กู้ชูหน่วนสตรีอัปลักษณ์ บทที่ 1136 ดูเหมือนว่าจะเปลี่ยนไป
กู้ชูหน่วนกล่าวออกมาอย่างนุ่มนวล “ไม่มีใครไม่ยอมรับเจ้า”
“คนที่ปฏิบัติต่อข้าด้วยความเมตตา ข้าจะไม่มีวันลืมเขาเป็นอันขาด ส่วนคนที่กลั่นแกล้งข้า ข้าสาบานว่าจะแก้แค้นจนถึงที่สุด ก่อนหน้านี้ข้าเป็นคนจิตใจดีมาโดยตลอด คิดว่าขอแค่คิดดี สักวันคงจะได้เห็นแสงสว่าง แต่ข้า ข้าได้อะไรกลับมาบ้าง?”
“หลังจากนี้ข้าจะไม่พึ่งพาโชคชะตาอีกต่อไป ข้าจะพึ่งพาแต่คนเองเท่านั้น ปกป้องตนเอง ปกป้องคนที่ตนเองรัก คนที่เคยทำร้ายข้า ทำให้ข้าต้องอับอาย ข้าจะไม่ปล่อยพวกเขาไปแม้แต่คนเดียว”
แววตาของเยี่ยเฟิงเต็มไปด้วยความเกลียดชังทำให้กู้ชูหน่วนรู้สึกว่าตนเองเป็นคนแปลกหน้า
โดยเฉพาะรัศมีอันเยือกเย็นบนร่างกายของเขา มันทำให้นางสั่นเทาอย่างไร้เหตุผล
“ลั่วอิ่ง……”
เห็นว่านางสังเกตเห็นถึงความผิดปกติบางอย่าง เยี่ยเฟิงจึงรีบเก็บความคิดของเขาทันที
หากเมื่อครู่กู้ชูหน่วนสัมผัสถึงเรื่องราวและอารมณ์ทั้งหมดไม่ได้ นางคงคิดว่าทั้งหมดเป็นเพียงภาพลวงตา
รอยยิ้มอันอ่อนโยนปรากฏขึ้นบนหางตาของเยี่ยเฟิง
“เจ้าดีกับข้าถึงขนาดนี้ ชาตินี้ข้าไม่มีวันลืมเจ้าเป็นอันขาด”
“ลั่วอิ่ง เวลานี้พวกเรากลับมายังดินแดนเยี่ยอวี่แล้ว เจ้าไม่จำเป็นต้องแอบปกป้องข้าอีกต่อไป รัฐฉู่เป็นบ้านของเจ้า เจ้าควรจะกลับไปและใช้ชีวิตของตนเองให้มีความสุข”
คนข้างกายไม่ยอมตอบกลับมา กู้ชูหน่วนคิดว่านางอาจจะไปสะกิดความทรงจำอันโหดร้ายของเขาขึ้นมาก็ได้
นางจึงอดไม่ได้ที่จะปลอบโยนออกมา “จักรพรรดิและฮองเฮาของรัฐฉู่นั้นมีจิตใจเมตตา การตายของเยี่ยเฟิงถือเป็นบาดแผลอันเจ็บปวดที่ฝังลึกอยู่ในใจของพวกเขาไม่มีวันเสื่อมคลาย ข้าคิดว่า หากพวกเขายังมีชีวิตอยู่ ความปรารถนาสูงสุดของพวกเขาก็น่าจะหวังให้เจ้าปลดปล่อยพันธนาการแห่งความเศร้าเหล่านี้ไปได้ และใช้ชีวิตอย่างมีความสุข”
ความเจ็บปวดปรากฏขึ้นตรงหางตาของเยี่ยเฟิง มือขวาของเขากุมไว้ตรงหน้าอกอย่างไม่รู้ตัว
“ข้าเป็นคนอกตัญญู ไม่สามารถปกป้องพวกเขาได้ และไม่มีโอกาสที่จะปรนนิบัติรับใช้พวกเขา”
“ดังนั้น เจ้าจงมีชีวิตอยู่ให้ดีเพื่อตอบแทนความปรารถนาของพวกเขา ข้ารับปากกับเยี่ยเฟิงว่าจะปกป้องจักรพรรดิและฮองเฮาแห่งรัฐฉู่ แต่ข้าไม่อาจทำตามคำสัญญาได้ แม้ว่าจักรพรรดิและฮองเฮาแห่งรัฐฉู่จะไม่ได้บอกให้ข้าปกป้องเจ้า แต่ข้าเข้าใจว่าพวกเขาเป็นห่วงเจ้ามากที่สุด หาก……หากเยี่ยเฟิงยังมีชีวิตอยู่ เขาเองก็คงอยากให้เจ้ามีชีวิตอยู่อย่างมีความสุข”
เยี่ยเฟิงจ้องมองกู้ชูหน่วนอย่างแน่วแน่ ไม่อยากพลาดโอกาสจากความรู้สึกของนาง จึงถามออกมาด้วยความกังวล “เจ้า……เจ้าไม่รังเกียจเยี่ยเฟิงจริง ๆ อย่างนั้นหรือ?”
