“เจ้าอ้วนจะไม่เป็นไรแน่หรือ?”

ฉู่เหินเดินเข้ามาสอบถาม

พานเว่ยหมินและคนอื่นๆ ก็กำลังจ้องหลินเป่ยเฉินเขม็ง

รอคอยคำตอบจากเขา

ไม่มีใครคาดคิดเลยว่าตัวแทนคนแรกที่หลินเป่ยเฉินส่งขึ้นเวทีจะเป็นเซียวปิง ผู้มีระดับพลังอ่อนแอที่สุดในหมู่ตัวแทนทั้งหมด

แม้ว่าเจ้าเด็กอ้วนจะมีร่างกายที่สามารถทนทานการถูกทุบตีได้อย่างยอดเยี่ยม แต่ถ้าเจอกระบี่แทงเข้าไป ก็ตายได้เหมือนกัน

บัดนี้ ทุกคนไม่เข้าใจเลยว่าหลินเป่ยเฉินกำลังคิดอะไรอยู่

“เจ้าคงไม่ได้คิดหลอกใช้เซียวปิงเป็นหน่วยกล้าตายใช่ไหม?”

หลิงไท่ซวีพูดด้วยน้ำเสียงครุ่นคิด “เจ้าอยากทดสอบความแข็งแกร่งของนักรบชาวทะเลว่ามีความน่ากลัวมากแค่ไหน แต่ถ้าเจ้าอยากจะทำเช่นนั้น ให้ข้าขึ้นไปทำหน้าที่นี้แทนก็ได้”

“ไม่เป็นไรขอรับ”

หลินเป่ยเฉินตอบ “พวกท่านอย่าลืมสิว่าเซียวปิงเป็นน้องชายร่วมสาบานของข้าเชียวนะ”

พูดถึงตรงนี้ คุณชายหลินของทุกคนก็ระเบิดเสียงหัวเราะ

เป็นการหัวเราะอย่างมีความสุข

เขากล่าวต่อด้วยความมั่นใจว่า “ข้าจะมอบโอกาสให้เขาได้สร้างปาฏิหาริย์ นี่คือโอกาสดีงามที่เซียวปิงจะได้สร้างชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลก”

ทุกคนตกตะลึง

คิดไม่ถึงเลยว่าหลินเป่ยเฉินจะมีความมั่นใจถึงเพียงนี้

สร้างปาฏิหาริย์อย่างนั้นหรือ?

เซียวปิงมีดีอะไรที่จะสร้างปาฏิหาริย์ได้สำเร็จ?

ทุกสายตาจ้องมองขึ้นไปบนเวทีประลอง

ด้านบนเวที

ดวงตาที่แดงก่ำของนักรบฉลามหัวค้อนสำรวจมองเซียวปิงตั้งแต่หัวจรดเท้า จากนั้นจึงยิ้มยิงฟันและพูดด้วยความเหยียดหยามว่า “คู่ต่อสู้ของข้าช่างอ่อนแอเหลือเกิน ไม่คิดเลยว่าชาวเมืองหยุนเมิ่งจะหาตัวแทนที่ดีที่สุดมาได้เพียงเท่านี้ เอาเป็นว่าข้าจะให้โอกาสเจ้าได้เปิดฉากโจมตีก่อนก็แล้วกัน… เอาล่ะ เข้ามาเลยเจ้ามนุษย์ผู้ต่ำต้อย ข้าจะคอยดูว่าเจ้ามีการโจมตีน่ากลัวสักแค่ไหน”

เซียวปิงสูดหายใจลึก

สิ่งที่เขาถืออยู่ในมือก็คือปืนไรเฟิล 98k

นี่คืออาวุธศักดิ์สิทธิ์ที่ท่านพี่บอกว่าเป็น ‘กระบี่ลำแสงสลายวิญญาณ’ มีพลังสามารถทำลายล้างได้แทบทุกอย่างที่ขวางหน้า

ก่อนหน้านี้ เซียวปิงเคยลองใช้งานมันมาแล้วสามครั้งสามครา เขาถึงได้รู้ว่าอาวุธศักดิ์สิทธิ์ชนิดนี้มีอานุภาพทำลายล้างสูงส่งตามที่ท่านพี่ได้บอกเอาไว้จริงๆ และนั่นก็ทำให้เซียวปิงมีความมั่นใจในการต่อสู้ครั้งนี้เป็นอย่างมาก

ส่วนอากัปกิริยาตื่นกลัวที่เขาเป็นอยู่เมื่อสักครู่น่ะหรือ?

