บทที่ 89 โดย Ink Stone_Romance

บทที่ 89 เมื่อบทเพลงเศร้าบรรเลง (4)

             เมื่อหูถูกทรมานนับครั้งไม่ถ้วนและในขณะที่ทิชชูแผ่นหนาก็ไม่สามารถสกั้นกัดการบุกรุกของเสียงอันชั่วร้ายได้แล้วนั้น มู่ลี่ไป๋รู้สึกเสียใจกับหลุมที่ตัวเองขุดเอาไว้

            เพียงแค่ต้องการปลอบโยนเธอและช่วยลั่วจื่อหานเท่านั้น ทำไมตัวเองต้องมารับกรรมอะไรแบบนี้ด้วย เขาเหลือบมองอี้เป่ยซีที่ยังถือไมโครโฟนและร้องเพลงอย่างไม่ลืมหูลืมตา เหมือนกับว่าไม่มีวันรู้สึกเหนื่อย แต่ละบทเพลงใส่อารมณ์ขึ้นเรื่อยๆ

            เสียงของเธอนับว่าคมใส เวลาฟังเธอพูดแล้วรื่นหูมาก แต่ว่าเวลาร้องเพลง เธอที่ไม่มีทักษะใดๆ อาศัยการตะโกนเพียงอย่างเดียว เหมือนกับว่ากำลังระบายออกมา ไม่ได้ร้องอยู่ในคีย์เลย ทั้งตะเบ็งเสียงและเพี้ยนมาก

            แม่สาวน้อยคนนี้ วันนี้นับว่าได้เห็นความร้ายกาจของเธอแล้ว มู่ลี่ไป๋ค่อยๆ ลุกขึ้นยืน ต้องการจะจากไป

        “ห้ามไปนะ” เพราะว่าดื่มไปนิดหน่อย บนใบหน้าของอี้เป่ยซีจึงแดงอย่างผิดธรรมชาติ มองมู่ลี่ไป๋ด้วยความโมโห “ฉันร้องไม่เพราะหรือไง?”

        “เพราะ เพราะ เพราะอยู่แล้ว”

            “งั้นก็นั่งลงฟังดีๆ รอจนฉันร้องเพลงที่เลือกพวกนี้ให้หมดก่อน” อี้เป่ยซีหันหน้ากลับไปที่หน้าจออีกครั้ง ร้องเพลงลั้นๆ ลาๆ ขึ้นมา นี่เป็นครั้งแรกที่มู่ลี่ไป๋รู้สึกถึงรสชาติแห่งการไม่อยากมีชีวิตอยู่จากคนอื่น

            น่าจะคิดได้ว่าเธอจะมาที่นี่ มีอะไรเหนือความคาดหมายกัน

            เขามองดูโทรศัพท์มือถือบนโต๊ะ ทันใดนั้นก็นึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ ค่อยๆ ค่อยๆ ยื่นมือออกไป ในขณะที่ปลายนิ้วกำลังจะสัมผัสกับหน้าจอ อี้เป่ยซีวางเหล้าขวดหนึ่งตรงหน้าเขาอย่างแรง

            “ดื่ม”

            “หรือว่าเธอจะติดเหล้า?” คนที่ส่งเหล้ามาไม่สนใจเขาอีก มือหนึ่งกอดขวดเหล้า อีกมือหนึ่งถือไมโครโฟน นั่งลงบนพื้นโดยไม่สนใจภาพลักษณ์ ร้องเพลงเสียงดังด้วยความหดหู่และความตื่นเต้น

            มู่ลี่ไป๋นวดคลึงขยับตัวเองแรงๆ จากนั้นก็ยิ้มโล่งอก คว้าขวดเหล้าที่อยู่บนโต๊ะแล้วนั่งลงข้างอี้เป่ยซี ทั้งสองคนส่งเสียงโหวกเหวกด้วยกันอยู่อย่างนี้ หัวเราะเยาะการร้องเพลงของอีกฝ่ายอย่างไร้หัวใจ เอาขวดเหล้าชนกันคุยกันอย่างตรงไปตรงมา…

            “มู่ลี่ไป๋ที่แท้นายก็ร้องเพลงได้ห่วยแบบนี้เหมือนกันเหรอ” สองคนที่เมาแอ๋ประคองกันและกัน เดินตุปัดตุเป๋ออกไปจากห้องส่วนตัว อี้เป่ยซีเมาจนพูดจาไม่รู้เรื่อง มู่ลี่ไป๋ฝืนประคองสติ แต่ว่าก็รู้สึกเวียนหัวตาลาย

            “ก็ดีกว่าเธอที่ร้องไม่ได้เรื่องแล้วกัน”