“เหตุใดข้าต้องรังเกียจเขา? เขาเติบโตในโคลนแต่กลับไม่ถูกเจือปน ถูกขังอยู่ในเผ่าปีศาจมาหลานปี แต่กลับรักษาสภาพจิตใจรวมถึงความตั้งใจเดิมไว้ได้ คนที่สมบูรณ์แบบและมีชีวิตอันศักดิ์สิทธิ์เช่นนี้จะหาได้ที่ไหนอีก?”
“แต่เขาไม่บริสุทธิ์……สกปรก……สกปรกที่สุด”
กู้ชูหน่วนมองไปที่เยี่ยเฟิงด้วยความสงสัย ในดวงตาของนางมีร่องรอยของคำถามเกิดขึ้น
เยี่ยเฟิงเบือนหน้าหนี
จากนั้นเปลี่ยนเรื่องคุย “เขากลัวว่าเจ้าจะรังเกียจเขา”
“พวกเราไม่ต้องพูดถึงเรื่องพวกนั้นแล้ว นี่ก็ดึกมากแล้ว เจ้ารีบกลับไปพักผ่อนเถิด พรุ่งนี้ค่อยเดินทางกลับบ้าน”
“กลับบ้าน? เผ่าหยกงั้นหรือ?”
กู้ชูหน่วนทำให้เขาตัวสั่น จากนั้นพูดออกมาด้วยรอยยิ้มว่า “คิดอะไรของเจ้า ข้าหมายถึงจะกลับไปยังแคว้นฉู่ของเจ้า”
“เจ้าอยู่ที่ไหน ข้าก็จะอยู่ที่นั่น บนโลกใบนี้ คนที่ข้าใส่ใจเหลือเพียงแค่เจ้าเท่านั้น ข้าแค่อยากติดตามอยู่ข้างกายของเจ้าต่อไป ปกป้องเจ้าไปจนชั่วชีวิต ไม่ว่าจะเป็นเพียงแค่องครักษ์ผู้ต้อยต่ำก็ไม่เป็นไร”
ยังมีเซี่ยวอวี่เซวียน……
นางกับเซี่ยวอวี่เซวียนเป็นเพียงคนสนิทที่เหลืออยู่เพียงสองคนของเขาในโลกใบนี้
เขาสามารถทำร้ายหรือสังหารใครก็ได้ ยกเว้นสองคนนี้เท่านั้น
“ข้ามีฝูกวงอยู่ เจ้าไม่จำเป็นต้องมาปกป้องข้า”
“เจ้า……เจ้ากำลังไล่ข้าอยู่ใช่ไหม?”
“หากเจ้าไม่อยากไป ข้าก็ไม่มีทางไล่เจ้าไปเป็นอันขาด เพียงแต่……”
“เช่นนั้นข้าจะอยู่เคียงข้างเจ้า ไม่ไปไหนทั้งนั้น”
“ลั่วอิ่ง ดูเหมือนว่าคืนนี้เจ้าไปแปลกไป”
“แปลกตรงไหน?”
“บอกไม่ถูกเหมือนกัน อาจเป็นเพราะ……เจ้าพูดมากกว่าเมื่อก่อนก็ได้”
หรือว่าอาจเป็นเพราะรัศมีแปลก ๆ บนร่างกายของเขาที่ทำให้นางรู้สึกหวาดกลัวเล็กน้อย
เยี่ยเฟิงตกอยู่ในความเงียบงัน
กู้ชูหน่วนตบไหล่ของเขา จากนั้นเดินกลับไปที่ห้อง
เมื่อประตูห้องปิดลง คิ้วของกู้ชูหน่วนก็ขมวดขึ้นมาทันที
ตะโกนออกมาเบา ๆ “ฝูกวง”
เงาสีดำผ่านมาราวกับสายฟ้า ฝูกวงปรากฏตัว
“นายท่าน ท่านเรียกข้าหรือขอรับ”
“ลั่วอิ่งเล่า?”