มันก็แค่การแสดงละครตบตาทุกคนเท่านั้นเอง

ประสบการณ์ของการถูกทำร้ายตลอดเวลาหลายปี เป็นสิ่งที่ช่วยทำให้เซียวปิงล่วงรู้ว่า ยิ่งเขาแสดงออกถึงความอ่อนแอมากเท่าไหร่ ฝ่ายตรงข้ามก็ยิ่งประมาทในฝีมือของเขามากเท่านั้น

หากเปลี่ยนเป็นแสดงความมั่นใจ นักรบฉลามหัวค้อนตัวนี้ก็คงจะต้องระมัดระวังตัวมากขึ้นแน่นอน

“ข้าย่อมมีความแข็งแกร่ง” เซียวปิงเงยหน้าพูดด้วยแววตามุ่งมั่น “ปีนี้ข้าเพิ่งจะมีอายุเพียง 15 ปีเท่านั้น แต่ก็สามารถเลื่อนระดับพลังขึ้นมาอยู่ในขั้นปรมาจารย์ระดับ 8 ได้สำเร็จแล้ว ร่างกายของข้ามีความแข็งแกร่งเทียบเท่ากับผู้ที่มีพลังอยู่ในขั้นยอดปรมาจารย์ ข้าคือคนที่แข็งแรงที่สุดในเมืองหยุนเมิ่ง และข้าคือน้องร่วมสาบานของท่านพี่หลินเป่ยเฉิน…”

เด็กหนุ่มร่างอ้วนพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียดจริงจัง

แต่นักรบฉลามหัวค้อนก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้

นักรบตัวอื่นๆ ของพวกชาวทะเลก็ส่งเสียงหัวเราะคิกคักเช่นกัน

คิดว่าต่อให้มีพลังอยู่ในขั้นยอดปรมาจารย์แล้วจะเปลี่ยนแปลงผลการต่อสู้ได้หรือ?

แม้แต่เจ้าชายอวี้ชินหวังก็ยังต้องส่ายศีรษะแล้ว

ต้องยอมรับว่าเด็กหนุ่มร่างอ้วนผู้นี้มีสง่าราศีใช้ได้ไม่เลว

แต่เมื่อขึ้นมาอยู่บนเวทีประลอง…

ก็มีแต่ตายกับตายเท่านั้น

“ดูเหมือนว่าหลินเป่ยเฉินจะมีจิตใจโหดเหี้ยมอำมหิตพอสมควรนะขอรับ เขาถึงกับส่งน้องร่วมสาบานของตนเองออกมาตาย เช่นนี้แล้ว เรายังนับเขาเป็นผู้คนได้อีกหรือ?”

เจ้าหน้าที่ในกลุ่มองครักษ์ข้างกายเกือบจะหัวเราะออกมาด้วยความเหยียดหยาม

องค์หญิงเค่อเอ๋อร์คลี่ยิ้ม แล้วตอบว่า “เป็นเช่นนั้นก็ดีแล้วไม่ใช่หรือ? อิอิ ยิ่งอำมหิตมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งน่าสนใจมากเท่านั้น”

บนเวทีประลอง

“กระบวนท่าที่ข้าจะใช้ต่อไปนี้ค่อนข้างอันตรายมาก”

เซียวปิงเริ่มกลับมาพูดติดๆ ขัดๆ อีกครั้ง “เจ้าแน่ใจหรือว่าจะเปิดโอกาสให้ข้าได้โจมตีก่อน? เกรงว่าถ้าข้าเริ่มโจมตี เจ้าคงไม่มีโอกาสมีชีวิตอยู่รอดอีกแล้ว”

“ฮ่าฮ่าฮ่า…”

นักรบฉลามหัวค้อนระเบิดเสียงหัวเราะด้วยความขบขัน “ถ้าอย่างนั้น เจ้าก็โจมตีเข้ามาได้เลย ข้าก็อยากรู้เหมือนกันว่าเจ้าจะมีพลังร้ายกาจสักแค่ไหน”

“ย่อมได้”

เมื่อเซียวปิงเห็นว่าการแสดงของเขาใช้ได้ผล จึงเริ่มต้นลงมือจริงจังเสียที

เขายืนอยู่ห่างจากนักรบฉลามหัวค้อนประมาณ 10 วา

สำหรับกับปืนไรเฟิล 98k นี่คือเป้าหมายที่อยู่ในระยะหวังผลโดยไม่มีทางพลาดเด็ดขาด

เซียวปิงประคองอาวุธศักดิ์สิทธิ์ด้วยมือทั้งสองข้าง

เขายกปืนขึ้น

แล้วเหนี่ยวไกยิง

ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นในเวลาเพียงลมหายใจเดียว

ถึงแม้ก่อนหน้านี้เซียวปิงจะเคยมีประสบการณ์ใช้อาวุธศักดิ์สิทธิ์ชิ้นนี้มาเพียงสามครั้ง แต่ก็ดูเหมือนว่าเขาจะสามารถเชื่อมต่อจิตวิญญาณของตนเองเข้ากับปลายกระบอกปืนได้อย่างราบรื่น ราวกับว่าเคยผ่านการใช้งานมันมานับพันครั้งอย่างไรอย่างนั้น

เปรี้ยง!

