เสียงถอนหายใจดังไปทั่วห้องแทนที่จะเป็นเสียงแสดงความยินดีเรื่องชีวิตใหม่ที่จะถือกำเนิดขึ้น โฮจินปิดใบหน้าที่บูดเบี้ยวและสบถคำหยาบออกมา ส่วนท่านมหาเสนาบดีก็เบือนหน้าไปอย่างเงียบๆ และพึมพำกับตัวเอง มีเพียงแค่นายหญิงตระกูลจองเท่านั้นที่กุมมือของมินอาไว้แน่น และลูบใบหน้าอันซูบผอมของนางด้วยมือข้างหนึ่ง 

 

 

“กรุณาเก็บผลตรวจชีพจรในวันนี้ไว้เป็นความลับด้วยนะขอรับ ท่านหมอ” 

 

 

ท่านมหาเสนาบดีลืมตาขึ้นมาอย่างช้าๆ พร้อมกับถอนหายใจ ก่อนจะพูดขึ้นเบาๆ 

 

 

“ขอรับ ได้อยู่แล้วขอรับ” 

 

 

หมอรีบเก็บของด้วยความรวดเร็วท่ามกลางบรรยากาศที่ไม่ปกติ เขากำลังจะลุกขึ้นอย่างว่องไวแต่มือหยาบกระด้างกลับจับไหล่ของเขากดลงไปเสียก่อน 

 

 

“จะไปไหนหรือ” 

 

 

“ขอรับ?” 

 

 

“ยา ต้องเขียนใบสั่งยาให้ก่อนแล้วค่อยไปสิ” 

 

 

“อ่อ ขอรับ ยา…อะไรหรือ” 

 

 

ดูจากบรรยากาศแล้วคงจะเป็นยาที่ทำให้แท้งแน่นอนอย่างไม่ต้องสงสัย หมอจึงรีบนำกระดาษและพู่กันออกมาจากห่อของ และเหลือบมองชายหนุ่มที่จับไหล่ของเขาไว้เมื่อสักครู่ แต่โฮจินที่ทำหน้าบึ้งไม่พอใจตบไหล่หมอเบาๆ และพูดสิ่งที่ต่างออกไปโดยสิ้นเชิง 

 

 

“ก็ต้องเป็นยาที่ดีต่อคนท้องสิ” 

 

 

“ขอรับ?” 

 

 

หมอไม่เข้าใจเลยสักนิดว่านี่มันเป็นสถานการณ์แบบไหนกันแน่ แต่พอหันไปมองด้านข้างก็เห็นท่านมหาเสนาบดีพยักหน้าให้อย่างเงียบๆ ด้วยสีหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน จึงชัดเจนว่าสิ่งที่พวกเขาต้องการคือยาที่ดีต่อหญิงตั้งครรภ์จริงๆ 

 

 

“อ๋อ ช่วยทำให้ความอยากอาหารกลับมาด้วยนะ นางไม่ค่อยกินข้าวเลย” 

 

 

“โธ่ ได้เลยขอรับ คนท้องจะต้องกินอาหารเยอะๆ ใช่ไหมล่ะขอรับ” 

 

 

หมอพยายามตั้งสติและรวบรวมความรู้ที่มีไล่เขียนชื่อสมุนไพรที่ดีต่อคนท้องลงไป โฮจินฉวยกระดาษนั้นไปเก็บไว้ในหน้าอกก่อนที่หมึกจะแห้งและวิ่งออกไป แต่วิ่งไปได้ไม่กี่ก้าวก็ย้อนกลับมาใหม่อีกรอบ 

 

 

“ถ้าเอาไปพูดที่ไหนล่ะก็ ได้ตายจริงๆ แน่” 

 

 

“ขะ ขอรับ ไม่ต้องห่วงขอรับ” 

 

 

