บทที่ 682 เหลวไหล

บัลลังก์พญาหงส์

ไทเฮาจากไปกะทันหัน สำหรับคนบางจำพวกถือว่าภูเขาลูกใหญ่ได้ถูกย้ายออกไปแล้ว อย่างเช่นฮ่องเต้ ฮองเฮา แล้วยังมีกู้ซี ตอนแรกยังไม่ค่อยเปลี่ยนแปลงอะไร แต่หลังจากไทเฮาสิ้นพระชนม์ไปประมาณหนึ่งเดือน คนพวกนี้ก็เริ่มอยู่ไม่สุข

 

 

ฮ่องเต้เป็นคนเคลื่อนไหวก่อนคนแรก ไม่มีไทเฮาคอยกดดัน ครั้งนี้เขาเฉพาะเจาะจงเรียกชื่อของฮองเฮาขึ้นมาทันที ให้ฮองเฮาเป็นคนจัดงานเลื่อนขั้นหวงกุ้ยเฟย และในขณะเดียวกันก็ให้คำสัญญาว่าหากฮองเฮาจัดงานได้ดี ไม่เพียงมอบสิทธิ์ดูแลกิจในวัง แต่ยังเปิดใจมีเมตตากับทางตระกูลหวังด้วย

 

 

ส่วนถาวจวินหลันรู้เรื่องนี้ได้อย่างไร ก็เพราะกู้ซีบอกนางด้วยตนเอง

 

 

และที่นางได้พบหน้ากับกู้ซี ก็เป็นเพราะว่าไปไหว้รำลึกไทเฮาที่วังหย่งโซ่ว กู้ซีเหมือนรู้อยู่แล้วว่านางจะต้องไปเพื่อไหว้รำลึกไทเฮา จึงมารออยู่นานแล้ว

 

 

ถาวจวินหลันเพิ่งเข้าไป ก็สังเกตเห็นกู้ซีทันที

 

 

กู้ซีสวมชุดสีขาวปลอดทั้งตัว ยืนหันหลังให้นาง ลมเย็นหนาวเหน็บในฤดูหนาวพัดจนชายกระโปรงของกู้ซีปลิวสะบัด ยิ่งขับให้ดูงดงามและเย็นชา

 

 

จากนั้นกู้ซีก็หันหน้ากลับมา ยิ้มให้ถาวจวินหลันน้อยๆ จะต้องพูดว่ากู้ซีดูสวยกว่าแต่ก่อน จนนึกถึงประโยคที่ว่า ‘หญิงจะสวยต้องสวมชุดไว้ทุกข์’ ขึ้นมาอย่างน่าประหลาด

 

 

กู้ซีที่สวมสีชุดสีขาวสะอาด นดูงดงามสะกดสายตา แต่สวยงามบริสุทธิ์แล้วมีประโยชน์อะไรกัน? หัวใจดวงนั้นยังดำมืดเหมือนเดิมมิใช่หรือ จิตใจดั่งอสรพิษ?

 

 

ในเสี้ยววินาทีนั้น ถาวจวินหลันคิดว่า ทำไมถึงได้บังเอิญพบที่นี่? เพราะโลกกลมอย่างนั้นหรือ?

 

 

แต่แม้จะบอกว่ากู้ซียิ้มแย้มต้อนรับ แล้วยิ่งหมายถึงประโยคที่พูดกันมาตั้งแต่โบราณจนถึงตอนนี้ที่ว่ามือสังหารไม่ทำร้ายคนหน้ายิ้ม ถาวจวินหลันกลับไม่สนใจกู้ซี เดินตรงไปข้างใน ปฏิบัติกับกู้ซีเหมือนอากาศธาตุ

 

 

รอยยิ้มของกู้ซีแข็งค้างอยู่บนใบหน้า ผ่านไปครู่ใหญ่ถึงได้หุบยิ้ม พูดด้วยหน้าตาเย็นชา “ข้ามีเรื่องอยากพูดกับพระชายาองค์รัชทายาท ไม่ทราบว่าอยากฟังหรือไม่”

 

 

ถาวจวินหลันยังคงไม่ใส่ใจ

 

 

สุดท้ายกู้ซีก็พูดแผนของฮ่องเต้ออกมาจริงๆ

 

 