            “เชอะ ฉันร้องเพลงเหมือนเสียงจากธรรมชาติ ตอนนั้นฉันยังอยากเป็นนักร้องอยู่เลย อย่าโกหกหน้าด้านๆ สิ”

            มู่ลี่ไป๋หัวเราะ “งั้นเธอโชคดีที่เจอฉัน ชีวิตเธอจะได้ไม่สูญเปล่า ไม่อย่างนั้น…” จู่ๆ เขาก็หยุดเดิน มีร่างที่งดงามร่างหนึ่งปรากฏตัวท่ามกลางสายตาที่ขมุกขมัว ชุดเดรสสีขาวดุจหิมะ ยิ้มอย่างอ่อนโยนให้กับผู้ชายข้างๆ

        “ไม่อย่างนั้นอะไร นายกำลังมองอะไร?” อี้เป่ยซีมองไปตามสายตาของเขา “นี่ เยี่ยฉิน ฉันอยู่นี่ อยู่นี่น่ะ” เธอวิ่งไปหาเยี่ยฉินด้วยความดีใจ เกือบจะล้มเข้าสู่อ้อมอกของเธอ ยังมีที่เยี่ยฉินตาไวมือไว ยื่นมือประคองเธอไว้แล้ว

            “เป่ยซี เธอมาคนเดียวเหรอ?” เธอมองไปข้างหลัง ตัวแข็งทื่อ สายตาของทั้งสองคนประสานกันกลางอากาศ แววตาดูต่างออกไป

            มู่ลี่ไป๋ละสายตา เดินไปข้างหน้าอย่างมั่นคง ดึงอี้เป่ยซีออกมาจากแขนของเธอด้วยความรังเกียจเล็กน้อย “ยัยหนู อย่าไปแตะต้องของสกปรกสิ”

            “คุณนี่ทำไมพูดจา…” ผู้ชายที่อยู่ข้างๆ รีบปกป้องเธอ เธอเพียงแต่ยิ้มน้อยๆ สงวนท่าทีที่ดีเอาไว้

            “ไม่เป็นไร ประธานมู่ก็เมาเหมือนกันเหรอ ต้องการให้ฉันช่วยเรียกคนไหม?”

            “เรื่องของผมคุณไม่ต้องยุ่ง” พูดพลางลากอี้เป่ยซีที่กำลังตื่นเต้นออกไปจากคาราโอเกะ อี้เป่ยซีที่ถูกดึงคอเสื้อเต้นรำอย่างมีความสุข

            “หา นี่คือความรู้สึกของคนเมาเหรอ แปลกจังเลย เหล้าเอ๋ย เหล้าเอ๋ย ฉันจะร้องเพลงให้เธอฟัง…”

            มู่ลี่ไป๋อยากจะขว้างคนนี้ทิ้งไปมาก ปกติแล้วสุขุมเรียบร้อย พอเมาเหล้าก็บ้าคลั่งจนแทบรับมือไม่ไหวจริงๆ เขาหยุดรถคันหนึ่ง ต้องการที่จะยัดเธอเข้าไปข้างใน ตอนนี้หัวของอี้เป่ยซีมุดเข้าไปแล้ว แต่มืออีกข้างถูกคนหนึ่งคว้าไว้ ได้ยินเสียงดังตึ่ง หัวของอี้เป่ยซีกระแทกเข้ากับรถ

            “ฮือๆๆ…เจ็บจังเลย”

            ลั่วจื่อหานกอดเธอไว้ในอ้อมแขนทันที กล่าวปลอบโยน “เรื่องนี้ไว้จะคิดบัญชีกับนายทีหลัง” พูดจบก็พาเด็กสาวจากไปแล้ว มู่ลี่ไป๋มองดูเบื้องหลังของทั้งสองคน รู้สึกได้ถึงความร้อนระอุอยู่ในอากาศ เขาเข้าไปในรถแท็กซี่ บอกที่อยู่บ้านของตัวเองแล้วจากไป

            “โว้ว นายเป็นใครน่ะ?” อี้เป่ยซีถูกวางลงบนเบาะข้างคนขับแผ่วเบา โน้มตัวมองดูผู้ชายที่อยู่ข้างๆ ยื่นมือจิ้มๆ หน้าของเขา แล้วก็ยื่นสองมือนวดคลึงอยู่บนหน้าของลั่วจื่อหาน จากนั้นก็นวดคลึงหน้าของตัวเองด้วยความแปลกใจเล็กน้อย “ทำไมหน้าของฉันถึงได้นุ่มแบบนี้ สนุกจังเลย”

            ลั่วจื่อหานอดไม่ได้หัวเราะออกมา สตาร์ทรถ

            “นายพูดไม่เป็นเหรอ” อี้เป่ยซีขยับตัวเข้าไปด้านข้างลั่วจื่อหาน เงยหน้าจ้องเขา สายตาที่มองตรงมาของเด็กสาว ทำให้เขารู้สึกอึดอัดเล็กน้อย