โฮจินวิ่งฝ่าลมหนาวออกไปหลังจากได้รับคำตอบที่แน่ชัด เขาคงจะไปเอายาสมุนไพรที่ดีที่สุดในพระราชวังเป็นแน่ เพราะว่าสามารถเข้าๆ ออกๆ พระราชวังได้อย่างเปิดเผยไม่ว่าจะกลางวันหรือกลางคืนจึงเป็นครั้งแรกที่รู้สึกดีที่ได้รับตำแหน่งขุนนางเฮงซวยนี้ ท่านมหาเสนาบดีมองดูเบื้องหลังของโฮจินและลูบเครา กลับมาสุขุมดังเดิม ก่อนจะลุกขึ้นจากที่นั่ง 

 

 

“ข้าก็คงจะต้องกลับเข้าวังด้วยเช่นกัน ฝากดูแลมินอาหน่อยนะ” 

 

 

“ไม่ต้องกังวลเจ้าค่ะใต้เท้า” 

 

 

ท่านมหาเสนาบดีให้หมอนำหน้าไปก่อนแล้วจึงข้ามธรณีประตูออกไป จากนั้นภายในห้องจึงเหลือแค่นายหญิงตระกูลจองกับมินอาเพียงสองคน ในตอนนั้นเองนายหญิงตระกูลจองจึงหลับตาลงอย่างกลัดกลุ้มและดึงมืออันเย็นเฉียบของมินอามาแตะไว้ที่หน้าผาก 

 

 

“เด็กที่น่าสงสาร ลูกแม่ที่น่าสงสาร เด็กที่จิตใจดีแบบนี้มีบาปมีกรรมอะไรกัน” 

 

 

นายหญิงตระกูลจองนวดมือและเท้ามินอาสักพัก แล้วจึงถือกะละมังที่เย็นลงลุกขึ้นไปเอาน้ำมาใหม่ เสียงประตูดังขึ้นต่อจากเสียงฝีเท้าที่เงียบลง จากนั้นความเงียบสงบก็กลับมาอีกครั้ง มินอาลืมตาขึ้นอย่างช้าๆ ท่ามกลางความเงียบสงบและวางมือซีดเผือดบนหน้าท้องที่ยังคงแบนราบ 

 

 

“ฝ่าบาท หม่อมฉัน…อุ้มลูกของฝ่าบาทเพคะ” 

 

 

เสียงอู้อี้ในลำคอเอ่ยถึงคนรักอย่างเงียบๆ นายหญิงตระกูลจองที่กลับเข้ามาหลังจากนั้นไม่นานไม่ได้พูดอะไรกับมินอาที่ฟื้นขึ้นมา นางเพียงแค่ถือโจ๊กหนึ่งถ้วยเข้ามาและป้อนใส่ปากหลังจากเช็ดหน้าผากให้แล้วเท่านั้น เนื่องจากเป็นครั้งแรกในห้าวันที่อาหารตกถึงท้อง มินอาจึงกินโจ๊กหนึ่งถ้วยจนหมดเกลี้ยงและเอนตัวลงนอนตามเดิม 

 

 

“ท่านแม่” 

 

 

เสียงเรียกเบาๆ ของมินอาทำให้ดวงตาของนายหญิงตระกูลจองตาโตขึ้นเล็กน้อย 

 

 

“ว่าอย่างไร…” 

 

 

“ขอบพระคุณเจ้าค่ะ ท่านแม่” 

 

 

มันคือคำที่ไม่เคยได้ยินจากปากของมินอาสักครั้ง แม้จะเลี้ยงนางมาตั้งแต่เริ่มหัดพูดก็ตาม ท่านแม่ 

 

 

“ขอบใจนะ มินอา แม่ขอบใจเจ้ามากกว่าเสียอีก” 

 

 

นายหญิงตระกูลจองอมยิ้มอย่างมีความสุข และปัดผมที่ปรกลงมาให้หลังจากที่จัดมุมผ้าห่มที่ยับยู่ยี่ให้เรียบร้อยแล้ว 

 

 

“ลูกสาวของแม่ นอนพักอีกสักหน่อยนะ” 

 

 

“เจ้าค่ะ ท่านแม่” 

 

 