เสียงระเบิดที่คุ้นหูทำให้องค์หญิงเค่อเอ๋อร์ต้องยืดตัวนั่งหลังตรง

ลำแสงสว่างวาบ

ในเวลาเดียวกันนั้น บริเวณลำคอใต้ศีรษะของนักรบฉลามหัวค้อน พลันปรากฏรูโหว่ขนาดใหญ่เท่ากับชามข้าว เลือดไหลทะลักออกมาราวกับน้ำพุ

ชุดเกราะ ผิวหนัง กระดูก อวัยวะภายใน…

ทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ในตำแหน่งใต้ลำคอด้านล่างศีรษะของนักรบฉลามหัวค้อนผู้มีพลังขั้นยอดปรมาจารย์ระดับที่ 6 แตกกระจายกลายเป็นม่านหมอกเลือด และสูญสลายหายไปตลอดกาล

ในช่วงเวลาทั้งหมดนี้ นักรบฉลามหัวค้อนไม่มีโอกาสได้เคลื่อนไหวใดๆ เลย

ไม่มีโอกาสแม้แต่กระโดดหลบ

ไม่มีโอกาสแม้แต่ยกมือปัดป้อง

เมื่อเสียงระเบิดปานฟ้าคำรามดังขึ้น เลือดก็สาดกระจายแล้ว

ลำแสงสีขาวพุ่งทะลวงจากด้านหน้าไปด้านหลัง

เลือดสาดกระจายไปทุกทิศทุกทาง

นักรบฉลามหัวค้อนก้มหน้าลงมองบาดแผลของตนเองโดยไม่รู้ตัว ก่อนที่สายตาจะเริ่มพร่าเลือน ความคิดเดียวที่มันมีอยู่ในหัวสมองก็คือ เพราะเหตุใดเด็กหนุ่มร่างอ้วนคนนี้ถึงล่วงรู้จุดอ่อนบนร่างกายของมันได้?

เป็นเรื่องบังเอิญ?

หรือว่า…

ชีวิตของมันดับสิ้นลงในตอนนั้น

ร่างกายสูญเสียการควบคุมโดยสมบูรณ์

ในเวลาเดียวกันนี้

แรงถีบของอาวุธศักดิ์สิทธิ์ก็ทำให้เซียวปิงกระเด็นออกมาจากจุดที่ตนเองยืนอยู่ไกลราว 15 วา แต่เมื่อเขาโคจรพลังลมปราณลงไปตามกระดูกทองคำในร่างกาย เด็กหนุ่มก็สามารถทิ้งตัวกลับลงมายืนอยู่บนเวทีได้อย่างมั่นคงอีกครั้ง

รองเท้าของเซียวปิงถึงกับแตกกระจายไปด้วยมวลพลังที่ถาโถมเข้ามาจากแรงถีบ

บัดนี้ เด็กหนุ่มร่างอ้วนยืนเท้าเปล่า

เส้นขนที่งอกยาวอยู่บนนิ้วเท้าของเขาปลิวไสวไปตามแรงลม

ในลานจัตุรัสปกคลุมด้วยความเงียบ

เงียบงันราวกับเป็นสุสานยามเที่ยงคืน

เสียงกัมปนาทที่เป็นจุดจบของนักรบฉลามหัวค้อนทำให้ทุกคนตกอยู่ในความตะลึงพรึงเพริด หัวสมองว่างเปล่า ไม่สามารถแสดงปฏิกิริยาตอบสนองได้ชั่วคราว

จนกระทั่ง…

โครม!

ร่างของนักรบฉลามหัวค้อนล้มลงไปบนเวที

เสียงกระแทกที่ดังขึ้นทำให้หลายคนตื่นขึ้นจากภวังค์

“ชนะแล้วใช่ไหม?”

ฉู่เหินและคนอื่นๆ อุทานออกมาด้วยความประหลาดใจ

พวกเขาแทบไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง

แววตาของหลิงไท่ซวีเป็นประกายระยิบระยับด้วยความประหลาดใจ เขามองไปที่เซียวปิง ก่อนจะหันกลับมามองหลินเป่ยเฉิน จากนั้นจึงขมวดคิ้วเหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง

ไต้จือฉุนซึ่งสมควรเป็นผู้ที่ยืนอยู่บนเวทีในตอนแรก ก็ตกตะลึงอย่างอธิบายไม่ถูก และสุดท้ายก็ต้องส่งเสียงโห่ร้องออกมาด้วยความดีใจไม่รู้ตัว

เสียงตะโกนด้วยความดีใจของเขาจุดประกายให้ชาวเมืองหลายพันคนร่วมส่งเสียงโห่ร้องออกมาด้วยเช่นกัน

เสียงโห่ร้องของชาวเมืองทำให้แผ่นฟ้าแผ่นดินสั่นสะเทือน

ราวเกิดแผ่นดินไหว

ราวฟ้าจะถล่ม แผ่นดินจะทลาย