ตอนที่ 926

Alchemy Emperor of the Divine Dao

“ข้ากะอยู่แล้วเชียว!” ในตำแหน่งที่ไกลออก หลี่เหว่ยเหว่ยสะบัดมือด้วยความตื่นเต้น นางสงสัยมานานแล้วว่าหลิงฮันจะต้องมีพลังต่อสู้ที่ยี่สิบสามดาวเป็นอย่างน้อย ด้วยความต่างของพลังต่อสู้ยี่สิบสามดาวกับยี่สิบเอ็ดดาว การที่เขาจะบดขยี้หลัวป้าจึงไม่ใช่เรื่องยาก

จื่อหยุนเอ๋อตกตะลึงอย่างมาก ในความคิดของนางพลังต่อสู้ระดับทลายมิติยี่สิบดาวก็นับว่าไร้เทียมทานแล้ว ยี่สิบเอ็ดดาวนั้นเป็นราวกับความฝันลมๆแล้งที่ไม่อาจเอื้อมถึง แต่วันนี้ไม่ใช่แค่จะมีจอมยุทธเช่นนั้นปรากฏตัวถึงสองคน แต่หนึ่งในนั้นยังถูกสังหารภายในหนึ่งฝ่ามืออีกด้วย

นี่หลิงฮันไม่ใช่จอมยุทธระดับภูผาวารีจริงๆรึ?

“ป้าเอ๋อ!” หลัวข่ายเฟิงพุ่งออกไปอย่างรวดเร็ว ใบหน้าของเขาซีดเผือดราวกับคนตาย

หลัวป้าเป็นอัจฉริยะที่แข็งแกร่งที่สุดของตระกูลหลัวในรอบร้อยปี ดังนั้นตระกูลถึงยอมมอบสมบัติล้ำค่าอย่างศิลาหยาดโลหิตให้เขาดูดซับ

แต่ตอนนี้หลัวป้ากลับถูกสังหารอย่างง่ายดายไม่ต่างอะไรกับแมลง

จะให้เขายอมรับเรื่องนี้ได้อย่างไร?

ตาของเขาเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำและกล่าว “เจ้าคนชั่ว เจ้ากล้าก่ออาชญากรรมในสำนักแห่งนี้ ข้าจะเป็นคนสั่งสอนเจ้าเอง!” หลัวข่ายเฟิงคำรามลั่นและใช้ฝ่ามือหนึ่งกระแทกเข้าใส่หลิงฮัน

นี่คือการโจมตีของจอมยุทธระดับสุริยันจันทรา แน่นอนว่าต้องทรงพลังอย่างมาก

ถ้าหลิงฮันถูกการโจมตีนี้เข้า กระดูกทั่วร่างของเขาต้องแหลกสลายแน่นอน แม้จะเป็นแร่โลหะระดับศักดิ์สิทธิ์ขั้นหนึ่งก็ไม่อาจต้านทานพลังของจอมยุทธระดับตะวันจันทราได้

“ช่างน่าไม่อาย!” หลี่เหว่ยเหว่ยกระโดดด้วยความโมโห นางอยู่ห่างเกินไปและไร้พลังที่จะหยุดอีกฝ่ายได้

จื่อหยุนเอ๋อส่งสัญญาห้ามหลีเหว่ยเหว่ยเอาไว้ “ไม่ต้องกังวล เจ้าหน้าที่ของสำนักไม่มีทางยอมให้เขาทำอะไรบ้าบิ่นแน่นอน!”

เป็นอย่างที่นางว่า เมื่อหลัวข่ายเฟิงโจมตี จางเต๋อหมานและเหว่ยเชียนฉู่ก็เคลื่อนไหวพร้อมกันเพื่อหยุดยั้งหลัวข่ายเฟิง พวกเขากล่าวพร้อมกัน “พี่ชายหลัว โปรดยั้งมือ!”