มินอานอนหลับจนถึงเย็นและตื่นขึ้นมากินโจ๊กที่นายหญิงตระกูลจองป้อนให้จนหมดชามอีกครั้ง ทั้งยังดื่มยาสมุนไพรต้มที่ฮาแบคต้มมาให้ด้วยตัวเองจนหมดพลางส่งยิ้มให้เล็กน้อย และในค่ำคืนนั้น นางได้หายตัวไปก่อนที่แสงสลัวในยามรุ่งอรุณจะกลับมา นางจากไปพร้อมกับชุดคลุม ดาบ ถุงเงินและแผนที่ของพระราชวังที่ไร้ประโยชน์แล้วในตอนนี้ ซึ่งเป็นสิ่งที่รยูฮามอบให้กับนาง 

 

 

 

 

 

* * * 

 

 

 

 

 

“ตอนที่เด็กคนนั้นออกไป! เป็นไปได้หรือที่จะไม่มีคนเห็นเลยสักคน!” 

 

 

การที่เสียงของรยูฮาทะลุไปถึงด้านนอกกำแพงวังจานยองไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นบ่อยนัก ความวิตกกังวลถูกส่งออกมาถึงโฮจินที่ยืนกุมขมับอยู่หน้าประตูห้อง มินอาซ่อนตัวอย่างมิดชิดจนแม้แต่เขาก็ยังหาไม่เจอ 

 

 

“กระหม่อมไม่มีอะไรจะทูลพ่ะย่ะค่ะ” 

 

 

“…เฮ้อ” 

 

 

รยูฮาทรุดนั่งลงบนเก้าอี้ที่มินอานั่งลงเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะฟุบหน้าลง 

 

 

“สะเพร่า ข้าสะเพร่าจนเกินไป มินอาก็เลย…” 

 

 

ตั้งครรภ์อย่างนั้นหรือ นางไม่เคยนึกถึงเลย ถ้ารู้ก่อนก็คงจะทำอะไรบางอย่างกับพวกเสนาบดีเพื่อขัดขวางการลงโทษของชานแล้ว เสียสละ เสียสละ ตั้งแต่ต้นจนจบมินอาก็ทำเพียงแค่เสียสละเพื่อรยูฮาเท่านั้น การตัดสินใจที่จะช่วยชีวิตชานจากในมุมมืดโดยที่ไม่ไปแตะต้องพระบรมราชโองการของฮอนคือความผิดมหันต์ 

 

 

“ให้หัวหน้าหน่วยและพลทหารของเจ้ากระจายกำลังออกไปให้หมด” 

 

 

“ท่านมหาเสนาบดีออกคำสั่งไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ อ๋อ ฝ่าบาททรงทูลว่าจะเสด็จมาพ่ะย่ะค่ะ” 

 

 

ทันทีที่โฮจินพูดจบ เสียงฝีเท้าที่รีบเร่งก็พุ่งมายังโถงทางเดิน จากนั้นประตูก็ถูกเปิดออกพร้อมกับเสียงดังลั่น 

 

 

“พระมเหสี!” 

 

 

“เสด็จมาแล้วหรือเพคะ” 

 

 

สายตาของเขาเหมือนกับตอนที่ไล่ตามผู้ต้องสงสัยในการลอบสังหารโฮจินกับแชยอน ดวงตารยูฮาที่สูญเสียความใจเย็นไปมองดูฮอนพร้อมกับทักทายซึ่งผิดหลักธรรมเนียม แต่โฮจินก็ทำเพียงแค่เขยิบไปด้านข้างหนึ่งก้าวเท่านั้น พร้อมกับพึมพำว่าน่าจะฆ่าไอ้หมอนั่นทิ้งไปซะ 

 

 

“มีที่ที่น่าสงสัยบ้างหรือไม่” 

 

 

“ไม่เลยเพคะ เด็กคนนั้นตัวติดกับข้ามาตลอดชีวิต จึงไม่มีทั้งที่ไปและคนที่จะดูแลได้เลยเพคะ นางถนัดเรื่องการปลอมตัวและซ่อนตัว ดังนั้นหากนางตัดสินใจที่จะซ่อนก็ไม่มีทางหาเจอเพคะ” 

 

 

