บทที่ 418.1 สุขเศร้าโกรธดีใจเมื่อเข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วง

กระบี่จงมา! Sword of Coming

โดยไม่ทันรู้ตัว อากาศร้อนก็เข้าสู่ช่วงฤดูใบไม้ร่วง

การบำรุงด้วยความอบอุ่นในช่วงที่ผ่านมานี้ เฉินผิงอันใช้ความขยันหมั่นเพียรชดเชยความโง่เขลา ช่องโพรงสองแห่งที่เก็บวัตถุแห่งชะตาชีวิตจึงเปี่ยมไปด้วยปราณวิญญาณ

เกี่ยวกับเรื่องของการฝึกหมัดและฝึกลมปราณ เฉินผิงอันพยายามจะไม่เลือกที่รักมักที่ชังให้มากเกินไป แต่เมื่อกลายเป็นผู้ฝึกลมปราณได้อย่างแท้จริง ช่วงเวลาที่ผ่านมานี้เขาจำเป็นต้องใช้เวลาอย่างน้อยสี่ชั่วยามในทุกๆ วันไปนั่งสมาธิเข้าฌาน สำหรับการมาถึงของคอขวดในอนาคต เฉินผิงอันเริ่มเข้าใจชัดเจนมากขึ้นทุกที สักวันหนึ่งเมื่อกลายเป็นผู้ฝึกยุทธเต็มตัวขอบเขตเจ็ดแล้ว ค่อยเลื่อนขั้นเป็นผู้ฝึกลมปราณห้าขอบเขตกลาง ซึ่งเขาจำเป็นต้องเลือกอีกครั้ง

มีวันหนึ่งเหมาเสี่ยวตงเคยเอ่ยล้อเขาว่า “ตอนที่เจ้าฝึกตนอยู่ในเรือนของชุยตงซาน ไม่เห็นเจ้าจะเสียดายปราณวิญญาณของสำนักศึกษาเลย แต่เหตุใดตอนอยู่บนยอดเขาตงหัว ถึงไม่ยอมดึงปราณวิญญาณไปแม้แต่เสี้ยวเดียว เป็นเพราะอยากจะทำตัวให้เหนือกว่าคนทั่วไปหรือไม่?”

เฉินผิงอันตอบ “หลังจากรักษากฎเกณฑ์ใหญ่ไว้ได้แล้ว ก็สามารถเข้าเมืองตาหลิ่วหลิ่วตาตามและทำตามความรู้สึกของคนทั่วไปได้แล้ว ชุยตงซาน เซี่ยเซี่ย หลินโส่วอีต่างก็สามารถอาศัยขอบเขตของตัวเองมาดูดดึงปราณวิญญาณจากในเรือนแห่งนี้ อีกทั้งทางสำนักศึกษายังยอมรับว่าเป็นการกระทำที่ไม่มีความผิดโดยปริยาย ถ้าอย่างนั้นข้าเองก็ทำได้เหมือนกัน นี่ก็คงจะคล้ายๆ กับว่า…ภูเขาตงหัวที่อยู่นอกเรือนเล็กก็คือใต้หล้าไพศาล ส่วนเรือนหลังนี้ก็กลายมาเป็นหนึ่งแคว้นหนึ่งสถานที่ คือฟ้าดินขนาดเล็กแห่งหนึ่ง ภายใต้เงื่อนไขที่ว่าไม่ขัดต่อเจตจำนงเดิม หรือผิดต่อหลักมารยาทของลัทธิขงจื๊อ ข้าก็จะ…มีอสิระเต็มที่”

เฉินผิงอันเดี๋ยวพูดเดี๋ยวหยุด เพราะมักจะต้องใช้เวลาครู่หนึ่งในการครุ่นคิดจึงต้องหยุดชะงักก่อนแล้วค่อยเปิดปากพูดใหม่

เหมาเสี่ยวตงพยักหน้ารับ

ดูท่าแล้วคำพูดที่ตนกล่าวไปด้วยความปรารถนาดีตอนที่หลอมวัตถุอยู่บนยอดเขาตงหัวจะไม่เสียเปล่า

เหมาเสี่ยวตงถามอีกว่า “ไม้ที่สูงเด่นเกินไพร ลมต้องพัดให้มันหักโค่นลง คนที่มีคุณธรรมสูงส่งเหนือผู้อื่น ย่อมต้องถูกวิพากษ์วิจารณ์ เจ้าคิดว่าเหตุผลอยู่ที่ตรงไหน?”