เมื่อทั้งสองคนลงมือพร้อมกัน แน่นอนว่าหลัวข่ายเฟิงย่อมไม่อาจทำอะไรได้

หลิงฮันยืนนิ่งโดยไม่รู้สึกกดดันใดๆ

ที่นี่คือในสำนัก ถ้าหลัวข่ายเฟิงลงมือสังหารศิษย์ได้ก็นับว่าเป็นเรื่องตลกแล้ว

ในสำนักแห่งนี้จะต้องมีผู้อาวุโสระดับสูงที่คอยซ่อนตัวอยู่ในเงามือเพื่อสอดส่องดูแลสำนักอย่างลับๆ พวกเขาสามารถลงมือได้แม้ว่าจะไม่ปรากฏตัวออกมาให้เห็น

หลิงฮันหยิบผลึกก่อเกิดร้อยก้อนที่เป็นเงินพนันของเขาขึ้นมาจากพื้น

โชคร้ายที่ร่างอันไร้ชีวิตของหลัวป้าไม่อาจนำไปได้ด้วย ไม่เช่นนั้นในแหวนมิติของอีกฝ่ายคงมีของดีใส่เอาไว้มากเป็นแน่

“เจ้าหนูนั่นสังหารคนของตระกูลหลัวของข้า จะให้ข้าปล่อยเขาไปอย่างนั้นรึ?” หลัวข่ายเฟิงยิ้มอย่างเหี้ยมโหดแม้เขาจะรู้ว่าเขาไม่สามารถสังหารหลิงฮันอยู่แล้วก็ตาม

จางเต๋อหมานเค้นเสียงกล่าว “นี่คือการประลองเป็นตายที่ทั้งสองคนตกลงกันเอาไว้แล้ว ถ้าคนของเจ้าตาย เจ้าก็ต้องโทษคนของเจ้าที่อ่อนแอกว่าเอง”

“แต่เรื่องนี้มันต่างออกไป!” หลัวข่างเฟินส่ายหัว “ก่อนหน้านี้ข้าได้ยินชัดเจนว่าหลัวป้ากล่าวยอมแพ้แล้ว แต่เจ้าวายร้ายนั่นกลับไม่สนใจและแสร้งทำเป็นใช้กฎของการประลองเป็นตายสังหารเขา”

บัดซบ!

เมื่อได้ยินหลัวข่ายเฟิงกล่าวเช่นนั้นทุกคนก็สาปแช่งในใจทันที พวกเขาไม่เคยเห็นใครที่หน้าด้านเช่นนี้มาก่อน! จอมยุทธที่เป็นถึงระดับสุริยันจันทราทำไมถึงได้ทำตัวไร้ยางอายเยี่ยงนี้?

“งั้นทำไมข้าถึงไม่ได้ยิน?” จางเต๋อหมานกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์

“นั่นก็คงโทษได้เพียงว่าพลังบ่มเพาะของน้องจางนั้นยังอ่อนด้อยไปเล็กน้อย” หลัวข่ายเฟิงหัวเราะและมองไปยังเหว่ยเชียนฉู่ก่อนจะหรี่ตา “น้องชายเหว่ย เจ้าก็คงได้ยินเหมือนข้าใช่หรือไม่?”

เหว่ยเชียนฉู่ตกตะลึง เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายกำลังข่มขู่เขาอยู่

ถ้าเขาไม่เชื่อฟังตระกูลหลัวล่ะก็ เพียงแค่ตัวเขาคนเดียวคงไม่หวาดกลัวอะไร แต่ถึงแม้เขาจะไม่มีพื้นพลังที่ทรงอำนาจและบ่มเพาะพลังมาถึงระดับนี้ได้ด้วยตัวเองก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะไม่มีครอบครัวและทายาท

จอมยุทธจากโลกใบเล็กกับครอบครัวของเขา อะไรจะสำคัญกว่ากัน?