แม้ถาวจวินหลันตื่นตะลึง แต่ไม่แสดงออกทางสีหน้าแม้แต่น้อย มองดูท่าทีลำพองใจของกู้ซี นางตอบกลับไปเพียงเล็กน้อย “เช่นนั้นก็มาดูกัน สุดท้ายแล้วเรื่องนี้จะสำเร็จหรือไม่”

 

 

ตอนที่ถาวจวินหลันพูดออกมา ใบหน้าเต็มไปด้วยความดูถูกและไม่แยแส

 

 

กู้ซีเห็นท่าทีเช่นนี้ของถาวจวินหลันก็ให้โมโห นางสูดลมหายใจลึก ก่อนพ่นลมหายใจออกมา พยายามสงบใจสงบอารมณ์ สุดท้ายถึงได้แค่นหัวเราะ “เช่นนั้นข้าจะพนันกับพระชายาองค์รัชทายาทสักครั้ง”

 

 

ถาวจวินหลันยิ้มน้อยๆ ดวงตาหรี่ลงมา เหมือนได้ยินเรื่องน่าขบขันอย่างมาก “หากท่านไม่กลัวแพ้จนน่าอนาถเกินไป”

 

 

ถาวจวินหลันเอ่ยด้วยท่าทางมั่นใจเป็นยิ่ง เพียงดูจากการวางท่าก็ข่มกู้ซีไปได้มากแล้ว ที่สำคัญที่สุดก็คือนางไม่ให้โอกาสกู้ซีพูดอีก จึงเร่งฝีเท้าเดินออกไปทันที

 

 

ถาวจวินหลันแม้จะไม่ได้หันกลับไป แต่หงหลัวคอยจับตาดูความเคลื่อนไหวของกู้ซีอยู่ตลอด พอกู้ซีออกแรงกระทืบเท้าอย่างโมโหแล้ว หงหลัวก็รีบมาเล่าสถานการณ์ให้ถาวจวินหลันฟังอย่างรวดเร็ว

 

 

ถาวจวินหลันหัวเราะเย้ย ‘สมน้ำหน้าแล้ว’ นางจงใจทำให้กู้ซีโมโห กู้ซีจงใจมาอวดอ้าง ไฉนเลยนางจะดูไม่ออก? ดังนั้นนางจึงจงใจเย็นชากลับไป ทั้งยังใช้ภาษายั่วยุ ก็เพื่อยั่วโมโหกู้ซี

 

 

ไม่รู้ว่ากู้ซีผิดหวังมากเพียงใด แต่เดิมอยากทำให้นางไม่พอใจ ใครจะรู้ว่าตนเองจะไม่พอใจแทน

 

 

แต่นางก็ยังเหมือนเดิม ‘สมน้ำหน้า’

 

 

หลังจากไหว้รำลึกไทเฮาเสร็จ ถาวจวินหลันก็ไม่ได้รีบร้อนกลับไป แต่นั่งพูดคุยกับไทเฮาตรงนั้น พูดไปแล้วก็น่าแปลก นางเคยฝันเห็นไทเฮาก่อนสิ้นพระชนม์ แต่หลังจากนั้นนางก็ไม่ฝันเห็นไทเฮาอีกเลย

 

 

ที่จริงแล้ว นางยังหวังว่าจะฝันเห็นไทเฮาสักครั้ง เพราะนางอยากให้ไทเฮามาบอกนาง ตอนนี้แผนการที่นางคิดเอาไว้แท้จริงแล้วสมควรทำหรือไม่

 

 

นางอยู่กับไทเฮากว่าครึ่งชั่วยาม ตอนที่นางเตรียมตัวจะกลับ หลี่เย่ก็มาพอดี

 

 

หลี่เย่ไหว้รำลึกไทเฮาเสร็จก็หน้านิ่วคิ้วขมวดใส่ถาวจวินหลัน “ตั้งท้องอยู่จะมาวิ่งมั่วซั่วเช่นนี้ทำไม? ก่อนหน้านี้ยังเหนื่อยไม่พอหรือ?”