ฝูกวงมองออกไปนอกหน้าต่าง เขามองเห็นเงาของลั่วอิ่งที่อยู่ด้านนอกอย่างไม่ชัดเจน
ฝูกวงส่ายหน้า พูดออกมาอย่างไม่เข้าใจ “ลั่วอิ่งก็อยู่ด้านนอกไม่ใช่หรือ?”
“ช่วงนี้ลั่วอิ่งมีอะไรแปลกไปหรือเปล่า?”
“ไม่มีขอรับ เขาอยู่กับข้าตลอดเวลา หลังจากมาถึงตำหนักหลังนี้ ข้ากับเขาก็แบ่งลูกน้องออกเป็นสองกลุ่ม คอยปกป้องนายท่านในช่วงเช้าและค่ำ นายท่าน ความหมายของท่านก็คือ ลั่วอิ่งเป็นตัวปลอมอย่างนั้นหรือ?”
“ข้าเองก็ไม่รู้ บนร่างกายของเขาไม่มีความรู้สึกของการเป็นศัตรูอยู่เลย แต่เขาดูกังวลเป็นอย่างมาก บางทีอาจจะเป็นเพราะมีอะไรบางอย่างถูกเก็บไว้ในใจของเขานานเกินไป ช่วงนี้เจ้าช่วยจับตาดูท่าทีของลั่วอิ่งให้ข้าด้วย”
“ขอรับ ข้าน้อยรับคำสั่ง”
เงาสีดำหายไป ฝูกวงหายไปอย่างไร้ร่องรอย แม้แต่ลั่วอิ่งที่อยู่นอกหน้าต่างเองก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย
มือขวาของกู้ชูหน่วนเคาะโต๊ะเบา ๆ นึกถึงท่าทีที่ผิดปกติของลั่วอิ่งเมื่อครู่
หากไม่ใช่เพราะไม่มีความอาฆาตปรากฏออกมาจากร่างกายของเขา พร้อมกับความกังวลในดวงตาที่ไม่อาจแก้ไข รวมถึง……ร่องรอยที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลงบนใบหน้า นางคงคิดว่าลั่วอิ่งเป็นคนอื่นที่ปลอมตัวมา
วันรุ่งขึ้น
กู้ชูหน่วนตื่นขึ้นมา หลังจากทานอาหารเช้าเสร็จก็รีบเดินทางเข้าไปยังด้านในของเมืองหลวง
ด้านนอกของเมืองหลวงถูกปกคลุมไปด้วยกองทัพอันหนาแน่นของรัฐฉู่
สามารถกล่าวได้ว่าเท่าทั้งเมืองหลวงถูกกองทัพของรัฐฉู่ล้อมไว้หมดแล้ว
แต่ไม่รู้ว่าเพราะอะไร ทำไมรัฐฉู่ถึงไม่ยอมบุกเข้าไปในเมือง
เยี่ยเฟิงกล่าวออกมา “เจ้าอยากจะเข้าไปในเมือง?”
“กองทัพของรัฐฉู่ล้อมไว้โดยสมบูรณ์ เกรงว่าหากต้องการเข้าไปคงต้องใช้ความพยายามอย่างมาก”
“หากเจ้าอยากเข้าไป ข้าจะเป็นคนเปิดทางให้เจ้าเอง”
กู้ชูหน่วนดึงเขากลับมาทันที
“เจ้าบ้าไปแล้วหรือไง กองทัพแห่งรัฐฉู่รู้จักเจ้ากันทุกคน เจ้าอยากตายอย่างนั้นหรือ?”
