านซีแล้ว เมื่อการเสาะหา ไม่เป็นผลสำเร็จ ที่ผ่านมาเขาจึงเข้าใจว่าอาจารย์บรรลุเป็นเซียนไปแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินคำบอกเล่าของเยี่ยเทียน จึงอดรู้สึกเสียใจไม่ได้

……