            “เป่ยซี ฉันขับรถอยู่”

            “หา ขับรถ…หืม อย่าขับรถ ขับรถมันน่ากลัวจะตายไป…เอ๊ะ นายรู้จักชื่อฉันด้วยเหรอ ฉันคือเป่ยซี ฉันชื่ออี้เป่ยซีนะ ฉันชื่ออี้เป่ยซี ลาๆๆ มีความสุขจังเลย”

            “นายชื่ออะไรเหรอ?” อี้เป่ยซีโน้มตัวไปข้างหน้าอีก รู้สึกถึงเข็มขัดนิรภัยที่รัดตัวเองแน่น ใช้มือปลดมันพัลวันแต่ก็ยังปลดออกได้ เธอต้องการจะไปอยู่ด้านหน้าลั่วจื่อหาน

            “นายดูคุ้นตาจังเลยนะ ใช่พี่ชายเทพบุตรในฝันหรือเปล่าน้า”

            “เป่ยซี” ผลักๆ เธอลงไปที่ที่นั่ง “เชื่อฟังก่อนนะ”

            “ไม่เอา ไม่เอา” เธอใช้มือและเท้าแสดงความต่อต้านทานของตัวเอง “ฉันไม่อยากเชื่อฟัง เชื่อฟังน่ะไม่มีประโยชน์ที่สุดเลย ฉันไม่อยากทำ”

            ลั่วจื่อหานเลี้ยวไปอีกทาง จอดรถที่มุมถนน ดูแล้วเขาเองก็ไม่มีปัญญาขับรถพาเธอกลับได้แล้ว      เมื่อรถหยุด อี้เป่ยซีนั่งคลอเคลียอยู่บนตักของเขา แขนโอบอยู่ที่คอของเขา ทันใดนั้นเอง บรรยากาศภายในรถก็คลุมเครือฉับพลัน

            “พ่อเทพบุตรนายหล่อจังเลย หล่อกว่าพี่เป่ยเฉินอีก” ลั่วจื่อหานอาศัยจังหวะนี้กดเบอร์บนโทรศัพท์มือถือ ส่งตำแหน่งที่ตั้งออกไป เงยหน้ามองตาอี้เป่ยซี

            ข้างในมีโลกทั้งใบ โลกทั้งใบของเขา หัวใจเต้นเร็วขึ้นอย่างควบคุมไม่ได้

            “ทำไมนายหน้าแดงล่ะ” อี้เป่ยซีหัวเราะเบาๆ ปากแดงๆ อ้าออกเล็กน้อย “ร้อนมากเหรอ?”

            ลั่วจื่อหานรู้สึกว่ามีบางอย่างพังครืน เสียงข้างหูค่อยๆ เลือนลาง สายตาจับจ้องอยู่บนริมฝีปากนั้นที่ประเดี๋ยวเปิดประเดี๋ยวปิด ทุกคำพูดราวกับเป็นการเชื้อเชิญ

            “เป่ยซี อย่าเสียงดัง” น้ำเสียงระคนการอดกลั้น เขาส่ายหัว เพื่อให้ตัวเองฟื้นสติ

            อี้เป่ยซีได้ยินคำพูดของเขาก็มุ่ยปากไม่พอใจ “ฉันจะเสียงดัง ฉันจะไม่เชื่อฟัง” พูดพลางขยับตัวเล็กน้อยแสดงความไม่พอใจของตัวเอง ทันใดนั้นสองแขนของลั่วจื่อหานออกแรง กอดเธอแน่นอยู่บนหน้าอกของตัวเอง

            “อย่าขยับสุ่มสี่สุ่มห้า” คำเตือนที่แฝงด้วยอันตราย อี้เป่ยซียิ่งต่อต้านรุนแรงกว่าเดิมแล้ว

            “มีสิทธิ์อะไร นายไม่ให้ฉันขยับฉันก็ไม่ขยับงั้นเหรอ ฉันอยากจะ…อือ…”

            ลั่วจื่อหานกัดริมฝีปากของเธอ มีรสชาติของการลงโทษเล็กน้อย แหวกว่ายเข้าไปในปากของเธอทีละนิดๆ รสหอมหวานของหญิงสาวผสมผสานกับกลิ่นหอมของเหล้านั้น มีฤทธิ์ร้ายแรงถึงแก่ชีวิต

        “อืม รสส้มเหรอ? หวานจัง” อี้เป่ยซีพึมพำ บางอย่างเมื่อเริ่มแล้วก็ไม่สามารถควบคุมได้ ลั่วจื่อหานล็อคศีรษะของเธอ เพิ่มจูบให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น

————