เฉินผิงอันตอบ “เดิมทีควรเป็นการตักเตือนวิญญูชนว่าให้รู้จักถ่อมตน เพื่อปรับตัวให้เข้ากับวิถีทางโลกที่ไม่ดี ส่วนตรงไหนที่ไม่ดี ข้าก็บอกไม่ถูก เพียงแค่รู้สึกว่ายังห่างจากวิถีทางโลกที่ลัทธิขงจื๊อวาดไว้ในใจไกลโขนัก ส่วนทำไมถึงเป็นเช่นนี้ ข้าก็ยิ่งไม่เข้าใจ อีกอย่างข้ารู้สึกว่าคำพูดประโยคนี้มีปัญหา ง่ายที่จะชักนำให้คนเดินทางผิด หากเอาแต่กลัวว่าจะเป็นไม้เด่นเกินไพรจึงไม่กล้าทำตัวมีคุณธรรมสูงส่งกว่าคนอื่น กลับจะทำให้คนหลายคนรู้สึกว่าต้องหักโค่นไม้เด่น ต้องไม่เป็นคนมีคุณธรรมสูงส่งคือเรื่องที่ทุกคนล้วนทำกัน ในเมื่อทุกคนก็ทำ งั้นข้าก็ทำบ้าง เพราะใช้หลักการเหมือนกับทุกคน ถึงอย่างไรกฎหมายก็ไม่ลงโทษคนหมู่มาก แต่หากสืบสาวเรื่องนี้ให้ถึงแก่นก็ดูเหมือนว่าจะขัดแย้งกับคำกล่าวที่ว่าเข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตามของข้า แม้จะบอกว่าแท้จริงแล้วยังสามารถแบ่งแยกย่อยอย่างละเอียดไปได้อีก แตกต่างกันไปตามเวลา สถานที่และบุคคล จากนั้นค่อยขีดเส้นให้ชัดเจน แต่ข้าก็ยังรู้สึกว่ามันเปลืองแรงมากอยู่ดี น่าจะเป็นเพราะข้ายังหาวิธีอันเป็นรากลฐานไม่ได้”

คราวนี้เฉินผิงอันก็ยังพูดติดๆ ขัดๆ ดังนั้นเฉินผิงอันจึงอดถามอย่างใคร่รู้ไม่ได้ว่า “หลักการล้ำค่าที่ถูกคนทั้งโลกยกย่องประเภทนี้ ข้าไม่ปฏิเสธ เพราะมันสามารถลดความยากลำบากมากมายไปได้จริงๆ ก็เหมือนอย่างที่ข้ามักจะนำมาทบทวนตัวเองอยู่บ่อยๆ แต่พวกมันสมควรถูกอริยะปราชญ์ลัทธิขงจื๊อยอมรับว่าเป็น ‘กฎเกณฑ์’ จริงๆ หรือ?”

เหมาเสี่ยวตงหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง แต่กลับไม่ได้ให้คำตอบ

จากนั้นเหมาเสี่ยวตงก็เปลี่ยนเรื่อง “ม้าขาวไม่ใช่ม้า เจ้าคิดว่าอย่างไร?” (คือปัญหาเชิงตรรกะที่กงซุนหลงนักตรรกวิทยาสมัยโบราณเป็นผู้เสนอขึ้น เขาให้คำนิยามว่าม้าขาวไม่เท่ากับม้า เพราะ ‘ม้า’ คือการจำกัดความด้าน ‘รูปร่าง’ ให้กับสัตว์ชนิดหนึ่ง ส่วน ‘ขาว’ คือการจำกัดความด้าน ‘สี’ ให้กับม้า กฎเกณฑ์ในการจำกัดความด้าน ‘รูปร่าง’ กับกฎเกณฑ์การจำกัดความด้าน ‘สี’ นั้นไม่เหมือนกัน ดังนั้นทั้งคำจำกัดความและกฎเกณฑ์ด้านการจำกัดความต่างก็ไม่เหมือนกัน ม้าขาวกับม้าจึงไม่เหมือนกัน)