ฮอนกอดรยูฮาที่นอนฟุบอย่างหมดหวังไว้แน่น ความรู้สึกผิดที่ไม่สามารถลบได้และความเป็นกังวลเรื่องรยูฮาผสมปนเปกันเป็นหนึ่งเดียวจนทำให้เกิดริ้วรอยลึกบนหน้าผากของฮอน หลังจากนั้นสักพักเสียงของรยูฮาก็เล็ดลอดออกมาจากอ้อมกอดของเขาอย่างสงบนิ่ง 

 

 

“คนที่ช่วยชีวิตฝ่าบาทคือมินอาเพคะ” 

 

 

“ว่าไงนะ…” 

 

 

“มินอาไปเอายาถอนพิษมาจากอดีตองค์ชายผู้ล่วงลับไปแล้วเพคะ อดีตองค์ชายทรงทูลให้ฟังว่านางขู่ว่าจะฆ่าตัวตายบนเตียงที่วังจงซูหากทรงไม่ส่งสิ่งนั้นมาให้เพคะ และนางน่าจะทำเช่นนั้นจริงๆ ดังนั้นนางจึงช่วยชีวิตฝ่าบาทไว้ด้วยการเอาชีวิตของตัวเองไปเป็นเดิมพันเพคะ” 

 

 

รยูฮาที่นอนฟุบเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้งและมองฮอนด้วยความขุ่นเคือง 

 

 

“แต่ฝ่าบาทจะทรงทำเช่นไรเพคะ ในเมื่อทรงประกาศพระบรมราชโองการแล้ว…มินอา……” 

 

 

มันไม่ใช่เรื่องที่จะมาแสดงความไม่พอใจฮอน เพราะเขาก็แค่ตัดสินในสิ่งที่กษัตริย์ควรจะทำเท่านั้น หากตนเป็นกษัตริย์ก็คงจะออกคำสั่งแบบนั้นเช่นนั้น รยูฮาเข้าใจความจริงข้อนี้ดี แต่ถึงอย่างนั้นความขุ่นเคืองที่ไม่มีที่ลงก็ตรงเข้าหาฮอนอยู่ดี 

 

 

“นางตั้งท้อง มินอาตั้งท้องลูกของอดีตองค์ชายเพคะ” 

 

 

ฮอนเริ่มหน้าซีด จู่ๆ ก็รู้สึกหายใจลำบากขึ้นมาเสียอย่างนั้น หลาน หลานแท้ๆ คนแรกและคนสุดท้ายของเขา 

 

 

“หม่อมฉันบอกแล้วไม่ใช่หรือเพคะว่าให้ไว้ชีวิต ให้ไว้ชีวิตคนรักของน้องสาวของหม่อมฉัน หม่อมฉัน…พ่อของเด็ก…” 

 

 

น้ำตาที่เอ่อขึ้นมารินไหลอาบแก้มของนาง รู้สึกสงสารและเห็นใจมินอา รวมถึงรู้สึกผิดต่อเด็กที่ยังไม่เกิดเป็นอย่างยิ่ง ทั้งยังคิดถึงเช่นกัน 

 

 

“เพื่อที่จะไม่ทำให้ตระกูลและราชวงศ์เสื่อมเสีย นางจึงหลบหนีออกไปเพคะ นางเป็นเด็กเช่นนั้น เพราะว่าไม่สามารถเลี้ยงลูกของกบฏที่ไหนก็ได้ นางจึงตัดสินใจที่จะออกไปจัดการเพียงลำพังเพคะ” 

 

 

“พระมเหสี” 

 

 

“อย่าทรงเรียกเช่นนั้นเพคะ เป็นพระมเหสีแล้วทำอะไรได้บ้าง อำนาจของตระกูลล้นฟ้าแล้วทำอะไรได้ ขนาดน้องที่มีเพียงคนเดียวยังดูแลให้ดีไม่ได้เลย…” 

 

 

“ออกจากวังไปเถิด” 

 

 

เสียงอันแข็งทื่อของฮอนทำให้รยูฮาหยุดพูด 

 

 

“ฝ่าบาท?” 

 

 

“นางคือน้องคนเดียวของเจ้าไม่ใช่หรือ ไปตามหานางเถอะ”