เหว่ยเชียนฉู่ถอนหายใจในใจและกล่าว “ดูเหมือนว่าข้าจะได้ยินหลัวป้าพูดยอมแพ้จริงๆ”

จางเต๋อหมานเกรี้ยวกราดทันที นี่มันจะน่าไม่อายเกินไปแล้ว! แต่เขาก็พอเข้าใจหัวอกของเหว่ยเชียนฉู่ที่เป็นจอมยุทธที่ไม่มีพื้นเพใดๆคอยสนับสนุน เขารู้ดีว่าตระกูลหลัวสามารถเปลี่ยนขาวให้เป็นดำได้

“หลัวข่ายเฟิง เจ้าไม่กลัวว่าการกระทำของเจ้าจะเป็นตราบาปติดตัวจนนอนไม่หลับหรอกรึ?” จางเต๋อหมานกล่าว

หลิงฮันยังคงนิ่งเฉย ตระกูลหลัวจะมีอำนาจถึงขนาดทำทุกอย่างในสำนักได้รึไง?

เหว่ยเชียนฉู่รู้สึกอับอายมาก ทำไมหลัวข่ายเฟิงผู้นี้ต้องลากเขาเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย! แต่ในเมื่อเขาเล่นตามน้ำไปแล้วก็ไม่มีทางย้อนเวลาไปแก้ไขได้

เขากัดฟันแน่น ในขณะที่เขากำลังจะกล่าวอะไรบางอย่าง เงาสีขาวเงาหนึ่งก็แวบบผ่านเข้ามาในสายตา ทันใดนั้นบนไหล่ของหลิงฮันก็ปรากฏแมวอ้วนสีขาว

แมวไม่ใช่สิ่งมีชีวิตที่แปลกประหลาด ผู้คนในเมืองจักรพรรดิเองก็เลี้ยงสัตว์อสูรจำพวกเสือเอาไว้เช่นกัน อย่างเช่นพยัคฆ์เพลิงฟ้าคราม สัตว์อสูรที่ถูกเลี้ยงบางตัวมีพลังบ่มเพาะถึงระดับภูผาวารีด้วยซ้ำ ส่วนแมวตัวนี้มีพลังบ่มเพาะเพียงระดับทลายมิติเท่านั้น

แต่ประเด็นก็คือทุกคนในสำนักรู้ว่ามีแมวอยู่ตัวหนึ่งที่ห้ามไปล่วงเกิน

หลัวข่ายเฟิงเองก็ชะงักไปเช่นกัน แน่นอนว่าเขารู้ว่าเจ้าสำนักเลี้ยงแมวไว้ตัวหนึ่ง ใครก็ตามที่ทำอะไรแมวตัวนั้นเจ้าสำนักจะลงมือลงโทษด้วยตัวเอง แล้วการที่แมวตัวนี้นั่งอยู่บนไหล่หลิงฮันหมายความว่าอย่างไร?

หลัวข่ายเฟิงรู้สึกเย็นยะเยือก ถ้าหากหลิงฮันมีจอมยุทธระดับดาราอยู่เบื้องหลังล่ะก็ ตระกูลหลัวย่อมไม่มีอำนาจพอจะแตะต้องเขาแม้แต่ปลายเล็บ

“เมี๊ยว!’ แมวอ้วนขาวสายตามองด้วยความไม่พอใจราวกับจะบอกว่า ข้าหิวแล้ว ทำไมพวกเจ้ายังไม่ปล่อยให้หลิงฮันไปเตรียมอาหารให้ข้าอีก?

หลิงฮันยิ้มและกล่าว “เจ้าแมวอ้วน ไว้เจ้าค่อยตามข้ามาทีหลัง ข้าจะเตรียมเนื้อให้เจ้าจนอิ่มเลย!”

“เมี๊ยว!” เจ้าแมวอ้วนขาวพยักหน้า

สัตว์อสูรระดับทลายมิตินั้นเริ่มจะมีสติปัญญาแล้ว การที่แมวอ้วนขาวจะพูดจาโต้ตอบกับมนุษย์ได้จึงไม่ใช่เรื่องแปลก

“เจ้าแมว มาตรงนี้เถอะ ข้าเองก็มีอาหารอร่อยๆให้เจ้า” หลัวข่ายเฟิงรีบกล่าว ในเมื่อหลิงฮันสามารถใช้อาหารล่อแมวปีศาจนี้ได้ ทำไมเขาจะทำไม่ได้?

เจ้าแมวขาวเกรี้ยวกราดขึ้นมาทันที คิดว่าข้าเป็นแมวตะกละหรือไง?