เฉินผิงอันตอบ “ชุยตงซานเคยพูดถึงเรื่องนี้ บอกว่านั่นเป็นเพราะช่วงแรกเริ่มสุดที่อริยะสร้างตัวอักษร มันยังไม่สมบูรณ์แบบมากพอ จึงเลี่ยงไม่ได้ที่จะไม่ครบถ้วน ถือเป็น ‘อุปสรรคทางภาษา’ ที่มองไม่เห็นซึ่งทิ้งไว้ให้แก่คนรุ่นหลัง เมื่อวันเวลาล่วงเลยผ่าน คนรุ่นหลังสร้างตัวอักษรได้มากขึ้นเรื่อยๆ ในอดีตเคยเป็นปัญหายาก แต่ตอนนี้กลับแก้ไขได้อย่างง่ายดาย ม้าขาวย่อมต้องเป็นม้าชนิดหนึ่ง แต่ม้าขาวไม่เท่ากับม้า น่าสงสารคนโบราณที่ได้แต่วนเวียน อ้อมไปอ้อมมาอยู่บนคำว่า ‘ไม่ใช่’ นั่น ตามคำบอกของชุยตงซาน นี่เรียกว่า ‘อุปสรรคด้านขั้นตอน’ หากไม่เข้าใจความรู้เรื่องนี้ ต่อให้ตัวอักษรจะมากมายแค่ไหนก็ไร้ประโยชน์ ยกตัวอย่างเช่นคนอื่นพูดเรื่องที่ถูกต้องเรื่องหนึ่ง คนนอกใช้เรื่องที่ถูกต้องอีกเรื่องหนึ่งไปปฏิเสธเรื่องที่ถูกต้องก่อนหน้านี้ คนนอกแค่ฟังปราดๆ แล้วก็ไม่ยินดีจะซักถามให้ละเอียดจนถึงที่สุด แล้วก็จะรู้สึกไปเองว่าฝ่ายแรกผิด นี่ถือว่าเป็นอุปสรรคด้านขั้นตอน และยังมีอีกมากที่ใช้ความเห็นบางส่วนมาสรุปรวมทั้งหมด ขั้นตอนปนกันสับสน ล้วนไม่รู้ความเป็นมาเป็นไป สำหรับเรื่องนี้ชุยตงซานค่อนข้างจะเดือดดาล บอกว่าบัณฑิตหรือแม้แต่นักปราชญ์ วิญญูชนและอริยะก็ยากที่จะข้ามผ่านหายนะนี้ไปได้ ยังบอกอีกว่าทุกคนที่อยู่ใต้หล้า ความรู้ประถมวัยที่ควรเรียนรู้มากที่สุดตอนยังเยาว์ก็คือความรู้เรื่องนี้ นี่ต่างหากจึงจะเป็นรากฐานในการหยัดยืน ใช้ได้ผลยิ่งกว่าหลักการเหตุผลสูงๆ ต่ำๆ ทั้งหลายเสียอีก ชุยตงซานยังบอกอีกว่าบทความของอริยะปราชญ์ร้อยสำนัก อย่างน้อยก็มีถึงครึ่งหนึ่งที่ ‘แยกแยะได้ไม่ชัดเจน’ ผู้ที่มีความรู้เรื่องนี้จึงจะมีคุณสมบัติไปทำความเข้าใจกับความรู้อันเป็นรากฐานของปรมาจารย์มหาปราชญ์และหลี่เซิ่ง ไม่อย่างนั้นบัณฑิตทั่วไป มองดูเหมือนตรากตรำเล่าเรียนตำราอริยะปราชญ์ แต่สุดท้ายแล้วก็ได้แค่สร้างหอเรือนกลางอากาศ อย่างมากสุดก็เป็นแค่นครจักรพรรดิขาวที่ล่องลอยอยู่ท่ามกลางเมฆหลากสีซึ่งมองไม่เห็นจุดสิ้นสุดเท่านั้น”

เหมาเสี่ยวตงขบคิดอย่างละเอียดแล้วจึงยิ้มกล่าวว่า “ไม่ใช่คำพูดที่มาจากความขุ่นเคืองของเจ้าตะพาบน้อยผู้นั้นทั้งหมด ยังมีบางส่วนที่คู่ควรให้ขบคิดอย่างจริงจัง”

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ชุยตงซานเต็มใจจะพูด ข้าก็แค่รับฟัง ถึงอย่างไรอาจารย์ผู้เฒ่าเหวินเซิ่งก็เคยบอกข้าว่าคิดเยอะๆ ในทุกเรื่องย่อมเป็นการดี ต่อให้ผลสรุปที่ได้มาในท้ายที่สุดยังคงเป็นตรงกันข้าม ทว่าเส้นทางในหัวใจที่มองดูเหมือนเดินอ้อมไปรอบหนึ่ง แท้จริงแล้วกลับไม่ได้เสียเวลาเปล่า”

เหมาเสี่ยวตงปรบมือหัวเราะ “ท่านอาจารย์ช่างปราดเปรื่อง!”