กู้ชูหน่วนชี้ไปยังมือธนูที่ซ่อนตัวอยู่ในที่ลับ รวมถึงยอดฝีมือของกองทัพฉู่ที่แฝงตัวอยู่รอบ ๆ เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการลงมือ
กองทัพฉู่ซ่อนยอดฝีมือไว้มากมายถึงเพียงนี้ เห็นได้ชัดว่าพวกเขาต้องการจับปลาตัวใหญ่
หากออกไปในเวลานี้ มันไม่เท่ากับว่าติดกับของพวกเขาอย่างนั้นหรือ
เยี่ยเฟิงยิ้มออกมาที่หางตา มันเป็นความอ่อนโยนที่ไม่อาจอธิบายได้
ดูเหมือนว่าเขาพอใจเป็นอย่างมากที่กู้ชูหน่วนเป็นห่วงเขา
“ข้ามีเส้นทางลับอยู่ทางหนึ่ง ข้าจะเป็นคนพาเจ้าเข้าไป”
พูดจบกู้ชูหน่วนก็จูงมือของลั่วอิ่งเดินตามเส้นทางเล็ก ๆ อีกเส้นหนึ่งไป หลังจากเลี้ยวและอ้อมสิ่งต่าง ๆ อยู่หลายครั้ง สุดท้ายพวกเขาก็กระโดดลงไปในบ่อที่ถูกทิ้งร้าง
กลไกด้านในของก้นบ่อถูกเปิดโดยใช้งานโดยกู้ชูหน่วน จากนั้นทั้งสองก็เดินเข้าไปในอุโมงค์มืด
กู้ชูหน่วนจุดไฟขึ้นมา เพื่อเป็นการเปิดทาง จากนั้นกล่าวออกมาว่า “ไม่ต้องกลัว ตามข้ามาก็พอแล้ว”
“ข้าไม่ได้กลัว”
ขอแค่ได้อยู่กับนาง ต่อให้ต้องบุกน้ำลุยไฟ เขาก็ไม่กลัว
ช่าง……ช่างหวานเหมือนน้ำตาล
“เจ้ารู้จักเส้นทางนี้ได้อย่างไร?”
“อดีตผู้นำของเผ่าหยกเคยขุดมันไว้ คิดไม่ถึงว่าจะมีประโยชน์ในเวลานี้”
“อ่า……”
“ผู้อาวุโสหกแค่ได้เห็นเหล่าก็เก็บความลับไว้ไม่อยู่ ทำให้ต้องลำบากฝูกวงในการพาเขากลับไปพร้อมกับทหารของเผ่าหยก สองสามวันหลังจากนี้ ข้าคงทำได้เพียงพึ่งพาเจ้า”
“คุณหนู……นายท่านล้อเล่นอะไรกัน ได้อยู่เคียงข้างท่าน ถือเป็นความโชคดีของข้า ข้าจะลำบากได้อย่างไร เพียงแต่……”
เยี่ยเฟิงผงะเล็กน้อย จากนั้นถึงกล่าวออกมาว่า “เจ้าอยากช่วยรัฐเยี่ยอย่างนั้นหรือ?”
“เจ้าพูดเรื่องอะไรของเจ้า หากข้าไม่ต้องการช่วยรัฐเยี่ย เช่นนั้นข้าจะกลับมาเมืองหลวงเพื่ออะไร”
“ใช่ เจ้าเป็นองค์หญิงของรัฐเยี่ย รัฐเยี่ย……ก็เหมือนเป็นของเจ้าครึ่งหนึ่ง”
หัวใจของเยี่ยเฟิงถูกปิดกั้นเล็กน้อย
แม้จะบอกว่าเยี่ยจิ่งหานสร้างกับดักและกลไกไว้นอกเมืองมากมาย แต่การทำลายมันก็ขึ้นอยู่กับเวลาเท่านั้น
ที่เขาไม่ยกทัพบุกโจมตีเข้ามาในเมืองหลวง นั้นก็เป็นเพราะว่านางเองก็เป็นองค์หญิงของรัฐเยี่ย
เขากลัวว่าหลังจากที่นางกลับมา เห็นรัฐเยี่ยถูกทำลาย นางอาจจะรู้สึกไม่สบายใจและโทษว่าเป็นความผิดของเขา
แต่ทุกคนที่เยี่ยจิ่งหานห่วงใย ทุกพื้นที่ซึ่งเป็นอาณาเขตของเขา นอกจากกู้ชูหน่วน เยี่ยเฟิงไม่คิดจะปล่อยใครไปแม้แต่คนเดียว
ท่ามกลางความลังเลใจ เขาเลือกที่จะส่งกองกำลังไปล้อมเมืองหลวงของรัฐเยี่ย และไม่ได้บุกเข้าโจมตีเป็นเวลานาน