 

 

ถาวจวินหลันยิ้ม “วันนี้เป็นวันคล้ายวันประสูติของไทเฮา หม่อมฉันจึงอยากมาหาไทเฮา จุดธูปให้พระองค์พคะ”

 

 

“ไทเฮารู้ว่าร่างกายของเจ้าเป็นอย่างไร ไฉนจะโทษเจ้าได้?” หลี่เย่เองก็รู้ว่าถาวจวินหลันเคารพไทเฮา แต่ก็อดตำหนิอย่างหนักไม่ได้ “ตอนนี้เจ้าสำคัญที่สุด ไปกลับระยะทางไกลขนาดนี้ สุดท้ายแล้วก็พบเจออันตรายได้ง่ายนัก อย่างไรนี่ก็ไม่ใช่จวนตวนชินอ๋อง แต่เป็นวังหลัง”

 

 

ถาวจวินหลันเข้าใจเรื่องที่หลี่เย่ตั้งใจบอก กลัวว่านางจะถูกคนขัดขาเอาเท่านั้นเอง แต่นางเห็นเขาเป็นห่วงก็รู้สึกสุขใจ ตอนนั้นจึงไม่ได้พูดอะไรออกไป เพียงแค่บอกว่า “หม่อมฉันจะระวังอย่างดีเพคะ”

 

 

หลังออกมาจากวังหย่งโซ่ว ถาวจวินหลันก็เล่าเรื่องที่วันนี้บังเอิญเจอกู้ซีให้ฟัง จากนั้นก็พูดว่า “กู้ซีเปลี่ยนไปมากจริงๆ เพคะ”

 

 

“อืม” หลี่เย่ส่งเสียงตอบรับอย่างขอไปที ใบหน้าดูมีเรื่องมากมายให้คิด สุดท้ายผ่านไปครู่ใหญ่ถึงพูดว่า “เรื่องนี้จะสำเร็จได้อย่างไร?”

 

 

ถาวจวินหลันพยักหน้า แม้เห็นหลี่เย่ดูเหม่อลอย แต่นางก็พยายามไม่ถามออกมา เพียงแค่พูดเรื่องเดิม “จะสำเร็จได้อย่างไรเพคะ? เพียงคิดเพ้อฝันไปเท่านั้น”

 

 

ทั้งสองคนกลับมาถึงวังตวนเปิ่น เมื่อถึงเวลาอาหารเย็น หลังจากหลี่เย่ทานอาหารเสร็จแล้ว เขาถึงพูดกับถาวจวินหลันว่า “หลายวันมานี้ ฮองเฮาก็กำลังเคลื่อนไหวเช่นกัน”

 

 

ถาวจวินหลันกำลังจัดการกับชุดที่หมิงจูเคยใส่ตอนเป็นเด็ก ได้ยินเช่นนั้นก็นิ่งอึ้งไป “ฮองเฮาทำไมหรือเพคะ?” แม้ปากจะเอ่ยถามแต่งานในมือก็ไม่ได้ช้าลงแม้แต่น้อย

 

 

“ฮองเฮาคิดจะแก้แผ่นหยกบันทึกของอู่อ๋อง” หลี่เย่หยิบถุงหอมถุงหนึ่งขึ้นมาเล่น เปิดออกดูดอกไม้หอมภายในถุง แล้วถึงมัดกลับเข้าไปเหมือนเดิมช้าๆ ท่าทางดูผ่อนคลายอยู่มาก

 

 

แต่ถาวจวินหลันเพียงแค่มองหลี่เย่ที่ขมวดคิ้วอยู่น้อยๆ เห็นชัดว่าหลี่เย่ไม่ได้เพิกเฉยเหมือนที่แสดงออก อย่างน้อยก็ยังกังวลอยู่บ้าง

 

 

ถาวจวินหลันคิดถึงจิ้งเฟยที่ช่วงนี้อารมณ์ไม่ค่อยดีนัก แล้วก็เข้าใจทุกอย่างโดยพลัน เห็นชัดว่าที่จิ้งเฟยอึดอัดไม่พอใจนั้นย่อมเป็นเพราะสิ่งที่หลี่เย่พูดออกมา แต่เรื่องนี้แต่เดิมควรจะถูกเสนอมาก่อนหน้านี้นานแล้ว แต่เพราะพิธีศพของไทเฮาทำให้เรื่องนี้ล่าช้าออกไปมาก

 

 