จากนั้นเหมาเสี่ยวตงก็มองเฉินผิงอันด้วยสายตาคาดหวัง หวังว่าศิษย์น้องเล็กผู้นี้จะพอตระหนักรู้ได้บ้าง

เฉินผิงอันกลั้นยิ้ม เขาเข้าใจแล้ว จึงกล่าวว่า “คราวหน้าหากได้พบกับท่านอาจารย์ผู้เฒ่าเหวินเซิ่ง ข้าจะพูดถึงเจ้าขุนเขาเหมาให้มากๆ”

เหมาเสี่ยวตงเอ่ยเบาๆ “จำไว้เลยนะว่าอย่าพูดอย่างคลุมเครือ อาจารย์ของข้าไม่ชอบลูกไม้แบบนี้มากที่สุด ยกตัวอย่างเช่นข้าพูดประโยคว่า ‘อาจารย์ช่างปราดเปรื่อง’ ถึงเวลานั้นเจ้าต้องพูดให้เหมือนเดิมทุกประการ จะเสริมเติมแต่งให้ไพเราะขึ้นก็ไม่เป็นไร แต่ห้ามพูดแบบวกไปวนมาเด็ดขาด”

เฉินผิงอันบอกว่าตนจำไว้แล้ว

สุดท้ายเหมาเสี่ยวตงหยิบจดหมายกระบี่บินฉบับหนึ่งที่ส่งมาจากเขตการปกครองหลงเฉวียนต้าหลียื่นส่งให้เฉินผิงอัน

แล้วเหมาเสี่ยวตงก็จากไป

คนกลุ่มนั้นที่ดูแลเรื่องราวต่างๆ ในสำนักศึกษาซานหยาทุกวันนี้ มีบางคนจิตใจไหวเอียง จึงจำเป็นต้องให้เขาไปปลอบใจ

การที่เขาคอยมาพูดคุยกับเฉินผิงอัน ต่อให้วางมาดเป็นศิษย์พี่ แต่นี่ก็ถือว่าเป็นการผ่อนคลายจิตใจในขณะที่แอบอู้จากงานที่มีสุมหัว แน่นอนว่าส่วนหนึ่งก็เป็นการทำหน้าที่ของศิษย์พี่ที่สมควรช่วยตรวจสอบซ่อมแซมช่องโหว่ให้กับสภาพจิตใจของเฉินผิงอันด้วย

หลังจากเปิดจดหมายออก เฉินผิงอันก็เห็นลายมือที่คุ้นเคยของทวยเทพแห่งขุนเขาเหนือ เว่ยป้อ

ก่อนหน้านี้เฉินผิงอันส่งจดหมายฉบับหนึ่งไปให้เว่ยป้อ สอบถามเกี่ยวกับเรื่องการเปลี่ยนมือขายภูเขาใหญ่ทางแถบตะวันตกในราคาถูก

สำหรับเว่ยป้อที่เป็นองค์เทพแห่งขุนเขาคนแรกสุด และเป็นเพียงคนเดียวที่หลงเหลืออยู่ของแคว้นเสินสุ่ย เฉินผิงอันมีความเชื่อมั่นที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ

ในจดหมายเว่ยป้อบอกกับเฉินผิงอันว่า ก่อนหน้านี้ภูเขาทั้งหมดเก้าลูกซึ่งรวมถึงของสกุลสวี่แห่งนครลมเย็นกำลังตามหาคนมารับช่วงต่อ หร่วนฉงและตระกูลใหญ่ๆ อย่างสกุลหลี่บนถนนฝูลวี่ต่างก็รับเอาไปครอง ตอนนี้ยังเหลืออีกสองลูก หากเฉินผิงอันต้องการ เขาสามารถออกหน้าช่วยต่อรองราคาให้ได้ อีกทั้งเว่ยป้อยังแนะนำว่าแม้ภูเขาสองลูกนี้จะเป็นของที่คนอื่นเหลือทิ้งไว้ แต่อันที่จริงเฉินผิงอันซื้อมาแล้วก็ยังไม่ขาดทุน ยังบ่นอีกว่าทำไมเฉินผิงอันไม่ส่งจดหมายมาให้เร็วกว่านี้ ไม่อย่างนั้นเขาก็สามารถฮุบเอาภูเขาหนิวเจี่ยวมาได้เลย ต่อให้ในกระเป๋าเฉินผิงอันมีเงินเทพเซียนไม่พอ เขาเว่ยป้อก็สามารถออกให้ก่อนได้ พวกเขาสองคนแบ่งภูเขาหนิวเจี่ยวกันคนละครึ่ง ภูเขาหนิวเจี่ยวก็จะได้กลายเป็นท่าเรือตระกูลเซียนที่เท่ากับว่าร้านผ้าห่อบุญกึ่งขายกึ่งให้เปล่า!

เฉินผิงอันอ่านจดหมายซ้ำอีกรอบ เมื่อแน่ใจแล้วว่าไม่ได้พลาดความนัยที่ซ่อนแฝงอะไรไปจึงเก็บมันเข้าไปไว้ในวัตถุฟางชุ่น

ภูเขาใหญ่ทางทิศตะวันตกของเขตการปกครองหลงเฉวียนมีปราณวิญญาณเปี่ยมล้นไม่เป็นรองจวนตระกูลเซียนชั้นยอดของแจกันสมบัติทวีปก็จริง แต่โชคชะตาแห่งภูเขาและแม่น้ำกลับถูกแบ่งสรรกันไปแล้วอย่างดุเดือด อีกอย่างอาณาบริเวณก็เล็กเกินไป สำหรับตระกูลเซียนหรือสำนักที่มีคำว่าจง (สำนัก) ในชื่อซึ่งครอบครองพื้นที่ร้อยลี้หรืออาจถึงขั้นพันลี้แล้ว ภูเขาของเขตการปกครองหลงเฉวียนที่มีอาณาบริเวณแค่สิบกว่าลี้ก็ยากเกินกว่าจะนำมาทำให้ประสบผลสำเร็จได้จริงๆ แน่นอนว่าหากมีเซียนดินโอสถทองคนหนึ่งเป็นผู้ช่วยเหลือย่อมเพียงพอเหลือแหล่

เฉินผิงอันรู้สึกว่าเรื่องการซื้อภูเขานั้นทำได้

จึงไปที่ห้องหนังสือของเหมาเสี่ยวตง หยิบพู่กันมาเขียนจดหมายฉบับหนึ่ง ขอให้เว่ยป้อช่วยพูดคุยเรื่องราคาให้ก่อน

แล้วบอกให้เผยเฉียนวิ่งเอาไปมอบให้กับอาจารย์ผู้เฒ่าของสำนักศึกษาที่รับผิดชอบเรื่องนี้โดยเฉพาะ

นั่งอยู่ในห้องหนังสือที่ตกแต่งอย่างโบราณเรียบง่าย เฉินผิงอันนึกถึงการพูดคุยกันครั้งสุดท้าย ชุยตงซานหลุดปากพูดถึงงานโต้วาทีพุทธเต๋าของแคว้นชิงหลวน ก่อนหน้านี้เขาเคยพูดว่าอันที่จริงตำรา ‘ดั้งเดิม’ ของเมธีร้อยสำนักไม่ได้มีมากนัก ดังนั้นจึงถือโอกาสบอกให้เฉินผิงอันลองไปหาคัมภีร์ของพุทธและเต๋าในหอเก็บตำราของสำนักศึกษามาอ่านหลายๆ เล่ม

เฉินผิงอันลังเลเล็กน้อย ครั้นจึงออกจากห้องหนังสือ ไปรอให้การฝึกหลอมลมปราณช่วงหนึ่งของหลินโส่วอียุติลง แล้วจึงลากเขาไปที่หอเก็บตำราด้วยกัน

ระหว่างทาง หลินโส่วอียิ้มถามว่า “เรื่องนั้น ยังคิดคำตอบไม่ได้อีกหรือ?”