“เกรงว่าจิ้งเฟยคงไม่เห็นด้วยกับเรื่องนี้กระมัง” ถาวจวินหลันเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย

 

 

หลี่เย่พยักหน้า “ย่อมไม่เห็นด้วยเป็นแน่ แต่เรื่องนี้ไม่ถึงคราวให้จิ้งเฟยตัดสินใจ”

 

 

“เช่นนั้นพระองค์คิดจะทำเช่นไรเพคะ?”ถาวจวินหลันเองก็คิดวิธีอื่นไม่ออก ทำได้แค่ถามหลี่เย่ว่าคิดจะจัดการเรื่องนี้อย่างไร แน่นอนว่าพูดตามความคิดของนางแล้ว นางปล่อยให้เรื่องนี้สำเร็จไม่ได้ มิเช่นนั้นก็จะมีปัญหาตามมาไม่ขาดเช่นเดียวกัน

 

 

หลี่เย่เห็นตรงกับของถาวจวินหลันอย่างน่าตกใจ “ย่อมปล่อยไปไม่ได้”

 

 

ทั้งสองคนปรึกษาเรื่องนี้กันอยู่พักใหญ่ ก็คิดได้หนึ่งวิธี แม้จะบอกว่าดูเจ้าเล่ห์ไปหน่อย แต่ก็ยังเป็นวิธีที่ทั้งประหยัดเวลาและประหยัดแรง นั่นคือไปบอกจวงอ๋อง

 

 

จวงอ๋องเองก็ยังตัดใจจากตำแหน่งฮ่องเต้ไม่ได้ ก่อนหน้านี้ฮองเฮาสนับสนุนอู่อ๋องไม่ใช่เขา ทำให้เขาเคียดแค้นฮองเฮา ตอนนี้พอได้รู้เรื่องนี้จะต้องคิดหาวิธีทำลายเรื่องนี้ให้ได้เป็นแน่

 

 

มีคำกล่าวที่ว่า สองฝ่ายยืดเยื้อแย่งชิงผลประโยชน์กัน มือที่สามฉวยโอกาสคว้าเอาไปครอง

 

 

สุดท้ายฮ่องเต้ก็ยกเรื่องนี้ขึ้นมาพูดตามคาด อีกทั้งยังเหมือนกับที่กู้ซีพูด บางทีอาจจะแลกเปลี่ยนอะไรกับฮองเฮา ฮองเฮาถึงได้ยอมรับเรื่องนี้อย่างรู้กัน

 

 

แต่ฮ่องเต้กับฮองเฮาทั้งสองรับปากแล้ว ก็ไม่ได้หมายความว่าเรื่องนี้จะสำเร็จ

 

 

ถาวจวินหลันเป็นคนแรกที่ก้าวออกมาต่อต้านเรื่องนี้ อี้กุ้ยเฟยก็ยอมทุ่มออกมายืนอยู่ฝั่งเดียวกับนาง แน่นอนว่าอี้กุ้ยเฟยเป็นเช่นนี้แล้วไม่ต้องพูดถึงอิงผินและคนอื่นๆ ที่ปกติมีความสัมพันธ์ดีกับถาวจวินหลัน

 

 

แม้แต่จิ้งเฟยเองก็ก้าวออกมาต่อต้านเรื่องนี้

 

 

จิ้งเฟยไม่เพียงต่อต้านเรื่องที่เลื่อนขั้นกู้ซีเป็นหวงกุ้ยเฟย แล้วยังมีท่าทีกระทบฮองเฮาอีกด้วย คำพูดแฝงไว้ด้วยการตำหนิฮองเฮาที่ไม่ทำหน้าที่ให้สมเป็นฮองเฮา แล้วยังปล่อยให้ฮ่องเต้สร้างเรื่องวุ่นวายตามใจชอบ เห็นกฎเกณฑ์ในวังหลังเป็นสิ่งไร้ค่า

 

 

ถาวจวินหลันคิดว่าจิ้งเฟยพูดได้ดี จึงสบทบเห็นด้วย

 

 

ฮองเฮาได้ยินเช่นนี้กลับไม่มีท่าทางตอบสนอง เพียงแค่ยิ้มและหันไปมองฮ่องเต้

 

 

สีหน้าของฮ่องเต้มืดคล้ำคล้ายท้องฟ้าก่อนพายุฝนถล่ม อีกทั้งสีหน้าของกู้ซีก็ไม่ดีเท่าไรนัก แต่ด้วยนางก้มหน้าแสดงท่าทีเรียบร้อย จึงมองอารมณ์ของนางไม่ค่อยออก

 

 

ฮ่องเต้สะบัดแขนเสื้อย่างเย็นชา “พวกเจ้าหมายความว่าอย่างไร? ข้าเป็นโอรสสวรรค์ หรือแม้แต่คุณสมบัติแต่งตั้งพระสนมก็ยังไม่มีหรือ?”