เฉินผิงอันอึ้งตะลึงไปชั่วขณะ แล้วก็นึกถึงครั้งแรกตอนที่มาถึงสำนักศึกษาแล้วไปพบหลินโส่วอี ฝ่ายหลังเคยพูดถึงเรื่องที่ตัวเองซาบซึ้งใจ

เฉินผิงอันยิ้มเจื่อนกล่าวว่า “ข้าเดาไม่ออกจริงๆ แล้วก็ใคร่รู้อย่างมาก เจ้าอย่าเล่นทายคำปริศนากับข้าอยู่อีกเลย หากเจ้ายังไม่ยอมพูด ก่อนจะไปจากสำนักศึกษาข้าก็ต้องมาเค้นถามเอาจากเจ้าตรงๆ แน่”

หลินโส่วอียิ้มบางๆ “ยังจำครั้งนั้นที่บนทางภูเขาเฉอะแฉะไปด้วยดินโคลน แล้วหลี่ไหวงอแงจนทุกคนพากันรำคาญได้ไหม?”

เฉินผิงอันย้อนนึก “พอจะจำได้รางๆ ว่าตอนหลังข้ารับปากหลี่ไหวว่าจะทำหีบหนังสือให้เขาใบหนึ่งเหมือนกัน เขาถึงได้ยิ้มทั้งน้ำตา ไม่อาละวาดอีก ไม่อย่างนั้นพวกเราคงไม่ต้องหวังว่าจะได้เดินทางกันต่อเลย แต่ว่าหลายปีที่ผ่านมานี้ หลี่ไหวรู้ความขึ้นเยอะเลย”

หลินโส่วอีถาม “ถ้าอย่างนั้นเจ้ายังจำได้ไหมว่าตอนนั้นเจ้าพูดกับข้าว่าอย่างไร?”

เฉินผิงอันลังเลเล็กน้อย

หลินโส่วอียิ้มบางๆ “ข้ารู้ว่าเจ้าต้องจำได้”

เฉินผิงอันกล่าวอย่างปลงอนิจจัง “เรื่องเล็กแค่นั้น เจ้าเก็บเอาไปใส่ใจจริงๆ หรือ?”

หลินโส่วอีพยักหน้ารับ “ตอนนั้นข้าไม่เข้าพวกที่สุด หลี่เป่าผิงเรียกเจ้าว่าอาจารย์อาน้อย หลี่ไหวสนิทสนมกับเจ้าที่สุด ต่อให้เป็นอาเหลียงก็ยังชอบคุยเล่นกับพวกเขาสองคนไปเรื่อยเปื่อย จูลู่กับจูเหอก็ยิ่งเป็นพ่อลูกกัน มีเพียงข้าหลินโส่วอีที่ดูเหมือนอยู่ไม่ถูกที่ถูกทางมากที่สุด แม้ว่าภายนอกข้าจะแสดงออกว่าไม่ใส่ใจ แต่หากจะบอกว่าในใจไม่มีความผิดหวังเลย จะเป็นไปได้อย่างไร? ดังนั้นจึงมีระยะเวลานานมากช่วงหนึ่งที่ข้าถึงกับสงสัยว่าตัวเองควรจะติดตามพวกเจ้าไปขอศึกษาต่อที่ต้าสุยดีหรือไม่?”

ในขณะที่พูดถึงเรื่องพวกนี้ หยกงามด้านการฝึกตนของสำนักศึกษาที่ขึ้นชื่อว่าไม่ชอบยิ้มไม่ชอบพูดคุยอย่างหลินโส่วอีกลับคลี่ยิ้มอบอุ่น “จากนั้นเจ้าที่นั่งยองอยู่บนทางดินก็หันหน้ามาพูดกับข้าสองประโยคว่า ‘ทำให้เจ้าด้วยใบหนึ่งดีไหม?’ ‘ถึงอย่างไรก็ต้องทำอยู่แล้ว’”

หลินโส่วอีก้าวเดินอย่างเชื่องช้า “ดังนั้นตอนนั้นข้าจึงตอบรับ”

เฉินผิงอันหัวเราะ “ตอนนั้นข้าไม่ได้คิดอะไรมาก แค่รู้สึกว่าหากไม่พูดแบบนี้ เจ้าก็ต้องไม่ยอมรับไปแน่นอน ถึงเวลานั้นข้าทำหีบหนังสือให้หลี่ไหวแล้ว มีเพียงเจ้าคนเดียวที่ไม่มี ข้ากังวลว่าเจ้าจะห่างเหินกับเป่าผิงน้อยและหลี่ไหวด้วยเหตุนี้ บอกตามตรง ตอนนั้นข้าเคยคิดพิจารณาถึงนิสัยใจคอของเจ้าก็จริง แต่ที่คิดมากกว่านั้นก็คือ ในบรรดาคนทั้งสาม เจ้าหลินโส่วอีมีอายุมากที่สุด แถมนิสัยยังสุขุมมั่นคง วันหน้าเมื่อมาถึงสำนักศึกษาแล้วข้าต้องจากไป ข้าก็อยากให้เจ้าช่วยดูแลพวกเขาให้มากหน่อย”