 

 

ถาวจวินหลันยังไม่ได้พูดอะไร อี้กุ้ยเฟยก็ชิงพูดก่อน “ฮ่องเต้ทรงพระปรีชา หม่อมฉันไม่ได้อยากจะต่อต้านพระองค์ หรือทำให้ไม่พอใจ แต่เรื่องนี้ไม่เหมาะสมจริงๆ เพคะ! จวงเฟยไม่มีผลงานไม่มีบารมี ฮ่องเต้โปรดปรานนางยกองค์ชายเก้าให้นางเลี้ยง พวกหม่อมฉันมิกล้าตำหนิ แต่ตำแหน่งหวงกุ้ยเฟยไม่เหมาะสมกับนางเพคะ!”

 

 

ฮ่องเต้แค่นหัวเราะ มองอี้กุ้ยเฟยด้วยสายตาดุร้าย “คิดว่าข้าไม่รู้ความคิดของสตรีเช่นพวกเจ้าหรือ? ก็แค่อิจฉาริษยาเท่านั้น”

 

 

เห็นชัดว่าคำพูดนี้ไม่ได้เข้าหูฮ่องเต้เลยแม้แต่น้อย

 

 

ถาวจวินหลันเอ่ยปากพูดเนิบๆ “หม่อมฉันไม่ทราบว่าเหตุผลที่ฮ่องเต้แต่งตั้งจวงเฟยเหนียงเหนียงคืออะไร อีกทั้งหวงกุ้ยเฟยเป็นตำแหน่งพิเศษในอดีต ไม่ใช่ว่าใครก็เป็นได้ ฮ่องเต้กระทำเช่นนี้เกรงว่าจะเป็นการแหกกฎนะเพคะ?”

 

 

ฮ่องเต้พลันกริ้วโกรธเหมือนสายฟ้าฟาด พูดออกมาว่า “ข้าชอบ เหตุผลนี้พอแล้ว!”

 

 

“ช่วงเวลาไว้ทุกข์ของไทเฮายังไม่ผ่านไป หรือว่าฮ่องเต้ต้องการทำเรื่องอกตัญญูต่อไทเฮาเพคะ?” ถาวจวินหลันกลับไม่สนใจความโกรธของฮ่องเต้เลยแม้แต่น้อย เพียงแค่เอ่ยเตือนเช่นนี้ ตอนนี้นางเป็นพระชายาองค์รัชทายาท ฮ่องเต้สามารถปัดแข้งปัดขานางได้ สามารถกริ้วโกรธนางได้ แต่อย่างไรก็ไม่สามารถมาเอาชีวิตนางไปเพียงเพราคำพูดแค่ประโยคเดียว

 

 

ดังนั้นถาวจวินหลันจึงกล้ามากพอที่จะพูดเช่นนี้ออกมา นางจงใจยกไทเฮาขึ้นมาพูด มีเพียงเป้าหมายเดียวเท่านั้นนั่นคือกดดันฮ่องเต้

 

 

แน่นอนว่าหากทำให้ชื่อเสียงของฮ่องเต้เสียหายไปเพราะเรื่องนี้ ก็ถือว่าเป็นผลประโยชน์ที่ได้รับโดยไม่ได้ตั้งใจ

 

 

ถาวจวินหลันไม่เชื่อว่าฮ่องเต้จะกล้าพูดอะไรที่เนรคุณไทเฮา อีกทั้งเมื่อนางพูดเตือนเช่นนี้ คนส่วนใหญ่ก็ต้องนึกถึงคำพูดของไทเฮา และต้องคิดว่าฮ่องเต้ทำตัวเหลวไหลมากแล้ว