หลินโส่วอีพยักหน้ารับ “เรื่องพวกนี้ อันที่จริงข้าเข้าใจมาตั้งแต่ตอนที่ยังเดินทางแล้ว แต่ข้าคนนี้มีอยู่เรื่องหนึ่งที่นับว่าไม่เลว นั่นคือหากคนอื่นดีต่อข้า ข้าจะไม่มีทางเกิดความไม่พอใจเพียงเพราะว่าเขาดีต่อคนอื่นมากกว่า”

รอยยิ้มของหลินโส่วอียิ่งฉีกกว้าง “ภายหลังตอนที่อยู่บนเรือข้ามแม่น้ำ เจ้าทำหีบหนังสือใบเล็กให้หลี่ไหวก่อน ส่วนของข้าเป็นใบสุดท้าย และแน่นอนว่าหีบหนังสือใบนั้นเจ้าเฉินผิงอันย่อมทำได้คล่องมือมากที่สุด ซึ่งความเป็นจริงก็แสดงให้เห็นแล้วว่ามันเป็นหีบหนังสือใบที่ดีที่สุด เวลานั้นข้าถึงเพิ่งรู้ว่า เจ้าเฉินผิงอันพูดไม่มาก แต่อันที่จริงกลับนิสัยไม่เลว ดังนั้นพอมาถึงสำนักศึกษา หลี่ไหวถูกคนรังแก แม้ว่าข้าจะออกแรงไม่มาก แต่ถึงท้ายที่สุดแล้วข้าก็ไม่ได้เอาแต่หลบเลี่ยง เจ้ารู้ไหม เวลานั้นข้าได้เห็นเส้นทางการฝึกตนของตัวเองอย่างชัดเจนแล้ว ดังนั้นข้าจึงวางเดิมพันลงบนอนาคตทั้งหมด คิดถึงผลลัพธ์ที่เลวร้ายที่สุดว่าอย่างมากก็ถูกคนทำให้พิการ ตัดขาดเส้นทางการฝึกตน จากนั้นก็เป็นบุตรนอกสมรสที่พ่อแม่ดูแคลนไปตลอดชีวิตอีกครั้ง แต่ถึงอย่างไรก็ต้องเป็นคนที่เจ้าเฉินผิงอันไม่ดูแคลนให้ได้เสียก่อน”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “เรื่องพวกนี้ข้าจดจำไว้ในใจแล้ว”

หลินโส่วอียกยิ้ม “ดังนั้นคราวก่อนหลังจากที่ผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดลอบสังหารในเรือนเล็กไปแล้ว พอเจ้าเฉินผิงอันกลับมาถึงเรือนก็จงใจมานั่งอยู่ข้างกายข้าหลินโส่วอี ข้ารู้ดี เจ้าเฉินผิงอันเองก็รู้ อันที่จริงนอกจากเจ้าคนที่ไม่แยแสสิ่งใดอย่างหลี่ไหวแล้ว ต่อให้เป็นเผยเฉียน ทุกคนในเรือนก็ล้วนต้องรู้ว่าเหตุใดเจ้าถึงเลือกมานั่งอยู่ข้างกายข้าแค่คนเดียว เป็นเพราะเจ้ากลัวว่าข้าที่เดินบนเส้นทางการฝึกตนมาแต่เนิ่นๆ จะมีจิตใจหยิ่งทระนง ทว่าในศึกครั้งนั้นกลับทำได้เพียงแค่มองดูอยู่ข้างๆ ดังนั้นข้าต้องรู้สึกผิดหวังอย่างมาก กลัวว่าข้าหลินโส่วอีจะยิ่งห่างเหินกับพวกเจ้ามากขึ้นเรื่อยๆ”

เฉินผิงอันหยุดเดิน เขาไม่ได้ปฏิเสธเรื่องพวกนี้ เพียงถามด้วยรอยยิ้มว่า “ถ้าอย่างนั้นเจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าซาบซึ้งใจในตัวเจ้าที่สุดด้วยเรื่องอะไร? ตอนนี้ถึงตาเจ้าต้องเดาบ้างแล้ว”

—–